sportpooltoday

หรือฤดูกาลหน้า อาจเป็นปีสุดท้ายระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ “เยอร์เก้น คล็อปป์”?


หรือฤดูกาลหน้า อาจเป็นปีสุดท้ายระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ "เยอร์เก้น คล็อปป์"?

ท่ามกลางข่าวการปลดผู้จัดการทีมใน พรีเมียร์ลีก แบบติด ๆ กันถึง 3 รายในช่วงเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ทำให้หลายคนมีการตั้งคำถามว่า ทำไม เยอร์เก้น คล็อปป์ จึงยังสามารถรักษาเก้าอี้ของเขาที่ ลิเวอร์พูล เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นจนถึงเวลานี้

อันโตนิโอ คอนเต้ โดน ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ไล่ออกเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม อีกสัปดาห์ต่อมาก็เป็น เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่โดน เลสเตอร์ ซิตี้ ยกเลิกสัญญาและในอีกไม่กี่ชั่วโมง เกรแฮม พ็อตเตอร์ ก็สังเวยผลงานอันย่ำแย่ให้กับบอร์ดบริหารของ เชลซี

ในขณะที่ ลิเวอร์พูล โดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านถล่มแบบไม่เกรงใจความที่เคยเป็นคู่แข่งแย่งแชมป์กันมาเมื่อซีซันก่อนด้วยสกอร์ 4-1 ทำให้ คล็อปป์ พ่าย 3 เกมติดต่อกันเป็นครั้งแรกของซีซัน ซึ่งนับเป็นผลงานที่ย่ำแย่จนไม่อาจะหาคำใดมาอธิบายได้

มีอย่างที่ไหนเพิ่งจะเปิดบ้านถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึกแดงเดือดมาแบบสุดหรู 7-0 แต่หลังจากนั้นก็กล้าไปแพ้ทีมบ๊วยอย่าง บอร์นมัธ และโดน เรอัล มาดริด ย้ำแค้น แถมมาถูก เป๊ป สอนบอลอีก 4 ลูก เชื่อว่าถ้าเป็นทีมใหญ่ ๆ เงินถุงเงินถัง ป่านนี้นายใหญ่ชาวเยอรมันไม่น่ารอดจากการโดนไล่ออกแล้ว

Virgil van Dijk, RodriVirgil van Dijk, Rodri แต่ทำไม คล็อปป์ ยังคงรักษาเก้าอี้เอาไว้อย่างไม่ยากเย็น

เรื่องนี้อาจจะเป็นคำถามสำหรับคนนอกสโมสร แต่ถ้าเป็นฝั่งกองเชียร์ ลิเวอร์พูล หรือ เดอะค็อป พวกเขาจะมองว่าผลงานอันตกต่ำยังไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้ คล็อปป์ ต้องอำลาทีม และเชื่อว่าถ้าเขาจะไปก็คงเป็นการเอ่ยปากออกมาเองมากกว่า

เจ้าตัวเคยพูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ช่วงกลางฤดูกาล และก็มาพูดอีกครั้งในการให้สัมภาษณ์ก่อนเกมเจอกับ เชลซี โดนยอมรับเมือนกันว่า โลกนี้มันบ้าบอเหมือนกันที่คนอื่นโดนไล่ออกจากผลงานที่ย่ำแย่แต่เขายังสามารถอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้

วิเคราะห์กันว่าสิ่งที่ทำให้นายใหญ่เมืองเบียร์ยังคงอยู่กับทีมต่อไปก็คือ เครดิตความสำเร็จที่ผ่านมา 

UEFA Champions League final: Tottenham vs LiverpoolUEFA Champions League final: Tottenham vs Liverpool การคุมทีม 7 ปีแล้วพาทีมได้ 7 แชมป์ไล่ไปตั้งแต่ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก, ยูฟา ซูเปอร์คัพ, แชมป์สโมสรโลก, พรีเมียร์ลีก, คาราบาวคัพ, เอฟเอคัพ และ คอมูนิตี้ชิลด์ นี่คือผลงานที่ไม่เคยมีผู้จัดการทีมคนไหนทำได้ในยุคหลังดิวิชัน 1 เปลี่ยนชื่อมาเป็น พรีเมียร์ลีก

ในขณะที่การพาทีมลุ้น 4 แชมป์เมื่อซีซันก่อนทำให้ คล็อปป์ ได้รับการยกย่องอย่างสูงจนทำให้เขาสามารถต่อสัญญาใหม่จนถึงปี 2026 ซึ่งมันเป็นสิ่งที่กองเชียร์ทุกคนต้องการ

ในขณะเดียวกันมันก็กลายเป็นเกราะที่คอยปกป้องเขาเอาไว้ด้วย เพราะถ้าโดนไล่ออกก็เชื่อว่า FSG คงทั้งโดนด่าและต้องจ่ายค่าชดเชยก้อนโตเหมือนกัน

และที่สำคัญไปกว่านั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่ฝีมือของอดีตนายใหญ่ ดอร์ทมุนด์ แต่อยู่ที่บรรดานักเตะที่มีอยู่ในเวลานี้ไม่พร้อมที่จะตอบสนองแท็คติกของเขาแล้วต่างหาก

Ngolo KanteNgolo Kante ไม่มีใครสงสัยในความสามารถของ คล็อปป์ แต่การที่มีนักเตะที่ไม่สามารถเล่นตามแบบแผนและแท็คติกได้มันก็ทำให้ทีมมีปัญหาได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าผู้เล่น ลิเวอร์พูล ไม่ยอมทำตามคำสั่งหรือแข็งข้อ แต่ด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บ สภาพความฟิตของร่างกาย และสภาพจิตใจ ทำให้ปีนี้เขามีทีมที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งปัญหามันก็ค่อย ๆ โผล่ออกมาทีละนิดตั้งแต่เกมแรกของฤดูกาลจนถึงวันนี้และมันก็สะท้อนออกมาเป็นอันดับบนตารางคะแนน

หลายคนเชื่อว่าถ้าอดีตเฮดโค้ช ดอร์ทมุนด์ มีทรัพยากรที่ดีกว่านี้ ผลมันจะออกมาอีกแบบโดยสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตามแม้ฟอร์มจะไม่ดี สภาพร่างกายจะไม่ได้ แต่นักเตะกว่า 99% ก็ยังเชื่อมั่นในตัวผู้จัดการทีมของพวกเขา ดูได้จากข่าวคราวเรื่องบาดหมางในห้องแต่งตัวที่มีน้อยมาก อีกทั้งการตอบสนองต่อผลงานที่ย่ำแย่ในเกมกับ เชลซี เมื่อกลางสัปดาห์ก็บอกอะไรเราได้หลายอย่างเหมือนกัน

เกมดังกล่าว คล็อปป์ ตัดสินใจเปลี่ยนผู้เล่นถึง 6 ตำแหน่งจากนัดที่โดน แมนฯ ซิตี้ ถล่ม คนที่โดนวิจารณ์หนักในเกมที่แล้วอย่าง ฟาน ไดค์, โรเบิร์ตสัน ไม่ได้ลงสนาม โม ซาลาห์ และ โคดี้ กัคโป เป็นตัวสำรองส่วน ฮาร์วีย์ เอลเลียต โดนดร็อป 

Virgil Van Dijk, Cody Gakpo, Ibrahima KonatéVirgil Van Dijk, Cody Gakpo, Ibrahima Konaté แม้ผลงานที่ออกมาจะไม่สามารถเก็บ 3 คะแนนได้แต่การไม่เสียประตูและเก็บแต้มได้แจาก สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่แบบนี้ถือว่ายังพอมีสัญญาณที่ดีจากห้องแต่งตัวอยู่บ้าง พูดง่าย ๆ ว่าไม่มีใครเล่นไล่โค้ชกันให้เห็น

อย่างไรก็ตามแม้จะไม่แพ้ แต่การลุ้นท็อปโฟร์นั้นคงจะยากและห่างไกลมากขึ้นไปอีกในขณะที่เหลืออีกเพียง 10 เกม ซึ่งถ้าพวกเขาโดน อาร์เซนอล มาสอยคาบ้านในเกมต่อไปก็เรียกได้ว่าช้อยเก็บฉากได้เลย

ในขณะที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็คงเสียเครดิตไปบ้าง แต่เชื่อเถอะว่าเขาจะยังคงได้รับการหนุนหลังให้คุมทีมต่อไปพร้อมกับแผนงานที่วางไว้ในช่วงซัมเมอร์ ซึ่งทาง FSG ก็ต้องออกมาแสดงการสนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อให้ทีมกลับเส้นทางที่ควรจะเป็นด้วย

เราอาจจะได้เห็นหรือไม่ได้เห็น จู๊ด เบลลิงแฮม แต่ที่แน่ ๆ คือต้องมีมิดฟิลด์คนอื่น ๆ เข้ามาเสริมทัพ รวมทั้งนักเตะใหม่ในแนวรับ ซึ่งยังไงซะ ลิเวอร์พูล ก็ต้องเดินหน้ายกเครื่องใหม่อยู่ดี 

Jude BellinghamJude Bellingham จากนั้นบทพิสูจน์อนาคตของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็จะอยู่ที่ฤดูกาลหน้าซึ่งจะว่าเป็นปี “เผาจริง” 

ถ้าเขายังทำให้ทีมดีขึ้นกว่าเดิมไม่ได้หรือตกต่ำมากกว่าไปกว่านี้ เราก็อาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในระหว่างฤดูกาล

ดังนั้นแม้ปีนี้ยังมีเครดิตเต็มมือ แต่ปีหน้า คล็อปป์ จะนิ่งนอนใจไม่ได้เสียแล้ว