หลังจากหมดยุคของ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, ชาบี เอร์นานเดซ และ อันเดรส อิเนียสต้า แผงกองกลางอัจฉริยะของบาร์เซโลน่า โลกฟุตบอลได้แต่เฝ้าถามว่าจะมี 3 กองกลางชุดไหนอีกบ้างที่จะสร้างความสำเร็จได้เช่นนั้น?
จนกระทั่งทุกคนก็มาพบคำตอบ เมื่อได้เห็นการทำงานร่วมกันของ ลูก้า โมดริช, โทนี่ โครส และมดงานอย่าง คาเซมิโร่ 3 มิดฟิลด์ของ เรอัล มาดริด ที่ร่วมกันบันดาลแชมป์ยุโรป 5 สมัย
นี่คือเรื่องราวของคนแบกเปียโนประจำเรื่องนี้ ชายผู้ที่ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จ่ายเงิน 70 ล้านยูโร และค่าเหนื่อยอีก 20 ล้านยูโรต่อปี ในแบบที่นักเตะตัวรับบนโลกนี้ไม่เคยมีใครได้รับ
ติดตามเรื่องราว สมอง พลัง และ เล่ห์เหลี่ยม ของ คาเซมิโร่ ที่นี่ กับ Main Stand
บราซิล
ก่อนจะกลายมาเป็น 1 ในมิดฟิลด์ตัวรับที่ดีที่สุดในโลก คาเซมิโร่ มีเรื่องราวการค้นหาตัวเองไม่ต่างจากนักเตะหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “นักเตะบราซิล” ล้วนต้องผ่านเส้นทางคล้าย ๆ กับเขาทั้งนั้น
การเติบโตมาจากครอบครัวยากจน ใช้ฟุตบอลเป็นทางรอดของชีวิต และแน่นอนว่าสำหรับนักเตะบราซิล ไม่มีใครไม่อยากเป็นกองหน้าหรืออย่างน้อยก็ผู้เล่นในเกมรุก เพราะประเทศนี้สร้างเหล่าตัวรุกที่เป็นไอคอนของโลกฟุตบอลมาหลายต่อหลายรุ่น จาก เปเล่ มาจนถึง โรนัลดินโญ่ และคาเซมิโร่เองก็อยากที่จะเริ่มต้นจากจุดนั้น
คาเซมิโร่เกิดในเซาเปาโล เมืองใหญ่แห่งนี้มีเด็ก ๆ ที่อยากเป็นนักเตะอาชีพเหมือนกับเขามากมาย แต่ก่อนจะไปถึงเส้นทางนั้นได้ เขาจำเป็นจะต้องทดสอบเพื่อเข้าไปอยู่ในทีมอคาเดมีให้ได้เสียก่อน สำหรับสโมสรประจำเมืองอย่าง เซาเปาโล มีเด็ก ๆ มาร่วมคัดตัวทุกรุ่น ทุกปี และจะมีคนผิดหวังมากกว่าคนที่สมหวังเสมอ
คาเซมิโร่มาคัดตัวกับทีมตั้งแต่อายุ 10 ขวบแต่ก็ไม่ผ่านสักที จนกระทั่งอายุ 12 ปีเขาก็เกิดปัญญาขึ้น เขาเรียนรู้จากความผิดพลาดครั้งแรกและถามตัวเองว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองมีเปอร์เซ็นต์ผ่านการคัดตัวมากที่สุด … และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นการเป็นยอดกองกลางของเขา
“การทดสอบครั้งใหญ่ตอนผมอายุ 12 ขวบ ตอนนั้นมีเด็กมาคัดตัวทั้งหมด 300 คน … ณ ตอนนั้นจะมีเพียง 50 คนที่ผ่านเข้ารอบคัดตัวรอบต่อไป” คาเซมิโร่ เริ่มเล่า
“ตอนที่เล่นกับทีมท้องถิ่น ผมเป็นกองหน้ามาตลอดเพราะผมตัวใหญ่กว่าเด็กคนอื่น ๆ ร่างกายผมแข็งแรงกว่าผมก็เลยเป็นกองหน้ามาตลอด แต่พอถึงวันคัดตัวโค้ชถามผมว่า ‘เอาล่ะ มีใครเป็นผู้รักษาประตู’ ปรากฏว่ามีเด็กยกมือแค่ 3 คนเท่านั้น แต่พอเขาถามว่า ‘แล้วใครเล่นกองหน้า’ เด็ก 50 คนจะยกมือ ตามด้วยคำถามต่อไป ‘ใครเล่นตำแหน่งหมายเลข 10’ ก็มีเด็กอีก 50 คนยกมือ … แค่นี้ก็เป็นร้อยแล้ว”
“ผมเห็นแบบนั้นผมก็เลยหดมือลง คิดไว้ในใจว่าจะเอาตำแหน่งไหนดี จนโค้ชไล่มาถึงมิดฟิลด์ตัวรับผมสังเกตเห็นว่ามีเด็กยกมือแค่ 8 คน ทีนี้ผมจึงช้าไม่ได้ ผมตอบไปว่า ‘ใช่แล้วโค้ช ผมเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ'” เขาย้อนความ จากการยกมือเพราะคู่แข่งน้อย กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ให้เขาศึกษาวิธีการเล่นมิดฟิลด์ตัวรับ และเล่นในตำแหน่งนั้นมาตั้งแต่อายุ 12 ปี
ว่ากันว่าการให้โอกาสกับคนที่ไม่เคยได้รับมัน โอกาสนั้นจะถูกเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี คาเซมิโร่เองก็เป็นเช่นนั้น เขาเล่าว่าการได้มาอยู่ในทีมเยาวชนของเซาเปาโลเหมือนเป็นโลกใหม่ของเขาเลย เพราะเดิมทีสมัยยังเด็กมาก ๆ บ้านเขาอยู่ในสลัม พ่อของเขาเสียชีวิตก่อนบ้านจะโดนยึด และนั่นทำให้เขากับแม่ต้องย้ายที่นอนบ่อย ทว่าทั้งสองคนแม่ลูกก็สู้ร่วมกันมาตลอด จนกระทั่งวันที่เขาได้มาอยู่ในสโมสรแห่งนี้ที่ทำให้เขาเห็นความแตกต่าง และเขาจะไม่ยอมเสียสิ่งที่ตัวเองได้รับมาอย่างแน่นอน
“แค่มีห้องพักให้หลับนอน มีอาหารให้กิน มีห้องแอร์เย็น ๆ มีทีวีให้ดู แค่นี้ก็มากกว่าสิ่งที่ผมเคยได้รับมาในชีวิตแล้ว” คาเซมิโร่ กล่าว
ความกระตือรือร้นของคาเซมิโร่มากเสียจนโรคร้ายยังต้องยอมแพ้ ตอนเขาอายุ 14 ปีเขาเคยถูกตรวจพบว่าเป็นโรคตับอักเสบ จากนั้นเขาก็ทรุดจนต้องติดเตียงและใช้ชีวิตปกติไม่ได้ถึง 3 เดือน แต่ก็เหมือนกับคำที่ว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” คาเซมิโร่พูดกับตัวเองทุกวันว่าเขาจะต้องกลับมาทวงสิ่งที่ตัวเองคว้ามาให้ได้ เขาจะไม่ยอมแพ้โรคนี้ และสุดท้ายเขาก็ทำได้จริง ๆ
หลังผ่านการรักษาตัว 3 เดือน คาเซมิโร่กลับมาอย่างแข็งแกร่ง เขาขยับตัวเองให้เป็นนักเตะที่แบกอายุเล่นได้ตั้งแต่นั้นมา จนกระทั่งอายุ 18 ปีคาเซมิโร่ก็ทำสำเร็จด้วยการเซ็นสัญญาอาชีพกับเซาเปาโล และขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในท้ายที่สุด
ปรับเพื่อเท่าทันยุโรป
คาเซมิโร่ เล่นให้กับเซาเปาโล 3 ปีในทีมชุดใหญ่ ลงเล่นมากกว่า 100 นัด วิธีการเล่นของเขาเป็นเหมือนมิดฟิลด์ตัวรับสมัยใหม่ที่ไม่ใช่แค่มีไว้ตัดเกมเท่านั้น แต่การจ่ายบอลระยะสั้น ๆ หรือแม้กระทั่งบอลยาวก็ทำได้แม่นยำ เหนือสิ่งอื่นใดคือทักษะการเอาตัวรอดเมื่อบอลอยู่กับเท้า แม้จะไม่ใช่นักเตะเกมรุก แต่คาเซมิโร่ก็แทบจะไม่เสียบอลง่าย ๆ เลย
ความยอดเยี่ยมดังกล่าวทำให้แมวมองของสโมสรในยุโรปหลายทีมได้ข่าวของเขาและมาดูฟอร์มถึงบราซิล ที่สุดแล้วในปี 2012 คาเซมิโร่ก็กลายเป็นสมาชิกของสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง เรอัล มาดริด
คาเซมิโร่มาอยู่กับมาดริดในยุคที่ โชเซ่ มูรินโญ่ คุมทีม ซึ่งโอกาสจะได้ลงเล่นตอนนั้นมีไม่มากนัก เขาออกสตาร์ทกับทีมสำรอง เรอัล มาดริด กาสตีย่า และไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากมายนัก ก่อนที่จะถูกปล่อยไปเล่นให้กับ ปอร์โต้ ในโปรตุเกส เมื่อฤดูกาล 2014-15 ซึ่งช่วงที่อยู่โปรตุเกสเรียกได้ว่าคาเซมิโร่ได้สัมผัสเกมมากขึ้นและได้เรียนรู้อะไรมากมาย
“ตอนไปเล่นที่ปอร์โต้ผมได้รับประสบการณ์มากมาย ผมได้ลงเล่นเป็นตัวหลักของทีม และได้สัมผัสเกมอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญที่สุดคือการได้เรียนรู้เกี่ยวกับความพ่ายแพ้ มันทำให้ผมรู้เลยว่าสิ่งนี้แหละที่มีรสขมมากที่สุดในชีวิตนักฟุตบอล”
“ผมพยายามอย่างมากที่จะทำตัวให้มีประโยชน์ ผมจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต ผมเรียนรู้วิธีการเป็นเบอร์ 6 ที่ดีจากที่นี่เลย” คาเซมิโร่ เริ่มเล่า
“สำหรับผู้เล่นเบอร์ 6 เรามีเป้าหมายแตกต่างจากผู้เล่นตำแหน่งอื่น ๆ หน้าที่หลักของเราคือการแย่งบอล ดังนั้นสิ่งแรกที่ผมจะต้องไปดูหลังจบเกมคือจำนวนการแย่งบอลและตัดบอลคู่แข่งว่าทำได้เท่าไหร่”
“ผมกำหนดว่ามันคือเป้าหมายของผม นี่เปรียบเหมือนการยิงประตูหรือทำแอสซิสต์สำหรับผม ทุกคนอยากทำประตู อยากสร้างจังหวะสวย ๆ แต่ความสุขของผมคือแย่งบอลกลับมา”
หลังหมดสัญญายืมตัวกับปอร์โต้ คาเซมิโร่ ก็ได้กลับมาอยู่กับมาดริดอีกครั้ง แต่ตอนนี้สโมสรมีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมาย โค้ชอย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ โดนปลดออกจากตำแหน่ง โดยมีมวยแทนอย่าง ราฟาเอล เบนิเตซ เข้ามาในเดือนมิถุนายน 2015 แต่เมื่อคุมทีมไปได้แค่ครึ่งซีซั่นเบนิเตซก็โดนปลด และเป็น ซีเนดีน ซีดาน เข้ามารับตำแหน่งแทน
นี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนของเขาเลยก็ว่าได้ คาเซมิโร่เคยทำงานกับซีดานมาก่อนสมัยที่เล่นในทีมกาสตีย่าที่มีซีดานเป็นโค้ช … การเข้ามาของซีดานเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่คาเซมิโร่ได้รับการเห็นคุณค่ามากที่สุดในรอบหลายปีนับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีม
ซีดานมองคาเซมิโร่ในฐานะคนสำคัญของทีม เขาจะเข้ามารับตำแหน่งผู้เล่นหมายเลข 6 ในระบบ 4-3-3 ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ ซีดานต้องการนักเตะอย่าง โคลด มาเกเลเล่ นักเตะตัวรับที่ช่วยทำให้ทีมมาดริดในยุคที่ซีดานยังเป็นนักเตะกลายเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบและคว้าแชมป์ยุโรป
“ซีดานเป็นคนจิตใจดีมาก เขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในของโลกฟุตบอลแต่เขาก็อ่อนน้อมถ่อมตน เขาแสดงออกกับนักเตะในทีมด้วยความใส่ใจ ซีดานบอกให้ผมเล่นเหมือนอย่างมาเกเลเล่ ชายผู้สร้างชื่อให้กับนักเตะตำแหน่งนี้” คาเซมิโร่ กล่าว
“ผมกับซีดานสนิทกันมาก ซีดานเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการสอนและอธิบายถึงสิ่งที่เขาต้องการ เขาเห็นความสำคัญของผู้เล่นทุกคน ทุกตำแหน่ง ทุกอย่างล้วนส่งเสริมกัน ตัวรับก็ทำให้ตัวรุกโดดเด่น และผลงานของเหล่าตัวรุกก็จะเป็นแสงสะท้อนกลับมาให้คนเห็นความสำคัญของตัวรับ เหมือนกับที่มาเกเลเล่มีซีดาน และผมมี โทนี่ โครส, โมดริช, อิสโก้ นั่นแหละ”
การได้ทำงานกับซีดานที่รู้จุดเด่น ทำให้คาเซมิโร่ได้ลงเล่นมากขึ้นเรื่อย ๆ … นับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมาเขาไม่เคยเสียตำแหน่งให้กับใครหน้าไหนทั้งนั้นไม่ว่าจะในสโมสรหรือในทีมชาติ ซึ่งความลับที่เขาได้พบหลังจากเล่นให้กับมาดริดร่วมกับโคตรบอลอย่าง โมดริช และ โครส คือมิดฟิลด์ตัวรับที่ดีต้องมีส่วนผสมของ 3 อย่างด้วยกัน…
สมอง พลัง เล่ห์เหลี่ยม
สมอง หรือ ทัศนคติ คือสิ่งที่คาเซมิโร่ยึดถือมานาน เขาถูกเบนิเตซเรียกว่า “ผู้ฟังที่ดี” ถูก ฆูเลน โลเปเตกี เรียกว่า “นักเตะที่ทำให้โค้ชมีความสุข” ขณะที่ซีดานพูดถึงเขาว่า “นักเตะที่มีความปรารถนาที่จะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นเสมอ” นั่นคือสิ่งที่ทำให้คาเซมิโร่พัฒนาตัวเองขึ้นมาเรื่อย ๆ
“ผมชอบเรียนรู้เป็นที่สุด ผมหาเทปย้อนหลังมาดูตลอดเพื่อเห็นข้อผิดพลาดของตัวเองและประเมินสิ่งที่ผมทำ ผมรักกับการทำอะไรแบบนี้ หลายคนมองว่าผมมีแนวคิดเหมืนกับโค้ชฟุตบอลเพราะผมพยายามจะอ่านเกมเสมอ และนั่นรวมไปถึงการมองให้ทะลุไปยังจิตใจของผู้เล่นฝั่งตรงข้ามและโค้ชของพวกเขา ผมบอกได้เลยว่างานของผมคืองานละเอียด”
“ผมซื้อแพลตฟอร์มวิเคราะห์ฟุตบอลของ Wyscout มาใช้งานส่วนตัว ผมดูข้อมูลทุกอย่าง เมียผมยังบอกด้วยซ้ำว่าผมนี่มันน่ารำคาญจริง ๆ แต่ทำไงได้ก็นี่มันคืองาน และสำหรับงานผมมีเวลาให้เสมอ ผมทำเพราะผมรักมัน และชีวิตของผมก็มีเพื่อคิดถึงแต่ฟุตบอลเท่านั้นแหละ” คาเซมิโร่ กล่าว
ส่วนข้อที่สอง พลัง ข้อนี้สำคัญมาก เพราะซีดานเป็นคนบอกเขาเองในปี 2016 ว่าให้คาเซมิโร่พยายามคิดที่จะครองบอลและผ่านบอล รวมไปถึงการวิ่งสอดเข้าไปเพื่อช่วยเป็นตัวเลือกให้เพื่อนร่วมทีม แต่จริง ๆ แล้วหน้าที่หลักของเขาคือต้องใช้ความเร็ว ความแข็งแรง และพละกำลังแย่งบอลกลับมาให้ทีมต่างหาก
“ตอนที่ซีดานมาคุมทีม 5 เกมแรกผมไม่ได้ลงเล่นเลย เพราะเขาใช้เวลาทั้งหมดนั้นสอนผม … เขาพยายามบอกผมว่าผมต้องเล่นตรงไหนและเล่นอย่างไร เขาสอนจนกว่าจะมั่นใจว่าผมจะพร้อม 100% จริง ๆ และมันก็เป็นแบบนั้น ผมรอจนได้ออกสตาร์ทแล้วผมก็ไม่เคยถอยหลังอีกเลย”
“พละกำลังและความดุดันคือสิ่งที่ถูกเติมเข้ามา ความดุดันของนักเตะแบบผมคือการพยายามเข้าแย่งบอลทุกจังหวะ ทุกโอกาส ผมไม่สนหรอกว่าจะเป็นนาทีสุดท้ายของเกมหรือเปล่า” คาเซมิโร่ ว่าต่อ
สมอง ทำให้เขาเห็นเกมล่วงหน้า ทัศนคติ ทำให้เขาเรียนรู้ พละกำลัง ทำให้เขาดุดัน และสิ่งสุดท้ายสำหรับมิดฟิลด์ตัวรับคือ “เล่ห์เหลี่ยม” … เล่ห์เหลี่ยมนี้ไม่ได้หมายถึงการครองบอลหลอกคู่แข่ง 2-3 คน แต่สำหรับคาเซมิโร่มันคือศิลปะของการทำงานสกปรก กล่าวคือในเมื่อเป็นตัวรับ มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะต้องเตะหรือสกัดแรง ๆ ใส่คู่แข่ง มันจึงจำเป็นจะต้องมีศิลปะอย่างยิ่ง เตะอย่างไรให้สามารถหยุดเกมได้แต่ไม่โดนใบเหลือง เล่นหนัก ๆ แบบไหนให้กรรมการไม่ลงโทษ
“ก่อนเกมเริ่มสิ่งที่ผมทำคือภาวนาให้ไม่มีนักเตะคนไหนในสนามบาดเจ็บ” คาเซมิโร่ เล่าถึงช่วงเวลาก่อนลงสนามที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เขาทำในสนามเมื่อการแข่งขันจริงเริ่มขึ้น
คาเซมิโร่เล่าว่าเขามีความลับเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เพราะทุกครั้งที่เขาเตะหรือสกัดมันผ่านการคิดมาแล้ว กล่าวง่าย ๆ คือเตะอย่างสงบ ละเอียด ไม่โฉ่งฉ่าง ทำภาษากายให้ออกมาเกรี้ยวกราดน้อยที่สุด ทำเหมือนกับว่าเป็นการแย่งบอลธรรมดา ๆ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วมันเต็มไปด้วยความหนักหน่วง ซึ่งวิธีนี้เองที่ทำให้เขาแทบไม่เคยโดนใบแดงเลยตลอดการค้าแข้ง โดยได้รับไปแค่ 2 ใบแดงเท่านั้น แม้เป็นคนที่ครองแชมป์นักเตะที่ทำฟาวล์มากที่สุดในทีมเรอัล มาดริด
คาเซมิโร่ คือของขวัญสำหรับกองหลัง รวมถึง 2 มิดฟิลด์อย่าง โมดริช และ โครส ที่เล่นด้วยกันมาอย่างยาวนาน สมอง พลัง และ เล่ห์เหลี่ยม คือสิ่งที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้
สำหรับตำแหน่งคนแบกเปียโน ณ เวลานี้ คาเซมิโร่ ทำสำเร็จแล้ว นั่นคือการปิดทองหลังพระจนทองล้นออกมาข้างหน้า ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ามองข้ามเขาอีก สิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีคือการเป็นตัวรับในวัย 30 ปี แต่ยังมีค่าตัว 70 ล้านยูโรและค่าเหนื่อยอีกปีละ 20 ล้านยูโร … ทั้งหมดนี้เกิดจากการรู้หน้าที่ของตัวเอง กำหนดทิศทางให้ชัดเจน และท้ายที่สุดคือพัฒนาตัวเองไม่หยุด จนกระทั่งเป็น คาเซมิโร่ ดังที่เขาเป็นอยู่ในทุกวันนี้