หากคุณเป็นคอภาพยนตร์ คุณก็คงไม่น่าจะพลาดภาพยนตร์เรื่อง “ฟอร์เรสต์ กัมป์” อย่างแน่นอน ที่คือหนังขึ้นหิ้งที่เล่าเรื่องชีวิตของชายคนหนึ่งที่ (บังเอิญ) เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์หน้าสำคัญ ๆ ของสหรัฐอเมริกาและของโลกใบนี้
และหากคุณเป็นคอฟุตบอล คุณเองก็น่าจะเคยได้ยินชื่อของ ฮาเวียร์ ซาวิโอลา มาก่อน … ดาวยิงร่างเล็กผู้เคยได้รับฉายาว่า นิว มาราโดนา เขาได้ลงเล่นกับทั้ง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด แต่ก็ไม่มีที่ไหนที่เขาประสบความสำเร็จจริง ๆ เสียที
ภายใต้ชีวิตการค้าแข้งที่ระหกระเหินกว่า 10 สโมสร ซาวิโอลา กลับมีเส้นทางอาชีพที่คับคล้ายคับคลากับ ฟอร์เรสต์ กัมป์ เพราะเขาบังเอิญได้เห็นหน้าประวัติศาสตร์มากมายของโลกฟุตบอลในแบบที่นักเตะหลายคนยากจะเคยสัมผัส
วิ่ง ฮาเวียร์ วิ่ง! ติดตามเรื่องราวของเขาได้ที่นี่กับ Main Stand
วิ่งจนได้ดี
ในเรื่อง ฟอร์เรสต์ กัมป์ ตัวเอกของเรื่องซึ่งชื่อเดียวกับภาพยนตร์เริ่มประวัติศาสตร์และสร้างสตอรี่ของตัวเองเป็นครั้งแรกจากการวิ่ง เมื่อฟอร์เรสต์ออกวิ่ง เขาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปโดยปริยาย จากเด็กที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพด้วยโรคโปลิโอ เขากลายเป็นนักกีฬาดีเด่นของทีมระดับมหาวิทยาลัย ด้วยการเป็นตัววิ่งในกีฬาอเมริกันฟุตบอล ซึ่งเรื่องราวของ ซาวิโอลา ก็คล้าย ๆ กัน เพราะการวิ่งของเขาในวัยเด็กทำให้เขาถูกเปรียบเทียบกับวีรบุรุษแห่งอาร์เจนตินาอย่าง ดิเอโก้ มาราโดนา
“สำหรับผม มาราโดนา ไม่เหมือนใคร และไม่มีวันที่จะมีใครเป็นเหมือนเขาอีกแล้วแม้กระทั่งผมเอง ผมไม่มีวันเทียบกับสุดยอดนักเตะคนนี้ได้เลย แต่แน่นอนเลยว่าผมโคตรจะภูมิใจ เพราะตอนที่ผมยังเด็กพวกเขาเรียกผมว่า นิว มาราโดนา” ฮาเวียร์ ซาวิโอลา เผย
ซาวิโอลา เป็นนักเตะตำแหน่งกองหน้าแบบอเมริกาใต้แท้ ๆ ถนัดเรื่องการจบสกอร์และการใช้สปีดความเร็วเอาชนะกองหลังด้วยทักษะ เขาตัวเล็กมากกว่าใครตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยความเสียเปรียบด้านสรีระเขาเลยพยายามทดแทนมันด้วยความเร็วแทน ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมามันเวิร์กมาก ๆ
เด็กที่วิ่งเร็วที่สุดในทีมผู้ได้รับฉายาว่า “เอล พิบิโต้” ที่แปลว่า “กระต่าย” โค้ชที่ชื่อว่า รามอน ดิอาซ ที่ดูแลเขามาตั้งแต่ในทีมเยาวชนของ ริเวอร์เพลท เล่าว่าเวลาที่ ซาวิโอลา ได้บอลเขาเหมือนกับกระต่ายที่วิ่งหนีกระสุนในเขตสัตว์ป่าสงวน รวดเร็ว คล่องแคล่ว เปลี่ยนทิศทางไว ยากที่จะเอาให้อยู่ด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว
การวิ่งของ ซาวิโอลา ทำให้เขาเข้าไปอยู่ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของฟุตบอลอาร์เจนตินาหลากหลายเหลือเกิน ตั้งแต่การเป็น นิว มาราโดนา การเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เล่นชุดใหญ่ให้กับ ริเวอร์เพลท ด้วยวัยเพียง 16 ปี นอกจากนี้ยังอยู่ในทีมชาติอาร์เจนตินา ชุดแชมป์ฟุตบอลโลกรุ่น ยู-20 ในปี 2001 ด้วย
ในทีมอาร์เจนติน่าชุดนั้นถือเป็นเจเนอเรชั่นที่รวมพลดาวดังซึ่งหลายคนจดจำชื่อจนทุกวันนี้ เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มนักเตะที่เป็นขวัญใจแฟนบอลไม่ว่าจะในการเล่นของพวกเขาจริง ๆ หรือแม้แต่ในเกมฟุตบอลอย่าง วินนิ่ง อีเลฟเว่น ทั้ง ฮวน โรมัน ริเกลเม, ปาโบล ไอมาร์, อันเดรส ดาเลสซานโดร และ มักซี่ โรดริเกซ
ในทัวร์นาเมนต์นั้น ซาวิโอลา ยิงไปทั้งสิ้น 11 ประตู จากการลงสนาม 7 นัด ทิ้งห่างอันดับ 2 ร่วมอย่าง อาเดรียโน่ ของ บราซิล และ ฌิบริล ซิสเซ่ ถึง 5 ประตู
ณ เวลานั้นสำนักข่าวของอังกฤษอย่าง เดอะการ์เดี้ยน ยังเขียนบทความถึง ซาวิโอลา ไว้ว่า “เขาและ ไมเคิล โอเวน จะเป็นผู้เริ่มยุคทองของกองหน้าสายความเร็ว”
ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หลังจบศึกฟุตบอลโลกยู-20 ในปี 2001 สโมสรจากทั่วยุโรปติดต่อมายัง ริเวอร์เพลท ที่กำลังมีปัญหาเรื่องการเงิน พวกเขาขาย ฮวน ปาโบล อังเคล ให้กับ แอสตัน วิลล่า, ขาย ปาโบล ไอมาร์ ให้กับ บาเลนเซีย และสุดท้ายสตาร์ที่เด่นที่สุดอย่าง ซาวิโอลา ก็กลายเป็นของ บาร์เซโลน่า ที่ใช้เงินกว่า 15 ล้านปอนด์ ซื้อตัวเขาไปตอนอายุ 19 ปี และจากนั้นเขาก็ได้สัมผัสหน้าประวัติศาสตร์มากมายกับชีวิตค้าแข้งที่สเปน
บาร์เซโลน่า ยุคตกต่ำ, เล่นกับโรนัลดินโญ่, และลูกพี่ของเมสซี่
หาก ฟอร์เรสต์ กัมป์ คือคนที่ได้พบและสนิทสนมกับ เอลวิส เพรสลี่ย์ ตอนที่ยังไม่มีชื่อเสียง ซาวิโอลา ก็คงเป็นคนที่ได้รับบทบาทนั้นในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของ ลิโอเนล เมสซี่ เด็กชาวอาร์เจนตินาที่เติบโตมาเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก
การ์เลส เรซัค คือคนที่ซื้อตัว ซาวิโอลา มา สิ่งต่าง ๆ ค่อนข้างง่ายเลยทีเดียวในครั้งแรก เพราะ ซาวิโอลา ถือพาสปอร์ตของสเปน (เจ้าตัวมีเชื้อสายจากบรรพบุรุษ) ทำให้เขาไม่ถูกจำกัดในการลงทะเบียนนักเตะนอกอียู ดังนั้น ซาวิโอลา จึงสามารถถูกใช้งานได้ทันที
แต่ก่อนที่ ซาวิโอลา จะลงซ้อม การ์เลส เรซัค บอกบางอย่างกับเขาเกี่ยวกับเรื่องราวของ ลิโอเนล เมสซี่ สมัยที่ยังอยู่ในทีม ลา มาเซีย หรือทีมอคาเดมีของ บาร์เซโลน่า และ เรซัค ต้องการให้ ซาวิโอลา ไปพบกับ เมสซี่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ทั้งสองคนได้เจอกันในวันนั้น หลังจากที่ ซาวิโอลา เก็บข้าวเก็บของหลังเดินทางมาถึงสเปนได้ไม่นาน
“ถ้าคุณมีเวลา ลองไปหาหนุ่มน้อยในทีมเยาวชนดู เรซัค บอกผมอย่างนั้น ตอนแรกผมทำท่าอิดออดเพราะเหนื่อย แต่เขาบอกว่าไปดูเถอะแม้สักเล็กน้อยก็ยังดี รับรองว่าผมจะไม่เสียเวลาเปล่าแน่นอน”
“ผมเดินทางไปดูการเล่นของทีมเยาวชนตามที่เขาบอก และผมรู้ได้ทันทีว่าคนไหนคือเด็กที่ชื่อว่า ลิโอเนล เมสซี่ ผมรู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะแตกต่างจากคนอื่นมาก ๆ หลังจากนี้ สิ่งที่ เมสซี่ ทำตอนเด็ก ๆ ไม่ใช่สิ่งที่ปกติเลยสำหรับเด็ก ๆ รุ่นเดียวกันกับเขา เพียงแต่ผมคิดผิดนิดเดียวเท่านั้น คือผมไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะกลายเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์” ซาวิโอลา เริ่มบอก
ไม่ใช่แค่ดูและพูดคุยด้วย แต่ ซาวิโอลา เป็นเหมือนรุ่นพี่ที่ เมสซี่ นับถือเป็นอย่างมาก ซาวิโอลา เป็นคนตั้งกลุ่มนักเตะอาร์เจนไตน์ที่บาร์เซโลน่าที่ประกอบไปด้วย มักซี่ โลเปซ, ติโต้ โบญาโน่ และ รวมถึง เมสซี่ ด้วย พวกเขาใช้เวลาด้วยกันบ่อย ๆ รวมถึงการกินข้าวเย็นร่วมกันแบบเป็นครอบครัว
ซาวิโอลา เป็นคนแรก ๆ ที่รู้ว่า เมสซี่ เองก็มีไอดอลในดวงใจเหมือนกัน และไอดอลคนนั้นคือเพื่อนซี้ของเขา ปาโบล ไอมาร์ นั่นเอง
แม้ช่วงเวลาที่ ซาวิโอลา เล่นให้ บาร์เซโลน่า จะเป็นช่วงที่ทีมตกต่ำ กุนซืออย่าง เรซัค หรือ หลุยส์ ฟาน กัล โดนต่อต้านจากแฟนบอลเพราะการปล่อยให้ เรอัล มาดริด เข้าป้ายคว้าแชมป์
ทว่าหาก บาร์เซโลน่า ยุคครองโลกหลังปี 2010 คือหนังไตรภาค ยุคของ ซาวิโอลา ก็คือ EP. 0 เพราะนักเตะที่อยู่ในทีมชุดนั้นได้เติบโตกลายมาเป็นหน้าประวัติศาสตร์ครั้งใหม่กันทั้งนั้น ชาบี เอร์นานเดซ คืออีกคนที่ ซาวิโอลา สนิทด้วยมาก พวกเขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และในช่วงเวลาที่พ่อของ ซาวิโอลา เสียชีวิตนั้น ครอบครัวของ ชาบี ก็ให้การดูแลและอยู่เคียงข้าง ซาวิโอลา ที่ใช้ชีวิตลำพังในสเปนมาตลอด จนช่วยให้เขาผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้
นอกจากนี้ยังมี การ์เลส ปูโยล, อันเดรียส อิเนียสต้า และ บิคตอร์ บัลเดส นักเตะพวกนี้ถือเป็นดาวรุ่งที่เติบโตมาจากความกดดันในยุคที่สโมสรเป็นรอง มาดริด กันทั้งสิ้น เรียกได้ว่าพวกเขาคือคนที่ซึมซับแรงขับจนกลายเป็นพลังที่พาบาร์ซ่าไปสู่ยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แน่นอนมันหมายถึง ลิโอเนล เมสซี่ ด้วย
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ซาวิโอลา เล่าว่าช่วงเวลากับ บาร์เซโลน่า สิ่งที่ทำให้เขาคิดว่าตัวเองโชคดีที่สุดคือการได้สัมผัสและลงสนามร่วมกับ โรนัลดินโญ่ ในยุคสมัยที่เรียกได้ว่า “พีคที่สุด” อีกด้วย นั่นทำให้เขารู้ซึ้งว่านักฟุตบอลอีกระดับที่แท้จริงนั้นเป็นแบบไหน
“ผมได้เล่นกับ โรนัลดินโญ่ ในช่วงเวลาที่เขาเก่งที่สุดในชีวิตการค้าแข้ง ถ้าคุณได้ประสบการณ์แบบนี้คุณแทบจะบ้าไปเลย ตอนนั้น โรนัลดินโญ่ ประพฤติตัวดีมาก อยู่ในกรอบของวินัย เขาจะมาที่ห้องแต่งตัวตรงเวลาและบอกกับพวกเราทุกคนว่าถ้าจะเล่นฟุตบอลให้ดีก็ต้องเล่นให้มันสนุกก่อน” ซาวิโอลา พูดถึง โรนัลดินโญ่ ในมุมที่คนอื่นอาจจะไม่เคยเห็นนัก
“ยิ่งเมื่อเขาลงสนามยิ่งเหมือนกับเป็นนักเตะจากนอกโลก เขาทำสิ่งต่าง ๆ กับลูกฟุตบอลในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน นี่คือนักเตะที่ดีที่สุดที่ผมเคยสัมผัส คุณไม่มีทางละสายตาจากเขาได้เลย แม้กระทั่งตอนที่ซ้อมเสร็จ โรนัลดินโญ่ จะเอาลูกฟุตบอลมาเดาะและโชว์เทคนิคต่าง ๆ เราทุกคนจะนั่งลงแล้วทำตัวเป็นผู้ชมที่ดี นั่นคือช่วงเวลาที่พิเศษมาก ๆ เลย”
ฟอร์เรสต์ กัมป์ อยู่ในยุคการเปลี่ยนแปลงของอเมริกา ซาวิโอลา ก็อยู่ในยุคผลัดใบของ บาร์เซโลน่า, ฟอร์เรสต์ กัมป์ เจอกับ “ราชา ร็อกแอนด์โรล” อย่าง เอลวิส ในวันที่ยังไม่ดัง ซาวิโอลา ก็ได้เจอกับ ราชาแห่งโลกฟุตบอลสมัยที่ยังเล่นอยู่ในทีมเยาวชนอย่าง เมสซี่ และในวันที่ ฟอร์เรสต์ กัมป์ ได้พบกับเพื่อนร่วมงานที่เยี่ยมที่สุดที่เขาให้ความเคารพจนวินาทีสุดท้ายอย่างผู้หมวดแดน ซาวิโอลา ก็ได้พบเบอร์ 1 ของโลกฟุตบอลในวันที่ดีที่สุดอย่าง โรนัลดินโญ่ เช่นกัน
การออกเดินทางเพื่อหาความหมาย
ซาวิโอลา เป็นนักเตะที่อยู่ไม่ติดที่และไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมายอย่างที่ควรจะเป็น แต่การย้ายทีมบ่อย ๆ และออกเดินทางเพื่อหาความหมายให้ตัวเองเป็นสิ่งที่เขาทำมาเสมอ เขาไม่เคยชอบอยู่กับที่เพื่อรอให้โชคเข้ามาหา ซาวิโอลา คือคนที่พร้อมจะออกไปเจอประสบการณ์ใหม่ ๆ หากพบว่าที่เดิม ๆ ไม่สามารถทำให้เขามีความสุขได้
ดังนั้นชีวิคค้าแข้งของเขาจึงเปรียบดั่งขนนกที่ล่องลอยไปเรื่อย ๆ อยู่กับทีมดัง ๆ ของแต่ละประเทศมากมายนอกจาก ริเวอร์เพลท และ บาร์ซ่า แล้ว ยังมี โมนาโก, เซบียา, เรอัล มาดริด, เบนฟิกา, โอลิมเปียกอส, เวโรนา ก่อนจะกลับมาแขวนสตั๊ดที่ ริเวอร์เพลท ในปี 2016
และสิ่งที่หลายคนไม่รู้คือทุกวันนี้ ซาวิโอลา ยังไม่ได้เกษียณตัวเอง เพราะเขาเดินทางไปยังประเทศอันดอร์รา เพื่อเป็นสมาชิกของสโมสรฟุตซอลอาชีพที่มีชื่อว่า เอ็นแคมป์ ใช่แล้วในวัย 40 ปี ตอนนี้เขายังเป็นนักฟุตซอลอาชีพอยู่
เขาเคยอธิบายเรื่องของการย้ายออกและเดินทางบ่อย ๆ ว่า เขามักจะมองหาที่ต่าง ๆ ที่คิดว่าเขาเป็นคนสำคัญ เขามีปรัชญาว่าการเริ่มต้นใหม่จะนำมาซึ่งเรื่องดี ๆ เสมอ
“ผมออกเดินทางเพื่อต้องการจะรู้สึกกลายเป็นคนที่มีประโยชน์อีกครั้ง ผมมีความเชื่อมั่นในเรื่องของการเริ่มต้นว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดี ผมมีแพชชั่นที่จะแสดงความสามารถของผมเสมอ” ซาวิโอลา พูดถึงตัวเองในวันที่ยอมหั่นเงินเดือนลง 50% เพื่อย้ายจาก มาดริด ไปเล่นให้กับ เบนฟิกา
“ผมเล่นฟุตซอลมาตั้งแต่ 5 ขวบแล้ว และหัวใจมันเรียกร้องว่าอยากจะเล่นมันอีกครั้งหลังจากจบอาชีพนักฟุตบอล”
“ผมย้ายไปอันดอร์รา สโมสร เอ็นแคมป์ ให้โอกาสผม และมันทำให้ผมตื่นเต้นกับชีวิตอีกครั้ง สโมสรนี้ได้เข้าแข่งขันในศึกแชมเปี้ยนส์ลีกด้วย ผมมีความสุขมาก ๆ ที่ได้กลับมาเล่นฟุตซอลอีกครั้งและได้อยู่กับมันตลอดเวลา”
เขายังมีบางอย่างที่คล้าย ๆ กับ ฟอร์เรสต์ กัมป์ อีก นั่นคือเขายังคงเป็นคนที่ถูกแฟน ๆ ที่อันดอร์ราวิ่งตาม เนื่องจากหลายคนรู้จักเขาผ่านชีวิตค้าแข้งในแบบที่เขาเป็น ทุกวันตามท้องถนนมีผู้คนมากมายมาทักทาย มาวิ่งออกกำลังกายแล้วขอลายเซ็นเขา แม้วันเวลาของเขาจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม
“ที่อันดอร์รามีชาวอาร์เจนไตน์เยอะนะ มีคนคลั่งฟุตบอลที่จำผมได้ เช่นเดียวกันที่นี่มีคนสเปนเยอะด้วย พวกเขาเห็นผมและทักทายถามไถ่ในช่วงที่ยังเล่นให้กับ บาร์เซโลน่า มันคือความรู้สึกที่ดีมาก ๆ เลย แม้จะเลิกไปนานแล้ว แต่ผู้คนก็ยังรักในตัวตนของคุณอยู่”
และสุดท้ายหาก ฟอร์เรสต์ กัมป์ เป็นหนังฟีลกู๊ดที่จบเรื่องแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชีวิตค้าแข้งของ ซาวิโอลา เองก็คงเป็นเช่นนั้น เขาและครอบครัวย้ายมาอยู่ที่อันดอร์รา มีลูก 2 คน หลังจากเตะฟุตซอลก็จะพาลูก ๆ ไปท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ เช่นเล่นสกีหิมะ และทำในสิ่งที่ครอบครัวที่มีความสุขเขาทำกัน ซึ่งเขาเองก็ยอมรับว่าไม่เคยต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ชีวิตคนเราก็เท่านี้ สิ่งต่าง ๆ ในอดีตจะเป็นความทรงจำที่ดีได้ก็ต่อเมื่อเรามองมันในแง่บวก พร้อมทั้งจดจำแง่ลบเอาไว้เป็นบทเรียน แม้อาชีพค้าแข้งของ ซาวิโอลา จะจบลงไปแบบที่ได้แชมป์น้อยไปหน่อย แต่เมื่อมองย้อนกลับไป เขากลายเป็นส่วนเล็ก ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์สำคัญของโลกฟุตบอลมากมาย
การออกไปเจอกับโชคชะตา ใช้สัญชาตญาณ ล่องลอยเหมือนขนนกกลางสายลม สนุกกับสิ่งที่รออยู่ และอย่าลืมว่าทุกช่วงเวลาของชีวิต คุณยังสามารถมองหาความสุขเพื่อให้คุณมีรอยยิ้มได้ แม้ว่าใครจะตัดสินว่าคุณด้อยค่าและล้มเหลวแค่ไหนก็ตาม
นี่คือเรื่องราวทั้งหมดของเขา ฮาเวียร์ ซาวิโอลา