sportpooltoday

4 เหตุผลที่ “ลาลีกา” เป็นลีกที่สู้กันสูสีที่สุดในยุโรป


4 เหตุผลที่ "ลาลีกา" เป็นลีกที่สู้กันสูสีที่สุดในยุโรป

ฟุตบอลลาลีกา ฤดูกาล 2021/22 ผ่านพ้นไปแล้ว 1 ใน 3 ของเส้นทาง ภาพรวมถือว่าสู้กันอย่างเข้มข้น ลุ้นระทึกกันนัดต่อนัด ไม่ต่างจากช่วง 2-3 ฤดูกาลที่ผ่านมา อีกทั้งทีมขนาดกลางต่างยกระดับผลงานได้ดีเกินคาด

ย้อนกลับไปเมื่อซีซั่นที่แล้ว แฟนบอลได้เห็นเหตุการณ์การลุ้นแย่งแชมป์ที่ตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของลีกสเปน เนื่องจากช่องว่างระหว่างอันดับ 1 และอันดับ 4 ห่างกันแค่ 3 แต้ม ในขณะที่เหลืออีก 5 นัดสุดท้าย

หลังผ่านนัดที่ 13 เรอัล โซเซียดัด ยังคงนำเป็นอันดับ 1 มี 28 แต้ม ตามมาด้วย เรอัล มาดริด และ เซบีย่า ที่มี 27 แต้มเท่ากัน แม้กระทั่งทีมอันดับ 6 อย่าง ราโย บาเยกาโน่ ก็มีแต้มตามหลังจ่าฝูงแค่ 8 แต้มเท่านั้น

ในส่วนของผลต่างประตูได้เสีย ก็มีความใกล้เคียงไม่ต่างกัน เรอัล มาดริด เป็นทีมที่มีผลต่างดีสุด คือ +15 ส่วน เลบันเต้ กับ เกตาเฟ่ เป็นทีมที่มีผลต่างแย่สุด คือ -13 เท่ากัน ห่างกันอยู่ 28 ลูก สูสีที่สุดใน 5 ลีกใหญ่ยุโรป

นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์เหลือเชื่อเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ อย่างเช่น เซลต้า บีโก้ ที่ตามหลังบาร์เซโลน่า 0-3 ในครึ่งแรก ก่อนยิงตีเสมอ 3-3, บาเลนเซีย ที่ตามหลังแอตเลติโก มาดริด 1-3 ก่อนยิง 2 ลูกในช่วงทดเจ็บ จบเกมที่ 3-3

หรือ 2 ทีมน้องใหม่จอมล้มยักษ์ ทั้ง เอสปันญ่อล ที่ชนะ เรอัล มาดริด 2-1 กับ ราโย บาเยกาโน่ ที่ชนะ บาร์ซ่า 1-0 รวมถึงทีมท้ายตารางอย่าง เลบันเต้ ที่ยันเสมอ เรอัล มาดริด 3-3 และ อลาเบส ที่พลิกล็อกโค่น แอต. มาดริด 1-0

ยังมีสถิติที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ จาก 13 นัดแรกในฤดูกาลนี้ มีประตูเกิดขึ้นในช่วงทดเวลาบาดเจ็บประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนประตูทั้งหมด ที่ส่งผลให้คะแนนของแต่ละทีม มีการเปลี่ยนแปลงรวมกันถึง 36 แต้ม

แล้วมีเหตุผลอะไรบ้างที่ทำให้ลาลีกา สเปน ในฤดูกาลนี้ เป็นการต่อสู้ที่สูสีที่สุดในบรรดาลีกยุโรป?
x– ทีมขนาดกลางลงทุนได้อย่างชาญฉลาดและคุ้มค่า

ปี 2013 ฆาเบียร์ เตบาส เข้ามารับตำแหน่งประธานลาลีกา ได้กำหนดนโยบายที่ให้มีการกระจายรายได้กับทุกสโมสรอย่างเป็นธรรม การออกกฎควบคุมการเงินและหนี้สิน รวมถึงการเพิ่มมูลค่าของลีกให้มากขึ้น
นโยบายของเตบาส ช่วยให้ทีมระดับกลางมีทางเลือกในการเสริมทีมที่มากขึ้น ไม่ผูกขาดเฉพาะทีมยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่ทีม และหลายๆดีล พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นการซื้อตัวอย่างชาญฉลาด คุ้มค่ากับเงินที่ลงทุน

นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือที่ทุกสโมสรสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันทั้งหมดได้ เพื่อนำไปวิเคราะห์คู่แข่ง โดยอิงจากการแข่งขันในนัดก่อนๆ ทำให้ลีกมีความสูสีมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นคือการยกระดับการแข่งขันได้เป็นอย่างดี

ยกตัวอย่างเช่น เรอัล โซเซียดัด ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมจนนำเป็นจ่าฝูงอยู่ในเวลานี้ ที่คว้าตัว อเล็กซานเดอร์ อิซัค ดาวยิงทีมชาติสวีเดน และ ดาบิด ซิลบา อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติสเปน ทำให้ทีมพัฒนาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

โซเซียดัด ในฤดูกาลนี้ ต้องเผชิญกับปัญหานักเตะตัวหลักในทีมผลัดกันบาดเจ็บไปหลายคน จึงได้ผลักดันนักเตะดาวรุ่งให้ขึ้นมาอยู่ในทีมชุดใหญ่ ทำให้ โซเซียดัด เป็นทีมที่มีค่าเฉลี่ยอายุผู้เล่นน้อยที่สุดในลีก คือ 24.8 ปี

CIES Football Observatory หน่วยงานวิเคราะห์สถิติฟุตบอลชื่อดัง ได้ประเมินให้ โซเซียดัด เป็นสโมสรที่มีความยั่งยืนที่สุดเป็นอันดับ 2 ของยุโรป โดยดูจากอายุผู้เล่น, ค่าเฉลี่ยอายุผู้เล่น และระยะเวลาสัญญาของผู้เล่น
z– ทีมขนาดกลางยกระดับมาตรฐานสูงขึ้นกว่าเดิม

ซีซั่นนี้ได้เห็นทีมขนาดกลางถีบตัวเองสู้กับทีมยักษ์ใหญ่ได้อย่างสูสียากแก่การคาดเดา โอกาสที่ทีมใหญ่จะชนะคู่แข่งแบบขาดลอย หรือทีมแชมป์ทำได้สูงถึง 100 คะแนนแบบในอดีต คงจะเกิดขึ้นได้ยาก

แอธเลติก บิลเบา ของมาร์เชลิโน่ กุนซือวัย 56 ปี ทีมอันดับ 8 ของตารางในปัจจุบัน เป็นทีมเดียวในลาลีกา ฤดูกาลนี้ ที่ยังไม่แพ้ใครในเกมเยือน แถมยันเสมอทีมใหญ่ได้ทั้ง แอตเลติโก มาดริด และ บาร์เซโลน่า

ทีมต่อมาที่สร้างเซอร์ไพรส์สุดๆคือ โอซาซูน่า ที่อยู่อันดับ 7 เป็นทีมที่ทำผลงานได้ดีในเกมเยือน ชนะ 4 จาก 6 นัดที่ออกนอกบ้าน 2 นัดที่ไม่ชนะ คือการเก็บ 1 แต้มจาก เรอัล มาดริด และแพ้ทีมแกร่งอย่าง เซบีย่า

นอกจากนี้ โอซาซูน่า ยังเป็นทีมจอมคัมแบ็กอย่างแท้จริง ในนัดที่พบกับ กาดิซ และ เรอัล มายอร์ก้า ตามหลังก่อน 1-2 ก่อนที่จะยิง 2 ประตู แซงกลับมาชนะ 3-2 ซึ่ง 2 นัดนี้ เปลี่ยนจาก 0 แต้ม กลายเป็นได้ 6 แต้มเต็ม

หรือในกรณีของ ราโย บาเยกาโน่ ที่ชนะเพลย์ออฟเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นลีกสูงสุดในซีซั่นนี้ ได้นักเตะอย่าง ราดาเมล ฟัลเกา ที่ยิงไป 5 ประตู จาก 8 นัด จนมีส่วนสำคัญในการพาทีมมาอยู่อันดับที่ 6 แบบเหนือความคาดหมาย

อีกทีมหนึ่งที่เป็นทีมน้องใหม่ แต่ทำผลงานได้ดีเกินคาดคือ เอสปันญ่อล แชมป์เซกุนด้า ลีกา จากเมื่อซีซั่นก่อน ที่ตอนนี้ทำแต้มเท่ากับ บาร์เซโลน่า ก่อนที่จะทำศึกดาร์บี้แมตช์แห่งคาตาลัน ในคืนวันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายนนี้
e– มีนักเตะชาวสแปนิชที่ช่วยยิงประตูมากมาย

“ซาร์ร่า โทรฟี่” เป็นรางวัลที่มอบให้กับนักฟุตบอลสัญชาติสเปนที่ทำประตูสูงสุดในแต่ละซีซั่น มีที่มาจากชื่อของ เทลโม ซาร์ร่า ตำนานกองหน้าของ แอธเลติก บิลเบา ที่เคยเป็นเจ้าของสถิติดาวซัลโวตลอดกาลของลาลีกา

นักเตะเลือดสแปนิชที่นำเป็นดาวซัลโวอยู่ในเวลานี้ คือ ราอูล เด โทมัส หรือ “อาร์ดีที” หัวหอกตัวเก่งจาก เอสปันญ่อล ทำไป 7 ประตู ซึ่งเท่ากับ วินิซิอุส จูเนียร์ ของ เรอัล มาดริด และ หลุยส์ ซัวเรซ ของ แอตเลติโก มาดริด

ส่วนอันดับรองลงมาคือ มิเกล โอยาร์ซาบัล ของ เรอัล โซเซียดัด ที่ยิงได้ 6 ประตู รวมไปถึง ยาโก้ อัสปาส ของ เซลต้า บีโก้ ที่เคยคว้ารางวัล “ซาร์ร่า โทรฟี่” 3 สมัยติดต่อกัน และ โฆเซลู ของ อลาเบส ที่ยิงได้ 5 ประตูเท่ากัน
q– มีนักเตะที่มีประสิทธิภาพในการทำประตูที่ดี

ประสิทธิภาพในการทำประตู จะวัดจากอัตราส่วนจำนวนนาที ต่อการทำ 1 ประตู (minutes-per-goal ratio) หมายความว่า ถ้าทุกๆ 1 ประตู ใช้เวลาโดยเฉลี่ยน้อย แสดงว่าผู้เล่นคนนั้นมีประสิทธิภาพการทำประตูที่ดี

ซึ่งนักเตะที่มีประสิทธิภาพการทำประตูที่ดีที่สุดในลาลีกา ซีซั่นนี้ คือ ราดาเมล ฟัลเกา ดาวยิงจอมเก๋าวัย 35 ปีของ ราโย บาเยกาโน่ ที่ยิงไปแล้ว 5 ประตู โดยใช้เวลาเฉลี่ยแค่ 67 นาที ต่อ 1 ประตู ที่ทำได้

ส่วนนักเตะที่อยู่ใน 5 อันดับแรก ได้แก่ คาริม เบนเซม่า (1 ประตู ทุกๆ 97 นาที), มิเกล โอยาร์ซาบัล (1 ประตู ทุกๆ 108 นาที), หลุยส์ ซัวเรซ (1 ประตู ทุกๆ 113 นาที) และ วินิซิอุส จูเนียร์ (1 ประตู ทุกๆ 131 นาที)