sportpooltoday

โมนา เนมเมอร์ : ผู้ยกระดับมื้ออาหาร สู่ความสำเร็จของ ลิเวอร์พูล


โมนา เนมเมอร์ : ผู้ยกระดับมื้ออาหาร สู่ความสำเร็จของ ลิเวอร์พูล

“นี่คือหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดของผมเลย” คือคำนิยามที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมของ ลิเวอร์พูล มีให้กับ โมนา เนมเมอร์ (Mona Nemmer) หัวหน้าฝ่ายโภชนาการของสโมสร ผู้คอยดูแลเรื่องอาหารการกินสำหรับนักเตะแต่ละคนโดยเฉพาะ

อาจฟังดูว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่วิทยาศาสตร์การกีฬาและหลักโภชนาการที่ถูกต้องแบบนี้ ก็ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเล่นเกมเพรสซิ่งอย่างบ้าคลั่งของทีม พร้อมกับยังคงรักษาความฟิตให้ลงเตะได้แบบต่อเนื่อง โดยไม่มีใครหมดแรงไปเสียก่อน

แล้วหน้าที่ของนักโภชนาการในสโมสรระดับลีกสูงสุดของอังกฤษแบบนี้ ต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวัน ? มาเจาะลึกเรื่องราวของเธอ เบื้องหลังรั้วสนามซ้อม AXA Training Center ไปพร้อมกัน

เปลี่ยนกิจวัตรการกิน

โมนา เนมเมอร์ ถูกเซ็นสัญญาเข้ามาร่วมทีมในตลาดซัมเมอร์ปี 2016 จากสโมสร บาเยิร์น มิวนิค โดยถูกมอบหมายงานแรกให้ไปดูแลอาหารการกินของเหล่านักเตะระหว่างช่วงพรีซีซั่น ซึ่งย้ายไปเก็บตัวกันที่สหรัฐอเมริกา

โดยปกติแล้ว คล็อปป์ อนุญาตให้ผู้เล่นเหล่านี้รับประทานอาหารได้ตามใจปากในระหว่างช่วงพรีซีซั่น ซึ่งทำให้เจ้าตัวตัดสินใจอุบการแนะนำตัวหัวหน้าฝ่ายโภชนาการคนใหม่เอาไว้ก่อน เพื่อรอให้ผลงานของเธอทำหน้าที่ในการแนะนำดังกล่าวแทน


Photo : www.liverpoolfc.com

เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน กุนซือชาวเยอรมันก็ได้พบความแตกต่างในห้องอาหารไปอย่างสิ้นเชิง “พวกเขาได้เปลี่ยนนิสัยมานั่งรับประทานอาหารแทน และพวกเขาก็ชอบมันเสียด้วย” อันหมายถึงการที่นักเตะเข้าแถวที่สลัดบาร์ หลังจากจบเซสชั่นการซ้อมอันหนักหน่วง และใช้เวลาผ่อนคลายผ่านการนั่งกินอาหาร พร้อมพูดคุยกับเพื่อนร่วมทีมอยู่ที่โต๊ะ แทนที่จะรีบกินแล้วรุดไปจับมือถือมาเล่น 

“มันเป็นบรรยากาศที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเลย” คล็อปป์ กล่าวเสริมผ่านบทสัมภาษณ์กับสื่อ The New York Times และเมื่อเห็นว่า เนมเมอร์ เริ่มกลายเป็นที่ยอมรับจากบรรดานักเตะมากแล้ว ก็ได้เวลาที่เจ้าตัวจะกล่าวแนะนำสมาชิกใหม่แห่งสโมสรอย่างเป็นทางการ

 

แน่นอนว่าการเข้ามาเป็นหัวหน้าฝ่ายโภชนาการไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก โดยเฉพาะกับการปรับให้นักเตะอาชีพผู้มีชื่อเสียงและฝีเท้าอันเลื่องชื่อเหล่านี้ ต้องมาคอยเชื่อฟังคน ๆ นึง ที่มาบอกว่าอันนี้กินได้อันนี้กินไม่ได้ ซึ่งถือเป็นงานที่ท้าทายและต้องอาศัยทักษะกับวาทศิลป์ในการโน้มน้าวพอสมควร

แต่ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน เนมเมอร์ ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นสมาชิกคนสำคัญของสโมสร ผู้ได้มีบทสนทนากับบรรดานักเตะชุดใหญ่ ที่ต่างก็สนใจและอยากเรียนรู้เรื่องราวด้านโภชนาการเพิ่มเติมอยู่บ่อยครั้ง


Photo : www.liverpoolecho.co.uk

เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค กล่าวไว้ว่า “ผมได้พูดคุยกับ โมนา อยู่บ่อยครั้ง เพราะผมต้องการเพิ่มสารอาหารเข้าสู่ร่างกายให้มีประสิทธิภาพที่สุด เพื่อให้สามารถทำผลงานได้ในระดับสูง ซึ่ง โมนา และเชฟของทีมต่างมีส่วนสำคัญในความสำเร็จของสโมสรเรา”

ด้านคู่หูของ เฟอร์กิล อย่าง โจ โกเมซ ก็ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากเฮดด้านโภชนาการของสโมสรเช่นกัน “ผมได้รู้ว่าอะไรที่ควรกิน และ โมนา ได้เปลี่ยนแปลงความเข้าใจทั้งหมดที่ผมมี (เกี่ยวกับด้านโภชนาการ)”

 

เมื่อเราทราบถึงความสำคัญของ โมนา เนมเมอร์ กับสโมสรแล้ว มาลองเจาะดูถึงเนื้องานที่เธอต้องรับผิดชอบ ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวขาเข้ามาในรั้วสนามซ้อมเมลวูด (ณ ตอนนั้น) มาจนถึงในปัจจุบันนี้กัน

กองทัพเดินด้วยท้อง

งานของฝ่ายโภชนาการนั้น เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงก่อนและหลังฝึกซ้อมที่ AXA Training Center ซึ่งบรรดานักเตะและทีมงานผู้ฝึกสอนจะรับประทานอาหารร่วมกัน ภายใต้การจัดสรรบูธต่าง ๆ ที่ดูคล้ายกับในห้างสรรพสินค้า เพื่อให้ผู้เล่นกับสตาฟมาเลือกหยิบไปได้ตามอัธยาศัย

แม้ไม่ได้มีการจัดปริมาณอาหารไว้ให้นักเตะแต่ละคนแบบตายตัว แต่ทีมงานของ เนมเมอร์ ต่างมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้เล่นทุกคน ว่าร่างกายของพวกเขานั้นต้องการสารอาหารส่วนใดเพิ่มเติม หรือจะต้องลงเล่นในรูปแบบอย่างไร เพื่อที่จะได้เสริมสร้างกล้ามเนื้อ พละกำลัง และฟื้นฟูร่างกายได้อย่างเหมาะสม


Photo : www.liverpoolfc.com

 

กฎเหล็กของเธอคือ “ยิ่งมีสีจากผักและผลไม้บนจานมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีต่อร่างกายของคุณมากเท่านั้น” ซึ่งต้องมีการดูแลปริมาณคาร์โบไฮเดรตเพื่อเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย โปรตีนสำหรับความแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับวิตามินและแร่ธาตุจากพืชผักที่ระบุไว้ในข้างต้น

แต่นอกจากการกินช่วงก่อนและหลังฝึกซ้อมแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญสำหรับนักเตะเหล่านี้ คือการรับประทานอาหารก่อนและหลังแมตช์การแข่งขัน ที่นอกจากจะต้องเติมเต็มพลังงานให้กับผู้เล่นตัวจริงกับสำรองได้แล้ว ยังต้องไม่ส่งผลในแง่ลบต่อประสิทธิภาพในสนามของพวกเขา

 

นั่นคือสิ่งที่ทีมของ เนมเมอร์ ต้องคอยวางแผนอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นสัปดาห์ที่มีแมตช์ลงแข่งวันอังคาร/พุธ หรือเกมที่เตะกันตั้งแต่เที่ยงวันตามเวลาประเทศอังกฤษ ไปจนถึงการฟื้นฟูสภาพร่างกายนักเตะที่ออกไปแข่งทีมชาติมาก่อนหน้านี้ว่าจะต้องดูแลมากน้อยเพียงไหนกันบ้าง


Photo : www.nytimes.com

ยกตัวอย่างเกมที่ ลิเวอร์พูล ออกไปเยือน วัตฟอร์ด ซึ่งลงแข่งกันตั้งแต่เวลา 12:30 น. ทำให้ต้องมีการกินข้าวในช่วงเวลา 9:00 น. เนื่องจากการรับประทานอาหาร 3 ชั่วโมงครึ่งก่อนลงเตะเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับร่างกายมนุษย์ในการย่อยและดูดซึมสารอาหารเพื่อนำไปใช้ โดยไม่ทำให้จุกระหว่างวิ่ง

แม้เก้าโมงเช้าก็ยังค่อนข้างเช้าเกินไปสำหรับอาหารมื้อหนักอย่าง พาสต้า แต่อาหารในมื้อดังกล่าวก็ต้องมีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตกับโปรตีนที่สูง แถมยังต้องย่อยได้ง่ายอีกด้วย โดยเฉพาะกับแบ็คซ้ายขวาอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กับ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่จำเป็นต้องวิ่งขึ้นลงแทบตลอดทั้งเกม

 

เมื่อการแข่งขันดำเนินไปจนถึงช่วงจบครึ่งเวลาแรก ทีมของ เนมเมอร์ มีหน้าที่ในการเสริมน้ำเข้าสู่ร่างกายของผู้เล่นเหล่านี้ โดยอาศัยทั้งน้ำเปล่า เครื่องดื่มเสริมพลังงาน หรือบางรายอาจใช้น้ำผลไม้กับคาเฟอีน เป็นตัวช่วยในการกระตุ้นร่างกาย

และหลังจากที่การแข่งขันสิ้นสุดลง ทีมโภชนาการของ ลิเวอร์พูล เองก็มีหน้าที่ในการเติมพลังงานเข้าร่างกายของนักเตะในทีม ไม่ว่าจะเป็นแมตช์ที่แอนฟิลด์ ซึ่งมีการตั้งบูธอาหารไว้ใกล้กับห้องแต่งตัว หรือเกมเยือนที่ทีมเชฟเหล่านี้จะเตรียมอาหารให้ผู้เล่นได้รับประทานระหว่างเดินทางกลับที่พักบนรถโค้ชเลยทีเดียว

แน่นอนว่าการทำงานของ เนมเมอร์ นั้นมีหลักฐานจากข้อมูลการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน คือความใส่ใจและสภาพแวดล้อมโดยรวมของสโมสร ซึ่งช่วยให้ทีมโภชนาการของ ลิเวอร์พูล สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 


Photo : www.liverpoolfc.com

“เรามีข้อมูลมากมายที่เกี่ยวข้องกับผู้เล่นของเรา เรารู้จักพวกเขาแบบรู้ไส้รู้พุง เช่นกันกับนักเตะเหล่านี้ ที่ต่างก็รู้จักตนเองได้ดีพอควรเลย”

เนมเมอร์ เขียนแผนการกินอาหารสำหรับนักเตะแต่ละคน โดยอ้างอิงข้อมูลตั้งแต่อายุ ส่วนสูง น้ำหนัก ต่ำแหน่งที่เล่น ผลงานระหว่างการซ้อม ไปจนถึงวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำลาย เลือด ปัสสาวะ รวมถึงของเสียที่ขับออกมา ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของแผนกต่าง ๆ ในสโมสร เพื่อช่วยผลักดันให้ผู้เล่นเหล่านี้สามารถทำผลงานได้ดีที่สุด โดยอาศัยแม้แต่ข้อได้เปรียบที่เล็กท่ีสุด เช่นการรับประทานอาหารเหล่านี้

 

จริงอยู่ที่เราอาจมองไปยังการเซ็นสัญญานักเตะชื่อดัง ผู้จัดการทีมอันเลืองชื่อ หรือโค้ชผู้มากประสบการณ์ แต่กับยุคที่การแข่งขันกีฬาระดับอาชีพ มีความเข้มข้นและมาตรฐานที่ยกระดับขึ้นไปอีกครั้งดั่งในปัจจุบันนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนผู้อยู่เบื้องหลัง อย่างเช่น โมนา เนมเมอร์ ก็คือหนึ่งใน Unsung Hero ผู้สามารถช่วยพลิกสถานการณ์ของสโมสรให้ก้าวล้ำขึ้นไปได้ไม่น้อยเลย