พรีเมียร์ลีก มีการประชุมร่วมกันเมื่อวันที่จันทร์ที่ผ่านมา พร้อมกับการได้ข้อสรุปที่ว่า พวกเขาจะดำเนินการแข่งขันต่อไป หากเกมการแข่งขันใดพร้อมแข่งขัน และจะเลื่อนหากมีเหตุจำเป็นต้องเลื่อนการแข่งขัน โดยเป็นประชุมออนไลน์ระหว่าง พรีเมียร์ ลีก ผู้จัดการทีม รวมถึงกัปตันทีม ทั้ง 20 สโมสร เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
โดยรายละเอียดด้านล่างนี้มาจากแถลงการณ์ของพรีเมียร์ ลีก และข้อมูลจากสื่อมวลชนอย่าง สกาย สปอร์ต, บีบีซี รวมถึง ดิ แอตเลติก
โดยแรกเริ่มมีสามทางเลือกที่อยู่ในการประชุมคือ
1.แข่งต่อตามปกติ
2.ยกเลิกเกมสัปดาห์หน้า
3.พักการแข่งขัน
ซึ่งในการประชุม ผลที่ออกมาคือ พรีเมียร์ลีก สนับสนุนทางเลือกแรก เช่นเดียวกับหลายสโมสร แต่ก็มีบางสโมสร อย่างเช่น ลิเวอร์พูล ที่เลือกทางเลือกสอง ด้วยเหตุผลว่าพวกเขาคิดว่ามันไม่ยุติธรรมในการบอกกับนักเตะให้ลงเล่นในช่วงสัปดาห์หน้า ซึ่งเป็นช่วงบ๊อกซิ่งเดย์ ไปจนถึงเกมแรกของปี 2022
ส่วนทางเลือกสามไม่มีใครเห็นด้วย ก่อนที่สุดท้ายมติในที่ประชุมจะออกมาให้มีการแข่งขันต่อไป โดย พรีเมียร์ลีก ระบุช่วงหนึ่งในแถลงการณ์ว่าเรื่องเกี่ยวกับ สุขภาพแลสวัสดิภาพของผู้เล่น และทีมงานทุกคนเป็นสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก และพรีเมียร์ลีก จะติดตามพร้อมกับปฏิบัติตามมาตรการด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การแข่งขันสามารถเดินต่อไปได้
สำหรับการเลื่อนเกมการแข่งขันที่เกิดขึ้นมาตลอดสัปดาห์ที่แล้ว ก็อยู่ในวาระการประชุมด้วย แต่ยังไม่มีการเปิดเผยในขั้นตอนหรือข้อกำหนดใดออกมาต่อสื่อมวลชน แต่จะขึ้นกับการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนด้วย
อย่างไรก็ตาม บีบีซี สื่อในอังกฤษ มีการคาดการณ์ว่าเกมในรอบที่ 20 ซึ่งจะลงเล่นกันในช่วงวันที่ 28 ธันวาคม 2021 จะถูกเลื่อนออกไป เพื่อลดแรงกดดันจากสโมสรในพรีเมียร์ลีก และทำให้แทนที่จะลงเล่น 3 เกมในช่วงบ๊อกซิ่งเดย์ ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 26 ธันวาคม 2021 – 2 มกราคม 2022 จะเหลือเพียงแค่สองเกมเท่านั้น
ขณะที่ในคู่มือของ พรีเมียร์ ลีก ในการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 มีการระบุว่าสโมสรใดที่มีนักเตะอย่างน้อย 14 คน (13 เอ้าท์ฟิลด์ + 1 นายทวาร) พวกเขาจะสามารถลงสนามได้ต่อไป และจะไม่ได้รับการอนุมัติการขอเลื่อนเกมการแข่งขันออกไป
อย่างไรก็ตามในส่วนนี้พรีเมียร์ ลีก จะมีการประเมินหลายปัจจัยประกอบด้วย ความสามารถของสโมสรในการลงเล่น, ความรุนแรง และผลกระทบที่จะเกิดหรืออาจเกิดขึ้นจากโควิด-19 บนพื้นฐานความปลอดภัยของนักเตะ และทีมงาน, สโมสรคู่แข่ง และบุคคลอื่น
พรีเมียร์ลีก ยังได้มีการกล่าวเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนของผู้เล่น และทีมงาน ซึ่งมีการเปิดเผยตัวเลขออกมาแล้วว่ามีจำนวน 92 % ของทั้งหมดได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว 1,2 หรือ 3 โดส เรียบร้อยแล้ว
โดยมี 84 % ของนักเตะทั้งหมดที่ได้รับวัคซีนแล้ว โดยนักเตะที่ได้รับเข็มแรก หรือเข็มสองแล้ว กำลังอยู่ในช่วงเวลารอคอยตามกำหนดเพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่สอง หรือสามตามขั้นตอนต่อไป ซึ่ง พรีเมียร์ลีก จะพยายามในการโน้มน้าว นักเตะ และทีมงานของแต่ละสโมสร ในเรื่องของการรณรงค์การฉีดวัคซีน เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน รวมถึงสนับสนุน และกระจายข้อมูลด้านสาธารณสุขไปยังทุกสโมสร รวมถึงสาธารณชนในวงกว้างต่อไป
พรีเมียร์ลีก จะไม่ให้ข้อมูลเฉพาะเจาะจงสโมสร หรือผู้เล่น แต่อัตราการฉีดวัคซีนจะมีการเผยแพร่ในทุกสิ้นเดือนนับจากนี้ โดยเริ่มต้นจากเดือนมกราคม 2022 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ในรายการแข่งขันใหญ่อีกสองรายการอย่าง เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ (คาราบาว คัพ) ก็มีการอัพเดตการเปลี่ยนแปลงเช่นกันจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เอฟเอ คัพ ยืนยันแล้วว่าพวกเขาจะดำเนินการแข่งขันต่อไป ซึ่งในรอบที่สาม และสี่ของการแข่งขัน จะมีกายกเลิก “เกมรีเพลย์” ในกรณีที่เสมอกันในเกมแรก และให้ตัดสินกันด้วยการต่อเวลา และดวลจุดโทษตัดสินไปเลย ซึ่งทีมในพรีเมียร์ ลีก จะเริ่มลงเล่นกันในรอบที่สามเป็นต้นไป และการแข่งขันจะมีขึ้นในช่วงต้นเดือนมกราคม 2022 ที่จะถึงนี้
ขณะที่ในส่วนของ ลีก คัพ (คาราบาว คัพ) ได้รับการยืนยันแล้วว่าในรอบ 8 ทีมสุดท้าย พวกเขาจะดำเนินการแข่งขันต่อไป ส่วนกรณีที่ว่าในรอบรองชนะเลิศ อาจจะมีการลดเกมการแข่งขันจากเดิมซึ่งจะลงเล่นในแบบ “เหย้า-เยือน” เหลือเพียงลงเล่นเพียงเกมเดียว ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา
มองจากสิ่งที่สรุปออกมาต้องบอกว่า “ไม่ผิดคาด” เท่าไรนัก เพราะ พรีเมียร์ ลีก มีความชัดเจนในเรื่องของความต้องการให้ลงเล่นต่อไปมาตั้งแต่แรกแล้ว และด้วยสถานการณ์ของ โควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน แม้จะมีการระบาดหนัก แต่ก็ยังพอจะพูดได้ว่าทั่วโลกรู้จักกับอันตรายของไวรัสตัวนี้มาแล้ว ทำให้ พรีเมียร์ ลีก มีการวางมาตรการป้องกันได้ค่อนข้างพร้อมกว่าเมื่อปี 2020 ที่เวลานั้นทุกอย่างใหม่หมด บนพื้นฐานที่ว่า ถ้ารัฐบาลอังกฤษต้องการอะไร พรีเมียร์ ลีก ก็พร้อมที่จะปฏิบัติตามเช่นกัน มองจากตรงนี้เชื่อว่า พรีเมียร์ ลีก เลือกที่จะอยู่ร่วมกับ โควิด-19 แบบเต็มตัว เดินหน้าต่อไป หลีกเลี่ยงเมื่อจำเป็น แต่จะไม่หยุดการแข่งขัน
หลายความเห็นอาจจะกล่าวเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ และชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ในชีวิตจริงแล้ว หากมีการยกเลิกการแข่งขัน หรือพักการแข่งขันใดเป็นเวลานาน ในเรื่องของปากท้อง และเศรษฐกิจของ พรีเมียร์ ลีก และสโมสรก็จะได้รับผลกระทบอย่างแรงเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อประเมินสถานการณ์แล้ว “ยังไปไหวก็ไปต่อ” แต่ถ้าสถานการณ์มีความรุนแรงขึ้น เราอาจจะได้เห็นการประชุมแบบนี้อีกในอนาคตก็เป็นไปได้
ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป…ปลอดภัย สุขภาพดีกันทุกคนครับ