ฟุตบอลลาลีกา สเปน จะกลับมาทำการแข่งขันอีกครั้งในสุดสัปดาห์นี้ หลังจากห่างหายไป 7 สัปดาห์ เพราะต้องหลีกทางให้กับฟุตบอลโลก ที่ประเทศกาตาร์ เช่นเดียวกับลีกอื่นๆในยุโรป
เมื่อทัวร์นาเมนต์เวิลด์ คัพ สิ้นสุดลง แฟนๆจะได้กลับสู่การติดตามความตื่นเต้นของลีกกระทิงดุ และนี่คือ 5 ประเด็นสำคัญ จาก 14 นัดที่ผ่านมา และช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของฤดูกาลนี้
“บาร์ซ่า-ชุดขาว” ผู้ท้าชิงแชมป์ในซีซั่นนี้
บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด ถูกมองว่าเป็น 2 ทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์ในฤดูกาลนี้มากที่สุด ตอนนี้ทั้งคู่แพ้แค่ทีมละ 1 นัด และมีคะแนนห่างกันแค่ 2 แต้มเท่านั้น (บาร์เซโลน่า 37, เรอัล มาดริด 35)
บาร์ซ่า เปิดซีซั่นด้วยการเสมอราโย บาเยกาโน่ 0-0 หลังจากนั้นชนะ 7 นัดรวด ก่อนจะแพ้นัดสำคัญในเกม “เอล กลาซิโก้” กับ เรอัล มาดริด 1-3 แต่ก็กลับมาชนะ 5 นัดติดต่อกันก่อนลีกหยุดพัก
ด้านราชันชุดขาวเริ่มต้นได้สวยงาม ชนะ 10 จาก 11 นัดแรกของซีซั่น แต่อีก 3 นัดหลังจากนั้น เก็บคะแนนเพิ่มได้แค่ 4 แต้ม หนึ่งในนั้นคือการบุกไปแพ้ทีมฟอร์มแรงอย่าง ราโย บาเยกาโน่ 2-3
บาร์เซโลน่า หวังจะกลับมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดให้ได้ นับจากปี 2019 แนวรับของพวกเขาทำได้ดีขึ้นมาก เสียไปเพียง 5 ประตู และเก็บคลีนชีตถึง 11 จาก 14 นัดแรก ส่วนแนวรุกได้อาวุธหนักอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ยิงไปแล้ว 13 ลูก
อย่างไรก็ตาม เรอัล มาดริด ก็ตั้งเป้าที่จะป้องกันแชมป์ให้ได้อีกครั้ง ความน่าสนใจอยู่ที่ขุมกำลังเชิงลึก นักเตะอย่าง เฟเดริโก บัลเบร์เด้ และ โรดริโก้ สามารถก้าวขึ้นมาทดแทนการขาดหายไปของ คาริม เบนเซม่า ที่ลงเล่นไปแค่ 7 นัดเท่านั้น
2 คู่ปรับแคว้นบาสก์ ขึ้นมาอยู่ในพื้นที่ UCL
เรอัล โซเซียดัด และ แอธเลติก บิลเบา 2 สโมสรร่วมแคว้นบาสก์ ลุ้นโควตาแชมเปี้ยนส์ ลีก เต็มตัว อยู่ในอันดับ 3 และ 4 ตามลำดับ และมีคะแนนห่างกันเพียง 2 แต้ม (โซเซียดัด 26, บิลเบา 24)
อิมานอล อัลกูอาซิล ที่เพิ่งต่อสัญญาคุมทีม โซเซียดัด ออกไปจนถึงปี 2025 ทำผลงานได้ดีอย่างเหลือเชื่อ แม้จะไม่มี 2 ดาวยิงตัวเก่ง มิเกล โอยาร์ซาบัล และ อูมาร์ ซาดิค ที่ต่างได้รับบาดเจ็บบริเวณเอ็นไขว้เข่า (ACL) ฉีกขาด ต้องพักยาวทั้งคู่
ขณะที่ เอร์เนสโต บัลเบร์เด้ ที่กลับมาคุม บิลเบา เป็นรอบที่ 3 ออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ได้ดีที่สุด นับตั้งแต่ฤดูกาล 2013/14 ฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมส่วนหนึ่งมาจาก 2 พี่น้อง อินากิ และ นิโก้ วิลเลี่ยมส์ ที่ยิงรวมกัน 8 ประตู กับ 5 แอสซิสต์
และด้วยคะแนนของทั้งคู่ที่ห่างกันเพียง 2 แต้ม ทำให้เกม “บาสก์ ดาร์บี้” นัดแรกของซีซั่น ที่บ้านของ โซเซียดัด ในวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2023 ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
“ราโยฯ” ผู้ไม่แพ้ยักษ์ใหญ่ในครึ่งซีซั่นแรก
อันโดนี่ อิราโอล่า กุนซือ ราโย บาเยกาโน่ ยังคงสร้างมาตรฐานช่วงเริ่มต้นฤดูกาลได้ดี เช่นเดียวกับเมื่อฤดูกาลที่แล้ว นักเตะอย่าง ฟลอร็องต์ เลอเฌอยูน, อัลบาโร่ การ์เซีย และ อิซี่ ปาลาซอน ยิงไปแล้วคนละ 3 ประตู
จุดแข็งของ บาเยกาโน่ ในซีซั่นนี้ คือผลงานการพบกับทีมบิ๊ก 4 ที่ไม่แพ้ใครเลย บุกไปเยือน บาร์เซโลน่า, แอตเลติโก้ มาดริด และ เซบีย่า เก็บได้ 5 คะแนน แถมยังเป็นทีมเดียวที่ชนะ เรอัล มาดริด แชมป์เก่าจากซีซั่นที่แล้ว
ผลงานยามเล่นในบ้าน ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ช่วยให้ บาเยกาโน่ มีแต้มตามหลังท็อปโฟร์แค่ 2 แต้มในเวลานี้ โดยมีสถิติชนะ 4 เสมอ 2 แพ้แค่นัดเดียว ให้กับ เรอัล มายอร์ก้า ทีมที่ฟอร์มดีเช่นเดียวกัน
และที่สำคัญ “เดอะ เรด แซซ” กำลังจะได้ตัว ราอูล เด โทมัส กองหน้าตัวเก่งชาวสเปน วัย 28 ปี จาก เอสปันญ่อล มาเสริมความคมในเดือนมกราคมนี้ เพื่อหวังพาทีมบรรลุเป้าหมายเมื่อจบซีซั่น
“เซบีย่า” หวังคืนฟอร์มในช่วงที่เหลือของซีซั่น
14 เกมแรกของเมื่อฤดูกาลที่แล้ว เซบีย่า มีแต้มตามหลังจ่าฝูงแค่ 4 แต้ม แต่ในช่วงเดียวกันของซีซั่นนี้ สถานการณ์กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะพวกเขาอยู่ในโซนตกชั้น มีแค่ 11 คะแนนเท่านั้น
ด้วยผลงานการออกสตาร์ทซีซั่นที่ย่ำแย่ ทำให้กุนซือ ฆูเลน โลเปเตกี ถูกปลดออกจากตำแหน่ง จากนั้นได้แต่งตั้ง ฮอร์เก้ ซามเปาลี กลับมาคุมทีมอีกครั้ง นับตั้งแต่ปี 2017 เพื่อนำพาสโมสรพ้นจากวิกฤตให้ได้
อดีตเฮดโค้ชทีมชาติชิลีและอาร์เจนติน่า วัย 62 ปี มีงานให้ทำอีกมากในช่วงที่เหลือของซีซั่นนี้ ทั้งการหาผู้เล่นใหม่ในช่วงตลาดนักเตะเดือนมกราคม และการนำฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมกลับคืนมาให้เร็วที่สุด
เอลเช่ เปลี่ยนโค้ชครั้งที่ 3 หวังหลุดอันดับบ๊วย
เอลเช่ ทีมอันดับสุดท้ายของตาราง มีการเปลี่ยนแปลงเฮดโค้ช โดยได้ ปาโบล มาชิน ที่เข้ามารับตำแหน่งช่วงพักเบรกฟุตบอลโลก และเป็นกุนซือคนที่ 3 ในฤดูกาลนี้ ต่อจาก ฟรานซิสโก้ และ ฮอร์เก้ อัลมิรอน
ในเวลานี้ เอลเช่ เป็นทีมเดียวในลีกสูงสุดที่ยังไม่ชนะใคร มีแค่ 4 แต้ม ตามหลังโซนปลอดภัยถึง 8 คะแนน โดย มาชิน จะประเดิมคุมทีมในศึกลาลีกา เจองานหนักอย่าง แอตเลติโก้ มาดริด วันที่ 29 ธันวาคมนี้
หลังผ่านไป 14 นัด นอกเหนือจากการลุ้นแชมป์ที่เข้มข้นแล้ว การลุ้นพื้นที่โควต้ายุโรปก็สนุกไม่แพ้กัน เพราะคะแนนเบียดกันสูสีมาก รวมถึงการลุ้นหนีตกชั้น ทีมอันดับ 11 มีแต้มมากกว่าโซนสีแดงแค่ 8 แต้มเท่านั้น