ถึงแม้ว่า เออร์ลิง ฮาลันด์ กองหน้าทีมชาตินอร์เวย์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สโมสรดังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะระเบิดฟอร์มด้วยการทำไป 32 ประตู จาก 32 เกมที่ลงสนามรวมทุกรายการให้กับ “เรือใบสีฟ้า” ฤดูกาลนี้ แต่การที่เจ้าตัวตัวปืนฝืดยิงไม่ได้ 2 เกมหลังสุดนั้น ก็ถูกนำมาเป็นประเด็นพูดถึงอย่างมาก
ฮาลันด์ ยิงไม่ได้ในเกมลีกที่ แมนฯ ซิตี้ บุกไปเสมอกับ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ที่สนามซิตี้ กราวด์ 1-1 และบุกไปเสมอกับ แอร์เบ ไลป์ซิก ด้วยสกอร์เดียวกันในศึกยูฟา แชมเปียนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย เลกแรก
ผลงานโดยรวมของ แมนฯ ซิตี้ ที่ไม่สม่ำเสมอใน 5 เกมหลังสุดรวมทุกรายการก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ ฮาลันด์ ยิงได้เพียง 1 ประตู แต่บรรดานักวิเคราห์หลายคนมองว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือชาวสเปนของ แมนฯ ซิตี้ ก็มีส่วนเช่นกัน
หากย้อนกลับไปในฤดูกาล 2017/18 กวาร์ดิโอลา สร้าง แมนฯ ซิตี้ ให้กลายเป็นทีมที่มีเกมรุกน่าเกรงขามลำดับต้นๆของวงการฟุตบอล โดยมี 4 แนวรุกระดับพระกาฬอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร หรือสลับเป็น กาเบรียล เชซุส ยืนในตำแหน่งกองหน้าตัวกลาง และขนาบข้างด้วย 2 ตัวริมเส้นความเร็วจัดอย่าง เลรอย ซาเน และ ราฮีม สเตอร์ลิง
อเกวโร, เชซุส, ซาเน และ สเตอร์ลิง เล่นกันได้อย่างเข้าขาลงตัว และสามารถสลับตำแหน่งการเข้าทำได้อย่างไหลลื่นจนแนวรับคู่แข่งไม่สามารถรับมือได้ รวมถึงมีมิติการเข้าทำที่หลากหลาย, รวดเร็ว และเฉียบขาดเมื่อมีโอกาสจบสกอร์
เหมือนกับที่ บาร์เซโลนา อดีตทีมเก่าของ กวาร์ดิโอลา ที่เลือกใช้ ลิโอเนล เมสซี ในตำแหน่ง False9 และมีตัวริมเส้นที่อันตรายอย่าง ดาวิด บียา และ เปโดร โรดิเกวซ ซึ่งทำให้เกมรุก “เจ้าบุญทุ่ม” มีพลังทำลายล้างอย่างมหาศาล
ขณะที่ บาเยิร์น มิวนิค นั้น กวาร์ดิโอลา ยังคงยึดแนวทางการเล่นเกมรุกรูปแบบเดิมโดยใช้ อาร์เยน ร็อบเบน และ ฟรองค์ ริเบรี ยืนทำเกมริมเส้น โดยมี โธมัส มุลเลอร์ ยืนป่วนแนวรับอยู่ตรงกลาง และมีอาวุธหนักอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี คอยจบสกอร์
การใช้ตัวริมเส้นที่มีความเร็วเป็นสูตรสำเร็จของ กวาร์ดิโอลา มาตลอด อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลนี้ เจ้าตัวตัดสินใจปรับรายละเอียดในเกมของ แมนฯ ซิตี้ หลังจากได้ตัว ฮาลันด์ มาจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา
กวาร์ดิโอลา แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ต้องการให้ ฮาลันด์ ยืนเป็นเป้าตรงกลาง โดยที่มีบรรดาเพลย์เมกเกอร์อย่าง แบร์นาร์โด ซิลวา และ เควิน เดอ บรอยน์ คอยป้อนบอลให้จากแนวลึก และลดการใช้งานปีกที่มีความเร็ว ซึ่งเห็นได้จากการที่ปล่อย สเตอร์ลิง ออกจากสโมสร
ฟิล โฟเดน เป็นตัวริมเส้นที่ไม่ได้มีความเร็วนัก เช่นเดียวกับ แจ็ค กรีลิช และ ริยาด มาห์เรซ ที่จะออกไปในสไตล์การสร้างสรรค์เกม และเลี้ยงบอลกินตัวคู่แข่งมากกว่า ซึ่งทำให้เกมรุก แมนฯ ซิตี้ เปลี่ยนแนวทางการเข้าทำไปพอสมควร
กวาร์ดิโอลา เลือกใช้ฟูลแบ็กอย่าง ไคล์ วอล์คเกอร์ กับ ชูเอา กันเซโล เป็นตัวทำเกมริมเส้น ซึ่งมันได้ผลในช่วงแรก แต่ล่าสุด กันเซโล ไม่อยู่ในแผนการทำทีมแล้ว บวกกับดาวรุ่งอย่าง ริโก ลูอิส และตัวสำรองอย่าง นาธาน อาเก ที่เป็นกองหลังตัวกลาง และโดนโยกมายืนเป็นแบ็กก็ทำผลงานไม่สม่ำเสมอ
เมื่อเกมรุกริมเส้นไม่ทำงาน ฮาลันด์ จึงขาดโอกาสที่จะทำประตูจากการครอสด้านข้าง และบางทีหัวหอกวัย 22 ปี ก็ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวเกินไปในแดนหน้า แม้ว่าเขาจะเป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์และศักยภาพมากเพียงใดก็ตาม
ในช่วงที่เหลือของซีซั่นนี้ บางที กวาร์ดิโอลา อาจจะต้องกลับมาใช้แนวทางเดิมที่เคยประสบความสำเร็จ หากไม่เป็นเช่นนั้น แมนฯ ซิตี้ อาจจะไม่ได้ลุ้นแชมป์แม้แต่รายการเดียวเลยก็เป็นได้