เป็นที่น่าเสียดายเมื่อ เซร์คิโอ อเกวโร่ ดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์ ประกาศแขวนสตั๊ดด้วยปัญหาเรื่องของหัวใจ โดยที่เขาแทบไม่ได้ลงเล่นหรือสร้างช่วงเวลาดีๆ ให้กับสังกัดใหม่อย่าง บาร์เซโลน่า เลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่มุมของเจ้าตัวเชื่อว่าเขาคงไม่เสียใจกับทุกสิ่งที่ตัวเองเลือก เพราะบนเส้นทางค้าแข้งของเขาได้สร้างปรากฎการณ์มากมาย
และผลงานมงกุฎยอดเพชรคือประตูชัยนาทีที่ 94 ในเกมสุดท้ายของ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011-12 นี่คือประตูที่เปลี่ยนทุกอย่างของสโมสร แมนฯ ซิตี้ อย่างแท้จริง
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดของวินาทีประวัติศาสตร์ของ “อเกวโร่ กุน” ได้ที่ MainStand
ทีมของพวกพลาสติกแฟน?
แมนฯ ซิตี้ คือสโมสรที่ลืมตาอ้าปากได้อย่างเต็มตัวจากการโดนเทคโอเวอร์ครั้งสำคัญโดยกลุ่มทุน อาบูดาบี ในปี 2008 สิ่งที่เพิ่มขึ้นมานอกจากยอดเงินในบัญชีและความสำเร็จคือแฟนบอล เพียงแต่ว่าในช่วงแรก ๆ แฟนบอลของ ซิตี้ ถูกเรียกว่า “พลาสติกแฟน” หรือแปลความง่าย ๆ ว่ากองเชียร์ที่มาตามกระแส แม้ว่ากองเชียร์แมนฯ ซิตี้ ตัวจริงนั่นจะได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มแฟนบอลเหนียวแน่นมาก ๆ ก็ตาม
ถ้าคุณนึกภาพไม่ออก ก็คงจะคล้ายกับวันที่ นิวคาสเซิล ได้เจ้าของสโมสรใหม่ มีเงินซื้อนักเตะไม่อั้น พร้อมเปลี่ยนทีมเป็นทีมลุ้นเเชมป์ วินาทีเดียวกันพวกเขาก็มีแฟน ๆ ในโลกออนไลน์เพิ่มขึ้นมามากมาย หลายคนออกตัวว่าเป็นแฟนนิวคาสเซิลตั้งแต่เด็ก … ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องผิดเลยสักนิดหากใครจะเลือกเชียร์ทีมไหน ทุกคนล้วนมีเหตุผล และทางเลือกของตัวเองทั้งนั้น
ดังนั้นคำว่า “สโมสรพลาสติก” หรือ “แฟนบอลพลาสติก” อาจจะมีความหมายอีกนัยซ่อนอยู่ นั่นคือแฟน ๆ ของสโมสรอื่น ๆ ก็หวั่น ๆ ว่าเมื่อทีมเหล่านี้มีเงิน พวกเขาจะเปลี่ยนไปจากหลังมือเป็นหน้ามือ ดีขึ้นผิดหูผิดตา และก้าวขึ้นมาเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่กว่าทีมรักของพวกเขา ซึ่งนั่นคือสิ่งที่แฟน ๆ และสโมสรแมนฯ ซิตี้ โดนแซวมาตลอด
แม้เงินจะเต็มกระเป๋าแต่การจะทำทีมฟุตบอลให้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ตรงกันข้ามกับแฟนบอลทีมอื่น ๆ ที่รอซ้ำในวันที่ ซิตี้ พลาด ประโยคประมาณว่า “มีแต่เงินไม่มีฝีมือ” ก็มักจะดังขึ้นมาเสมอ
แมนฯ ซิตี้ เองถูกมองข้ามและโดนเพ่งเล็งหนักเป็นพิเศษมานานโข นักเตะที่เข้ามาตั้งแต่ยุคที่โดนเทคโอเวอร์ครั้งแรกโดย ทักษิณ ชินวัตร อย่างพวก โรแลนโด้ เบียงคี่, เวดาน ชอร์ลูก้า, จอร์จอส ซามาราส, เบนจานี่ และ โรบินโญ่ หรือคนอื่น ๆ อีกมากมายก็กลายเป็นพวกผ่านมาและผ่านไป ไม่มีใครก้าวขึ้นมาแบกทีมได้จริง ๆ จัง ๆ สักที
จนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นยุคกลุ่มทุนอาบูดาบี แม้นักเตะจะดีขึ้น ทีมเริ่มยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นทีมหัวตารางได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เป้าหมายที่บอร์ดบริหารตั้งไว้ พวกเขาต้องการเป็นเบอร์ 1 ของอังกฤษ โดยที่สมัยนั้นยังเป็นยุคที่เรียกว่าท็อปโฟร์ ประกอบด้วย แมนฯ ยูไนเต็ด, เชลซี, ลิเวอร์พูล และ อาร์เซน่อล ซึ่ง แมนฯ ซิตี้ ก็ยังไม่เคยแย่งเเชมป์ลีกมาได้เลยสักครั้ง
พวกเขาพยายามคว้าแข้งระดับแนวหน้าเข้ามาหลายคน หลายคนดีพอเป็นตำนานทั้ง ดาบิด ซิลบา, แว็งซ็อง ก็องปานี หรือ ยาย่า ตูเร่ แต่เชื่อเถอะรายชื่อทั้งหมดนี้ยังไม่มีใครสร้างอิมแพ็คต์ได้เท่ากับที่ เซร์คิโอ อเกวโร่ ดาวยิงวัยรุ่นที่พวกเขาได้ตัวมาจาก แอตฯ มาดริด เลยสักคน …. เพราะนี้คือตำนานของสโมสรแห่งทศวรรษที่ผ่านมาโดยไม่ต้องสงสัย
การย้ายทีมที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ
อเกวโร่ ย้ายมาอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ ในปี 2011 ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์โดยประมาณ ณ เวลานั้นเขาอาจจะพูดผ่านสื่อว่าต้องการมาเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์หรืออะไรก็ตามที่เป็นสัมภาษณ์ย้ายทีมแบบยาหอมทีมใหม่ แต่เมื่อไม่นานนี้เขาบอกว่าการย้ายมา แมนฯ ซิตี้ ในตอนแรกนั้นในความรู้สึกของเขาคือ ไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษเลย เขาแค่อยากจะเล่นให้กับสโมสรไหนก็ได้ในพรีเมียร์ลีกก็พอ
“ตอนผมตัดสินใจจะย้ายมาที่นี่ ผมคิดอย่างเดียวว่าผมแค่อยากเล่นพรีเมียร์ลีกก็พอ ผมถามเอเย่นต์และเขาก็บอกว่าคุณต้องย้ายไป แมนฯ ซิตี้ ซึ่งผมก็ตอบว่าโอเคไม่มีปัญหา เพราะผมชอบพรีเมียร์ลีกเป็นทุนเดิมอยู่เเล้ว” อเกวโร่ กล่าวกับ Sky Sport
แม้จะไม่ได้คาดหวังเรื่องความสำเร็จใหญ่โตเกินโต แต่เมื่อ อเกวโร่ มาถึง สิ่งที่เขาแสดงออกคือการเป็นมืออาชีพ เขาไม่เคยมองว่า ซิตี้ เป็นทางผ่านของเขา เขาแค่ต้องรีบปรับตัวให้ได้ เล่นให้ดี และช่วยยกระดับทีมให้ได้ ซึ่งในตอนแรกนั้นไม่ง่ายเลย
อเกวโร่ เล่าว่าเขาพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นเลยแม้แต่คำเดียว เขาไม่เคยมีคาบเรียนวิชาภาษาอังกฤษเลยที่ อาร์เจนติน่า ดังนั้นการต้องมาฟังคำสั่งและการสนทนาในทีมแบบภาษาอังกฤษล้วน 100% พูดเร็วและไว คือปัญหาที่เขาต้องรับมือเป็นอย่างมาก
แต่อย่างที่กล่าวไว้เมื่อเป็นมืออาชีพ ไม่ว่ายากแค่ไหนก็ต้องทำให้ได้ และ อเกวโร่ เป็นคนแบบนั้น แม้จะเริ่มหัดเรียนหัดพูดอังกฤษได้แบบงู ๆ ปลา ๆ แต่เขาเข้าใจสิ่งที่สำคัญกว่านั้นของการเป็นกองหน้า ยิ่งกว่าการพูดอังกฤษให้ได้ คือการ “ยิงประตู”
เปรี้ยงหายสไตล์กุน
อเกวโร่ คือกองหน้าแบบกองหน้าแท้ ๆ ใครที่เคยทำงานกับเขาก็เล่าเรื่องราวไม่ต่างกัน ในเรื่องวิธีการทำประตูที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว การใช้ความเร็ว เปลี่ยนสเต็ปเท้าแหวกกองหลังของคู่แข่ง และวินาทีการวางเท้ายิงที่เฉียบคม นำมาซึ่ง สกอร์ที่ไหลมาเทมาในการเล่นที่อังกฤษซีซั่นแรก
ริโอ เฟอร์ดินานด์ กองหลังของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ผ่านการดวลกับ อเกวโร่ ในช่วงพีก ๆ อยู่บ่อย ๆ เล่าถึงมุมมองของกองหลังอย่างเขาว่า สาเหตุที่อเกวโร่ เป็นคนที่วางเท้าดี ทรงตัวเวลายิงได้เเข็งแกร่งก็เพราะจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ เหนือสิ่งอื่นใดคือการตัดสินใจที่แม่นยำและรวดเร็ว คิดจะยิงต้องยิงทันที โดยไม่ให้ใครได้ตั้งตัว
“อเกวโร่ มีครบเลยจุดศูนย์ถ่วงต่ำ เร็ว และพุ่งเป็นเส้นตรงไปที่ประตูของคุณ เขาไม่ใช่กองหน้าที่ชอบสัมผัสบอลเยอะอะไรแต่ทีเด็ดคือเป็นคนที่ตัดสินใจได้รวดเร็วมาก ๆ คุณลองดูก็ได้ เขาจะแตะบอลประมาณ 1-2 ครั้ง ไม่ค่อยจะเกินนี้หรอก เข้าซ้ายก็ยิงซ้าย เข้าขวาก็ยิงขวา คุณจะปวดหัวเลยเพราะคุณคาดเดาไม่ได้ว่าเขากำลังจะทำอะไร … พูดก็พูดเถอะ อเกวโร่ คือหนึ่งในนักเตะที่สร้างความยากลำบากมากที่สุดเเล้วในช่วงท้ายอาชีพของผม” เฟอร์ดินานด์ กล่าว
สิ่งที่เฟอร์ดินานด์อธิบายบอกทุกอย่างชนิดที่ว่าทำให้เรานึกภาพการเล่นและการยิงของ อเกวโร่ ออกทันที การยิงแบบทันทีทันควันคือสิ่งที่เขาพยายามฝึกมาตลอด มันไม่ใช่แค่เรื่องการวางเท้ายิง แต่มันต้องใช้สมาธิและการอ่านเกมด้วย
“ผมมองหาช่องว่างที่จะเข้ากรอบเขตโทษเสมอ 10 นาทีแรกของเกมเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่ผมจะหาช่องว่างนั้นได้ ต่อให้ยิงไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่มันจะทำให้คุณเห็นทั้งเกมเลย เห็นว่าคู่แข่งตั้งรับอย่างไร คุณสามารถรู้ได้เลยว่าคุณจะต้องยืนตำแหน่งแบบไหน”
“สมาธิคือสิ่งที่คุณควรมี ผมอ่านเกมและพยายามวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ถ้าผมถึงคนแรกทุกอย่างจบเลย … ฉะนั้นถ้าคุณสังเกตดี ๆ ผมจะเป็นคนที่มองการเคลื่อนที่ของเพื่อนร่วมทีม ผมดูว่า ซาเมียร์ นาสรี่ หรือ เฆซุส นาบาส เคลื่อนไหวอยู่เสมอ และเมื่อไหร่ที่พวกเขาเริ่มครอสบอลเข้ามา ผมก็จะอ่านจังหวะได้ก่อนและวิ่งไปรอที่จุดนัดพบได้เลย”
“รายละเอียดเหล่านี้ต้องพยายามศึกษาเพื่อนร่วมทีมให้ได้มาก ๆ จนถึงขั้นที่คุณทำได้แบบอัตโนมัติเลย นักเตะแต่ละคนล้วนมีวิธีเล่นที่แตกต่าง การส่งบอลที่ไม่เหมือนกัน แต่ไม่ว่าใครจะเปิดแบบไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณต้องไปให้ถึงจุดนัดพบคนแรกเสมอ” นี่คือส่วนหนึ่งที่ อเกวโร่ บอกถึงวิธีเล่นของเขา และทุกสิ่งหลังจากนี้ “คือตำนาน”
Agueroooo!
สิ่งที่ อเกวโร่ อธิบายถึงวิธีการเล่นของเขา ผลิดอกออกผลไม่หยุดในแง่ของประตู แม้จะเล่นในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลแรก แต่ลีลาการมุดยิง และซัดเข้ามุมด้วยเท้าซ้ายและขวาของเขา แต่ไม่มีประตูไหนจดจำเท่ากับเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2011-12
สถานการณ์ตอนนั้น แมนฯ ซิตี้ มีแต้มเท่ากันกับ แมนฯ ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาลของพวกเขาเป๊ะที่ 86 คะแนน เกมสุดท้าย ยูไนเต็ด จะต้องออกไปเยือน ซันเดอร์แลนด์ ขณะที่ ซิตี้ เปิดบ้านรับการมาเยือนของ คิวพีอาร์
จริง ๆ มันควรจะเป็นงานง่ายของ ซิตี้ ที่เล่นดีดุดันมาตลอดทั้งปี แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็คงไม่เป็นตำนาน ในขณะที่ ยูไนเต็ด ได้ประตูจาก เวย์น รูนี่ย์ ตั้งแต่ครึ่งแรกและลากยาวจนจบเกม ในเวลาไล่ ๆ กัน ซิตี้ กลับเล่นในบ้านและถูก คิวพีอาร์ ยิงนำไป 0-1 และเป็นสกอร์นั้นจนถึงนาทีที่ 88 ของเกม ด้วยสถานการณ์ที่แค่เสมอก็ไม่พอ ทำให้แฟน ๆ ของ ยูไนเต็ด เริ่มยิ้มหวานเเล้วกับสกอร์นี้
อย่างไรก็ตาม เอดิน เชโก้ ต่อชะตาให้กับ แมนฯ ซิตี้ ในนาที่ 89 ของเกม ด้วยการยิงประตูเสมอ 1-1 และลากยาวมาจนถึงช่วงทดเวลานาทีที่ 4 นาทีประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงสโมสรนี้ก็เริ่มขึ้น
มาร์ติน ไทเลอร์ ผู้บรรยายจากช่องสกายสปอร์ต เริ่มพูดประโยคที่ถูกเล่นซ้ำไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ “แมนฯ ซิตี้ ยังไม่ตายและเดินหน้าบุกในเวลานี้ …. บาโลเตลี่ … อเกวโร่ววววววววววววววววว”
“สาบานได้เลยคุณไม่มีทางเห็นอะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้งแน่นอน จงเบิกตาดูและดื่มด่ำนาทีประวัติศาสตร์” ไทเลอร์ พากย์ในการถ่ายทอดสด
มันเป็นลูกยิงของถนัดที่ อเกวโร่ ทำบ่อย ๆ เขาอ่านการเคลื่อนไหวของ บาโลเตลี่ หนึ่งในนักเตะที่คาดเดาว่าจะทำอะไรในจังหวะต่อไปได้ยากที่สุด เขาถอยตัวลงมาต่ำและรอเล่นแถวสองปล่อยให้ผู้เล่น คิวพีอาร์ ที่ยืนในกรอบเขตโทษตัวเองเกือบทั้งทีม ตอนนี้เขาว่างแล้ว และเขากำลังทำในสิ่งที่เขาอธิบายไปในข้างต้น นั่นคือเขาไปถึงบอลคนแรก ดังคำที่ว่า “ถ้าผมถึงคนแรกทุกอย่างจบเลย”
“ตอนผมสัมผัสบอล ผมคิดในใจว่า ‘โอเค อาจจะพอเรียกจุดโทษได้’ เซ็นเตอร์ของคิวพีอาร์สัมผัสผมนิดหน่อย แต่ไม่แรงเท่าไร ผมเลยวัดใจด้วยการลากต่อไปอีก พอถึงตรงนั้นผมได้คำตอบว่าต้องยิงเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะง้างเท้าเมื่อไหร่แค่นั้นเอง”
“เมื่อจังหวะและโอกาสมาถึงผมยิงในแบบของผมเสมอ นั่นคือการตัดสินใจยิงให้แรงที่สุดโดยเล็งไปที่เสาแรก” อเกวโร่ เล่าวินาทีนั้น
ประตูดังกล่าวส่งให้ แมนฯ ซิตี้ เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรก ดับคำวิจารณ์ทั้งหมดที่ทุกคนเคยมีกับสโมสรนี้ว่า “มีแต่เงินไม่มีคลาสไม่มีทางเป็นแชมป์ได้” เช่นเดียวกับฝั่งแฟนบอลคู่ปรับอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เคยพูดมาเสมอว่า “แมนเชสเตอร์ มีแค่สโมสรเดียว” เอาไว้ข่มฝั่ง ซิตี้ มาตลอด ถึงนาทีประวัติศาสตร์นั้นทุกอย่างได้นำมาสู่การเริ่มต้นรัชสมัยของ แมนฯ ซิตี้ อย่างที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้
กุน อเกวโร่ ทำให้ แมนเชสเตอร์ มี 2 สโมสรโดยที่ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง และเหนือสิ่งอื่นใดคือ ณ เวลานี้จุดเริ่มต้นจากฤดูกาล 2011-12 ส่งให้ ซิตี้ กลายเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากกว่า ยูไนเต็ด ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา
แชมป์ครั้งนั้นไม่ใช่แค่ถ้วย และการลบล้างคำดูถูก แต่มันคือการฝัง DNA ของผู้ชนะลงไปให้กับทั้งสโมสรแมนฯ ซิตี้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องเดินห่อไหล่เพราะโดนใครแซวอีกเเล้ว นักเตะในทีมเมื่อมีประสบการณ์เป็นเเชมป์ พวกเขาก็กลายเป็นนักเตะที่ดีขึ้นเก๋าขึ้น สโมสรที่มีแชมป์ประดับก็ทำให้ทีมมีมูลค่าสูงขึ้น และเมื่อมีแชมป์ มีความยิ่งใหญ่ก็ดึงดูดโค้ชทีดีและนักเตะที่ดีขึ้นได้
แม้ส่วนประกอบของความสำเร็จของ แมนฯ ซิตี้ จะมีมากมายหลายประการ แต่เราไม่อาจปฎิเสธได้เลยว่าประตูนั้นของ อเกวโร่ สำคัญกับสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แค่ไหน …