เสียง่ายและจบไม่คม…เดิมๆ
อย่างที่ร่ายไว้แล้วในเกม แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-4 นัดตกค้างเมื่อวันพฤหัสบดี ว่าปัญหาของ เชลซี ยุค แฟร้งค์ แลมพาร์ด 2.0 มีอยู่ในหลากหลายประเด็น แม้จะยังพอเข้าใจได้อยู่ว่า ปัญหานักเตะเจ็บบานเบอะที่ แลมพาร์ด ต้องเจอ จะมีส่วนสำคัญในฟอร์มอันเหลวแหลกเหล่านี้ ก็ตาม
หนึ่งในปมปัญหา คือการเสียประตูเร็วในแต่ละเกม และนัดนี้ก็คือการเสียเร็วในเพียง 10 นาทีแรก หรือสิบนาทีกว่าๆ เป็นแมตช์ที่ 5 จาก 6 เกมหลังสุดเข้าไปแล้ว
- แพ้ อาร์เซน่อล 1-3 : มาร์ติน โอเดการ์ด น.18
เสมอ ฟอเรสต์ 2-2 : ไทโว่ โอโวนิยี่ น.13
แพ้ แมนฯ ซิตี้ 0-1 : ฮูเลียน อัลวาเรซ น.12
แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-4 : กาเซมิโร่ น.6
และเสมอ นิวคาสเซิ่ล 1-1 : แอนโธนี่ กอร์ดอน น.9
เช่นเดียวกัน จะพบว่าอันที่จริง เกมนี้ เชลซี มีโอกาสแซงชนะอยู่ไม่น้อย ภายหลังได้ประตูตีเสมอจากการยิงตัวเองของ คีแรน ทริปเปียร์
แต่ก็เช่นเคยว่าความ “ทื่อมะลื่อ” คือตัวฉุดรั้ง — เกมนี้ เชลซี สร้างโอกาสจบได้ถึง 22 ครั้ง ตรงกรอบ 5 ซึ่งทั้ง 5 ครั้งก็คือช็อตเซฟของ มาร์ติน ดูบราฟก้า ที่นานทีปีหนจะได้เล่นสักเกม
บทสรุปคือ 38 นัด 38 ประตู
ด้านทีมตกชั้น เลสเตอร์ ซิตี้ ยิงได้ 51 ลูก หรือ ลีดส์ ยูไนเต็ด ก็ยิงได้ 48 ประตู!
อย่างน้อยยังมีแต้ม
แง่ดีอย่างเดียวที่อาจจะยังพอมีจากนัดนี้ คืออย่างน้อย แฟนบอล เชลซี ก็ไม่ต้องออกจากสนามพร้อมความขุ่นเคืองจากการแพ้คาบ้าน ในเกมปิดฤดูกาล
และก็อย่างที่ว่าในข้อแรก ว่าจริงๆ เชลซี ก็เล่นด้วยรูปทรงที่ดีทีเดียว (บวกกับ นิวคาสเซิ่ล ไม่เน้นแล้ว ส่งสำรองและดาวรุ่งลงเพียบ) ครองบอลเหนือกว่าในระดับ 65% : 35%
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สร้างโอกาสจบรวม 22 ครั้ง
ถ้าเฉียบคมกว่านี้อีกนิด ได้สั่งลาแฟนๆ ปิดซีซั่นด้วยชัยชนะไปแล้ว
จากที่ 3 สู่ที่ 12
แต่สำคัญอีกอย่างคือ 1 แต้มจากเกมนี้ ไม่ได้ช่วยให้ภาพรวมของ 2022/23 ปิดไปแบบน่าพึงพอใจแต่อย่างใด
เพราะจากการยึดอันดับ 3 ซีซั่นที่แล้ว (2021/22) ภายใต้การนำของ โธมัส ทูเคิ่ล
ครั้งเปลี่ยนมาเป็น เกรแฮม พ็อตเตอร์ เป็น บรูโน่ ซัลตอร์ และเป็น แฟร้งค์ แลมพาร์ด
สิงห์ตัวนี้ก็ค่อยๆ แปลงร่างกลายเป็นแมวน้อยน่ารักไปในที่สุด — หนึ่งแต้มของเกมวันนี้ ทำให้ เชลซี ได้บทสรุปเป็นอันดับ 12 พรีเมียร์ลีก
แต้มน้อยกว่าทีมอย่าง คริสตัล พาเลซ 1 คะแนน, ฟูแล่ม 8 และ เบรนท์ฟอร์ด 15
เชลซี ทำแต้มได้น้อยกว่า เบรนท์ฟอร์ด 15 แต้ม
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว
ลาทีแลมพาร์ด
เพราะก็ส่งสัญญาณในแนว “พี่จ๋า…มาทำไม” ตั้งแต่ก้าวแรกๆ ของการกลับเข้าคุมทีม
จนถึงเกมล่าสุดนี้ อีกข่าวดีที่แฟนๆ เชลซี ได้รับ ก็คือ
หมดเวลาของ แลมพาร์ด บนเก้าอี้กุนซือ เป็นที่เรียบร้อย จบตั๊ก (บริบูรณ์) เสียที
11 นัด (รวมทุกรายการ) ชนะ 1 เสมอ 2 แพ้ 8
สื่อบางเจ้าในอังกฤษ มีการแซวกันว่า น่าเสียดายแทน เลสเตอร์ หรือ ลีดส์
ว่าถ้า แลมพาร์ด กลับเข้ามาคุมเร็วขึ้นกว่านี้อีกนิด
เชลซี นี่แหละ หนึ่งในสามทีมที่จะตกชั้น!
โปเช็ตติโน่ มาแน่
เอาล่ะ ยุคสมัยอันดำมืดของ แลมพาร์ด สิ้นสุดไป
จากนี้ สื่อทุกสำนัก นสพ.ทุกหัว รวมถึงคนข่าวบิ๊กเนมอย่าง ฟาบริซิโอ โรมาโน่ ต่างก็รายงานไปในทิศทางเดียวกันทั้งสิ้น
ว่า เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ จะมาแน่ ไม่มีพลิกโผเป็นอื่นอีก
บางเจ้าบอก การเปิดตัวจะมีขึ้นอย่างด่วนที่สุดในเพียงวันนี้วันพรุ่ง เพื่อที่ โปเช็ตติโน่ จะได้เริ่มต้นงานอย่างเป็นทางการในวันนี้วันพรุ่งเลยเหมือนกัน เมื่อมีเรื่องมีประเด็นให้อดีตนายใหญ่ สเปอร์ส ต้องทำงานร่วมกับบอร์ดในหลายๆ จุด
แรกสุดคือประเด็นสัญญา เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่กำลังจะหมดอายุ 30 มิ.ย.
โปเช็ตติโน่ ต้องเคลียร์ให้ชัดว่า ก็องเต้ ยังจะมีความสำคัญอยู่ในแผนการทำทีมของเขาต่อไปไหม หรือจะไม่ใช้ แล้วปล่อยแยกทางจากกันไป (แบบไม่ต้องร่วมงาน)
เวลาเดียวกัน จะเอาอย่างไรกับ เจา เฟลิกซ์ ที่สัญญายืมจาก แอตเลติโก มาดริด หมดอายุแล้ว เหลือต้องตัดสินว่าจะซื้อขาดหรือปล่อยเบลอ
เช่นกัน ยังมีหลายนักเตะมากที่สัญญาจะหมดอายุปีหน้า (2024) ที่ก็ต้องสะสางด้วยว่า จะขายทิ้งเสียในซัมเมอร์นี้ หรือต่อสัญญาใหม่ให้ หรือรอดูไปสักพักก่อนค่อยตัดสินใจ — ติอาโก้ ซิลวา, มาเตโอ โควาซิช, เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า, ปิแอร์-เอเมริค โอบาเมย็อง, รูเบน ลอฟตัส-ชีค, คริสเตียน พูลิซิช, เมสัน เมาท์, คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย, อีธาน อัมปาดู, ติเอมูเอ้ บากาโยโก้, อับดุล-ราห์มาน บาบา
ช่วงเวลาของ แลมพาร์ด สิ้นสุดไป เปิดประตูสู่ยุคใหม่ของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่
คลามเคลื่อนไหวในแคมป์สิงห์ ล้วนแต่น่าจับตาในทุกฝีก้าว