sportpooltoday

วุ่นวาย โรคร้าย ราชา : 1 ขวบปีช่วงชีวิตสุดท้ายของ ดิเอโก้ มาราโดน่า


วุ่นวาย โรคร้าย ราชา : 1 ขวบปีช่วงชีวิตสุดท้ายของ ดิเอโก้ มาราโดน่า

25 พฤศจิกายน คือวันครบรอบวันเสียชีวิตของ ดิเอโก้ มาราโดน่า อดีตนักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่และเป็นหนึ่งในไอคอนของวงการฟุตบอลที่สร้างอิมแพ็กต์ให้กับสังคมในแง่ต่าง ๆ เยอะที่สุด

“ยิ่งกว่าฟุตบอลคือเส้นทางชีวิต” ประโยคดังกล่าวคือคำที่แฟน ๆ ของ มาราโดน่า กล่าวถึงเขาในวันที่เขาจากโลกนี้ไป

วันนี้เราจะย้อนกลับมาดูในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต มาราโดน่า ราชาโลกฟุตบอลผู้แบกกรรมต่าง ๆ ที่เคยได้สร้างไว้มาชดใช้ในช่วงเวลาดังกล่าว 

 

เขาต้องประสบพบเจออะไรบ้าง ติดตามได้ที่ Main Stand

2018 ราชาแห่งเม็กซิโก 

หลังจากไปท่องยุทธภพทั่วโลกในบทบาทต่าง ๆ ดิเอโก้ มาราโดน่า หันเหชีวิตกลับมาเป็นกุนซือทีมฟุตบอลอีกครั้ง 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชื่อเสียงของเขานั้นขายได้เสมอ ดังนั้นต่อให้เป็นตำแหน่งผู้จัดการทีม ที่แม้ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จนักแต่หลายทีมก็เต็มใจมอบตำแหน่งนี้ให้กับเขา 

 

นั่นคือเหตุผลที่ มาราโดน่า ได้ไปคุมในในลีกต่าง ๆ อย่าง ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่การคุมทีมที่มีเรื่องราวบอกต่อเล่าขานมากที่สุดครั้งหนึ่งคือวันที่เขาได้คุมทีม โดราโดส สโมสรในประเทศเม็กซิโก เมื่อฤดูกาล 2018-19

 

โดราโดส ไม่ได้มีอะไรน่าดึงดูดเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเป็นเพียงแค่ทีมท้ายตารางระดับดิวิชั่น 2 ของเม็กซิโก สถานะการเงินของสโมสรก็ไม่ค่อยดีนัก แถมยังไร้ผู้เล่นดัง ๆ ให้กุนซือเลือกใช้งาน แต่ มาราโดน่า ก็มีเหตุผลสำหรับการเลือกของเขา 

แรกเริ่มหลายคนมองไปในทิศทางอื่นไม่ได้เลยนอกจากเรื่องของยาเสพติด เพราะอย่างที่หลายคนทราบ มาราโดน่า คือหนึ่งในนักฟุตบอลที่พัวพันกับยาเสพติดจนชีวิตไปได้ไม่สวยนัก ดังนั้นการที่เขามายังสโมสร โดราโดส ทีมเล็ก ๆ ในรัฐซินาลัว รัฐที่เกี่ยวพันและเคยถูกปกครองในโลกใต้ดินของราชาโคเคนอย่าง “เอล ชาโป” หรือ ฮัวคิน กุซมัน ทำให้ชื่อของ มาราโดน่า และ โดราโดส ถูกจับมาผูกกันด้วยเหตุผลง่าย ๆ แค่นี้เอง

 

อย่างไรก็ตาม มาราโดน่า บอกว่าเขามาที่นี่ด้วยเหตุผลของฟุตบอล เรื่องดังกล่าวเกิดจากการคุยกับประธานสโมสรโดราโดส ที่ชื่อว่า อันโตนิโอ นูเนซ โดย นูเนซ บอกกับ มาราโดน่า ว่าทีมของเขามีปัญหาเรื่องภาพลักษณ์ ไม่มีสปอนเซอร์สนับสนุน ผลงานในสนามก็แย่ จ้างโค้ชคนไหนก็ไม่มีใครอยากมาทำงานในซินาลัว ที่ที่ว่าเป็นแดนเถื่อน 

และงานที่ไม่มีใครต้องการ คือสิ่งที่กระตุ้นชายผู้ใช้ชีวิตบนความเร้าใจอย่าง มาราโดน่า ให้ตื่นตัวขึ้น เขารับงานนั้นและให้คำสัญญากับ นูเนซ ว่า “ไม่ต้องห่วง ผมทำงานนี้ได้” และงานของเขาที่ เม็กซิโก ก็เริ่มขึ้น

 


มาราโดน่า ไม่เคยถือตัวกับการคุมทีมลีกรองของเม็กซิโก แถมนักเตะก็โนเนม เขาไม่ดุด่าว่ากล่าวใครในการซ้อมมากมายนัก แต่สิ่งที่เขาทำคือการใส่ความเชื่อมั่นสร้างพลังให้กับลูกน้องและเพื่อนร่วมงาน มาราโดน่า ใช้ความเป็นผู้นำกระตุ้นให้ทุกคนกระหายอยาก ใช้วาทะศิลป์ในการพูดจาโน้มน้าวเพื่อให้ทุกคนในทีมมั่นใจ ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรมากมายแค่ลงสนามไปแล้วพยายามคว้าชัยชนะมาให้ได้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว สุดท้ายทีมก็พลิกสถานการณ์เข้าไปถึงรอบชิงแชมป์ได้ถึง 2 ครึ่งฤดูกาลติดต่อกัน (ลีกเม็กซิโกแบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 ครึ่ง แยกตำแหน่งแชมป์ของแต่ละครึ่งฤดูกาลออกจากกัน) 

การทำงานเป็นไปตาม มาราโดน่า สไตล์ ยามดีใจก็เฮกันสุดเหวี่ยงแม้จะเป็นชัยชนะในเกมเล็ก ๆ บางวันเขาก็อารมณ์ขึ้นและหยุดตัวเองไม่อยู่ บางครั้งเขาก็บันดาลโทสะกับแฟนบอลและกรรมการ แต่ถึงอย่างนั้นลูกทีมก็รักเขามาก ในช่วงเวลาหนึ่งที่ มาราโดน่า ผ่าตัดหัวใจ ลูกทีมก็ส่งกำลังใจให้เขาเสมอ จนกระทั่งการผ่าตัดเสร็จ แม้หลายคนจะบอกให้เขาเลิกทำงานที่มีความเครียด แต่ มาราโดน่า ก็บินไปเม็กซิโกเพื่อทำงานของเขาต่อทันที 

 

“ผมมองเด็ก ๆ ในทีมเป็นเหมือนลูกชาย เด็กพวกนี้ไม่ใช่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้, เมสซี่, เนย์มาร์ ที่มีค่าจ้างมหาศาล พวกเขาใช้ชีวิตกันแบบเดือนชนเดือน ผมอยากช่วยเหลือพวกเขา ต่อให้ผมต้องผ่าตัดหัวใจผมก็จะกลับไปโดราโดส เพราะผมสัญญากับพวกเขาไว้แล้วว่า ผมจะอยู่กับเขาต่อ” นี่คือสิ่งที่ มาราโดน่า ว่าไว้

 

เขาออกจากงานที่ โดราโดส หลังจากทำงานที่นั่นได้ 1 ปี ที่นั่นทำให้ มาราโดน่า กลับมามีชีวิตในทุก ๆ วันด้วยความสุขอีกครั้ง เพียงแต่ว่าปัญหาสุขภาพทำให้เขาต้องถอนตัวจากงานที่รัก 

แม้ไม่มีถ้วยแชมป์ใด แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งหมดช่วยให้ทุกคนที่นั่นรักและเทิดทู มาราโดน่า ดั่งราชา … แต่เมื่อนี่คือมาราโดน่า เขาไม่เคยหยุดอยู่ที่ไหนนาน ๆ แม้จะมีความสุขขนาดไหน เขาก็ต้องกลับ อาร์เจนตินา เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างจริงจังอีกครั้ง

อาชีพกุนซือครั้งสุดท้ายที่ กิมนาเซีย

การกลับมารักษาตัวที่อาร์เจนตินาผ่านไปได้ด้วยดี และคนที่เคยอยู่กับฟุตบอลมาทั้งชีวิตอย่าง มาราโดน่า ก็เริ่มคิดว่า เขาคงไม่ได้เกิดมาเพื่อพักผ่อนรักษาร่างกายอยู่กับบ้านหรือเก็บตัวอยู่เงียบๆ เพราะกลัวตาย สิ่งสำคัญในชีวิตของเขาคือฟุตบอล สิ่งเดียวที่ทำให้อะดรีนาลีนของเขาสูบฉีดยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ แม้กระทั่งยาเสพติด 

“การเล่นฟุตบอลคือสิ่งที่สวยงามสุดในโลก มันทำให้รู้สึกถึงอะดรีนาลีนที่ไหลเวียนทั่วร่างกาย … บางครั้งในชีวิต ผมต้องเผชิญหน้าอยู่กับสิ่งที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ในเกมฟุตบอล ผมไม่เคยกลัวอะไรทั้งสิ้น” นี่คือสิ่งที่ มาราโดน่า ได้กล่าวไว้ในช่วงบั้นปลายชีวิต ก่อนที่เขาจะรับเข้างานคุมทีมสโมสร กิมนาเซีย

 

เป็นอีกครั้งที่เขาทำงานกับทีมที่ไม่ได้โดดเด่นในเรื่องของคุณภาพนักเตะ อันดับในตาราง รวมถึงงบประมาณ มาราโดน่า ได้รับงานนี้จากความสนิทสนมกับประธานสโมสรที่ชื่อ กาเบรียล เปเยกริโน่ 

และสาเหตุที่เขาตัดสินใจรับงานนี้อีก 1 ข้อก็คือความสงสัยว่า วงการฟุตบอลอาร์เจนตินายังรักเขาอยู่หรือไม่ 

 

“บางครั้งผมก็สงสัยว่าผู้คนยังรักผมเหมือนเดิมหรือไม่ แต่เมื่อผมกลับมาที่ฟุตบอลอาร์เจนตินาอีกครั้ง นี่คือวันที่ผมจะไม่มีวันลืม เมื่อผมเดินลงสนามพร้อม ๆ กับทีม กิมนาเซีย ผมถึงได้เข้าใจว่าความรักของชาวอาร์เจนตินาที่มีต่อผมนั้นไม่มีวันสิ้นสุด” มาราโดน่า กล่าว 

ผลงานของ มาราโดน่า ในการคุมทีม กิมนาเซีย นั้นเป็นไปในแบบที่มีกราฟพัฒนาขึ้นจากทีมท้ายตารางมาเป็นทีมกลางตาราง สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปคือเขาเต็มที่กับการทำงาน และใครก็ตามที่ร่วมงานและเป็นทีมเดียวกับเขา พวกเขาจะรัก มาราโดน่า อย่างสุดหัวใจ เพราะความเข้าถึงง่ายและจริงใจของเขานั่นเอง

 

ในวันที่ มาราโดน่า คุม กิมนาเซีย นัดแรก แฟนบอลทั้งสนามไม่ว่าจะทีมตัวเองหรือทีมคู่แข่งก็ยังร้องเพลงเชียร์ประจำตัวของเขาสมัยยังเป็นนักเตะ เพลงนี้มีชื่อว่า “El que no salta es un inglés” (ถ้าคุณไม่กระโดดแสดงว่าคุณเป็นคนอังกฤษ) ที่แต่งขึ้นจากการใช้หัตถ์พระเจ้าของเขาใส่ทีมชาติอังกฤษเมื่อฟุตบอลโลกปี 1986 

อิทธิพลของ มาราโดน่า แผ่ไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงที่มีการเลือกตั้งประธานสโมสรหลังครบกำหนด ประธานคนเดิมอย่าง เปเยกริโน่ กลับไม่คิดจะชิงตำแหน่งต่อ … มาราโดน่า ได้แสดงอิทธิพลที่เขามีต่อแฟนบอลครั้งนั้น ด้วยการประกาศลาออก และยื่นคำขาดว่าทางเดียวที่จะทำให้เขากลับมาคุมทีมได้ ต้องให้ เปเยกริโน่ กลับมาเป็นประธานสโมสรเท่านั้น 

จากที่เป็นเรื่องธรรมดา ๆ แต่เมื่อ มาราโดน่า เรียกร้อง แฟนบอลก็หลั่งไหลกันมาที่บริเวณหน้าสนามเหย้าของสโมสร และเรียกร้องให้ เปเยกริโน่ กลับมาลงเลือกตั้งอีกครั้ง เพื่อจะได้ทำให้ มาราโดน่า กลับมาเป็นเฮดโค้ชเหมือนเดิม 

 

หลังจากลาออกได้สองวัน มาราโดน่า ก็กลับมารับงานเฮดโค้ชอีกครั้ง พร้อมกับขบวนแห่ต้อนรับดั่งราชาจากแฟนบอลของทีม และนี่เป็นอีกครั้งที่ มาราโดน่า ทำในสิ่งที่ มาราโดน่า เป็นเสมอ นั่นคือไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนเขาก็เข้าถึงหัวใจของคนอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน

แม้เป็นราชา ก็แพ้สังขาร 

มาราโดน่า กำลังกลับมามีความสนุกและความสุขกับฟุตบอลอีกครั้งที่ กิมนาเซีย อย่างไรก็ตามโรคร้ายยังตามเขาเป็นเงา เขาต้องเข้ารับการรักษาอยู่ตลอด จนกระทั่งในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2020 ข่าวสุดช็อกก็ได้ถูกรายงานไปทั่วโลก…

ดิเอโก้ มาราโดน่า เสียชีวิตจากอาการโรคหัวใจกำเริบ 

โรคหัวใจเป็นสิ่งที่ติดตัวกับ มาราโดน่า มานานหลายปี ก่อนหน้านี้เขาเคยเข้ารับการผ่าตัดหลายครั้ง ไม่ว่าจะในประเทศที่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์สูงอย่าง คิวบา หรือกระทั่งที่ อาร์เจนตินา บ้านเกิดของเขาเอง อย่างไรก็ตามไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ผ่าตัดเสร็จ มาราโดน่า ก็ไม่เคยหายขาด เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุผลอะไร แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาต้องพบเจอจะมาจากพฤติกรรมสุดขั้วของเขาในอดีตที่เคยมีประวัติเสพยามานานหลายปี 

แม้กระทั่งวันที่ มาราโดน่า ไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ตัวของเขาก็ยังเป็นประเด็นให้พูดถึงในแง่ต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการสืบสวนเกี่ยวกับแพทย์ที่รักษาอาการของเขาในข้อหา รักษาโดยประมาทจนทำให้ มาราโดน่า ต้องเสียชีวิต 

มีการตั้งข้อสังเกตจากครอบครัวของเสือเตี้ยว่า มาราโดน่า ไม่ได้รับการดูแลอย่างดีเพียงพอทำให้เขาเสียชีวิต ซึ่งทำให้ครอบครัวของเขาเรียกร้องให้ เลโอลปอลโด ลูเก้ ศัลยแพทย์ที่ทำการผ่าตัด มาราโดน่า ทั้ง 2 ครั้ง ออกมาแสดงความรับผิดชอบในกรณีนี้ ขณะที่สำนักงานอัยการใน ซาน อิซิโดร กรุงบัวโนสไอเรส ยื่นคำร้องต่อผู้พิพากษา โดยทีมแพทย์ที่ดูแลเคสของมาราโดน่าทั้ง 7 คนถูกตั้งข้อหาและไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ … ซึ่งถึงวันนี้การตัดสินบนชั้นศาลก็ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด 

ในวันที่เขาจากไปเรื่องของ มาราโดน่า ก็ยังคงถูกพูดถึงอยู่เสมอ หลายคนบอกว่าเขาคงไม่เสียชีวิตเร็วเท่านี้ หรือเขาอาจเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้ หากพฤติกรรมของเขาไม่เละเทะเหลวแหลกอย่างที่เขาทำ 

 

อย่างไรก็ตามบทสัมภาษณ์สุดท้ายก่อนที่เขาจะเสียชีวิต มาราโดน่า ก็ได้บอกเล่าถึงทุกสิ่งที่เขาคิด และสิ่งที่คนอื่นตั้งคำถามเรื่องการใช้ชีวิตของเขาตั้งแต่เขายังเป็นวัยรุ่น จนอายุ 60 ปี 


“ถ้าคุณถามว่าผมเสียใจหรือไม่กับชีวิตที่ผ่านมาจนทุกวันนี้ … ผมคงตอบว่าไม่ ผมได้ทำทุกอย่างแบบที่อยากทำ แล้วมันก็ทำให้ผมมีความสุขมากอย่างไม่น่าเชื่อ”

“ฟุตบอลให้ทุกอย่างที่ผมมี ให้ผมทุกสิ่งมากกว่าที่ผมเคยคิด จริงอยู่ถ้าผมไม่ติดยาเสพติด ผมอาจจะได้เล่นฟุตบอลมากกว่านี้ แต่แล้วยังไงล่ะ ? เรื่องทั้งหมดมันผ่านมาแล้วนี่นะ ผมสบายดีและมีความสุขเสมอ”

 

“สิ่งเดียวที่ผมเสียใจกับเหตุการณ์ในอดีตคือ การที่พ่อและแม่ของผมต้องจากโลกนี้ไปเท่านั้น แต่ผมเชื่อนะว่าพวกเขาจะได้รับรู้ถึงสิ่งทีเกิดขึ้นกับผมตอนที่อยู่บนสวรรค์ พ่อกับแม่จะต้องภูมิใจกับผมแน่ และผมมั่นใจว่าพวกท่านจะมีความสุขที่ได้เห็นผมในเวลานี้” 

สุดขีดสุดขั้วแบบนี้ คงไม่มีใครนอกจาก ดิเอโก้ อาร์มันโด มาราโดน่า อีกแล้ว