sportpooltoday

ยิ่งใหญ่แต่ไร้คนฟัง : “รอย คีน” กัปตันยอดเยี่ยม ผู้จัดการทีมยอดแย่


ยิ่งใหญ่แต่ไร้คนฟัง : "รอย คีน" กัปตันยอดเยี่ยม ผู้จัดการทีมยอดแย่

ไม่ว่าจะมีการโหวตจากแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สักกี่ครั้ง รอย คีน ก็มักจะเป็นที่ 1 ในหัวข้อ “กัปตันทีมที่ดีที่สุดตลอดกาลของสโมสร” อยู่เสมอ

นักเตะที่ทำงานหนัก เป็นผู้นำทั้งในและนอกสนาม เปรียบเสมือนตัวแทนของผู้จัดการทีมเมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น ทั้งหมดนี้การันตีด้วยถ้วยรางวัลมากมายหลายรายการในยุคสมัยของเขา 

อย่างไรก็ตาม ความยิ่งใหญ่ของ คีน ในฐานะยอดนักเตะ ไม่ได้มีความหมายเลยในวันที่เขาเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้จัดการทีมเอง

ความแตกต่างระหว่าง “กัปตัน” กับ “บิ๊กบอส” ในส่วนของ รอย คีน เป็นเช่นไร? ติดตามที่นี่กับ Main Stand

นักรบในสนามหญ้า 

สมัย รอย คีน เป็นนักเตะ เขาคือผู้เล่นที่ทุกคนกลัว .. ด้วยคาแร็คเตอร์ที่จริงจังเอาจัง ด่าเป็นด่า ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ดึงตัวเขามาจาก น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ 

1เฟอร์กี้ คือคนที่เชื่อเสมอเรื่องปูมหลังของนักเตะ เขาเคยกล่าวในสารคดีเรื่อง Never Give In ว่า หากอยากจะรู้ว่านักเตะคนนี้เป็นแบบไหน คุณย้อนกลับไปดูครอบครัวของเขา ตั้งแต่รุ่นพ่อจนถึงรุ่นปู่ เพราะฟุตบอลคือเรื่องของชีวิต พื้นเพของเราคือสิ่งสำคัญ นักฟุตบอลทุกคนมีตัวตนของตัวเอง

เนื่องจากตอนนั้น ยูไนเต็ด กำลังมาถึงยุคเปลี่ยนผ่าน นักเตะอย่าง คีน คือคนที่ตอบโจทย์กับแทคติกและวิธีการทำทีมของเขาเป็นอย่างมาก ฟุตบอลที่ใช้กองกลางแค่ 2 คน ดังนั้น คนที่จะยืนอยู่แกนกลางของสนามจะต้องเป็นนักเตะที่เล่นได้ทั้งเกมรับและเกมรุก มีความแน่นอนในการจ่ายบอล มีวิสัยทัศน์ในการอ่านเกม มีพละกำลังและความห้าวที่จะจัดการกับเกมบุกของฝั่งตรงข้าม และเป็นคนที่ทำให้ผู้เล่นอีกฝั่งต้องคิดแล้วคิดอีกหากพวกเขากำลังเลี้ยงบอลและเงยหน้าขึ้นมาเจอว่า รอย คีน กำลังขวางทางพวกเขาอยู่ 

“ความก้าวร้าวคือสิ่งที่ผมแสดงออกมาเสมอ ผมคิดว่าตัวเองไปทำสงคราม คุณไม่สามารถลงแข่งขันฟุตบอลที่เป็นเกมของลูกผู้ชายด้วยสภาพจิตใจที่หน่อมแน้มถ้อยทีถ้อยอาศัยได้หรอก” รอย คีน ยืนยันตัวตนของเขา  

นั่นคือข้อดีของ คีน ที่ เฟอร์กี้ ยอมหลับตาข้างเดียวไม่สนใจข้อเสียของเขา ไม่ใช่ว่า คีน คือนักเตะที่สมบูรณ์แบบทุกๆด้าน เขาก็เองมีข้อเสียเรื่องการไม่เกรงใจใคร ซึ่งเรื่องนี้เพื่อนร่วมทีมสมัยที่เขาเล่นให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าคือคนที่ไม่มีใครสนิทด้วยมากนัก 

2แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของ เฟอร์กี้ เพราะเขาก็ต้องการให้มันเป็นไปแบบนั้นอยู่แล้ว เขาอยากให้ คีน ควบคุมรุ่นน้องและทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง คีน จะไม่ด่าคนอื่นในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ หากเราเปรียบ คีน เป็นใครสักตำแหน่งหนึ่งในศึกสงคราม เขาคงเป็นทหารเอกที่รับแผนการโจมตีข้าศึกมาจากแม่ทัพอย่าง เฟอร์กี้ จากนั้นก็มีหน้าที่ลงไปลุยเพียงอย่างเดียวเพื่อเอาชัยชนะกลับมา

มีประโยคหนึ่งที่แฟนบอล ซันเดอร์แลนด์ พูดถึง คีน ว่า “การสร้างทีมฟุตบอลทีมหนึ่งต้องพึ่งทั้งศาสตร์และศิลป์ สำหรับ คีน เขาคือจ่าสิบเอกที่ดีที่สุด แต่ก็นั่นแหละ เขาเป็นอะไรที่ใหญ่และรับผิดชอบกว่านั้นไม่ได้หรอก”

นั่นคือบทบาทของ คีน สมัยเป็นนักเตะ แต่ในวันที่เขาแขวนสตั๊ดเมื่อปี 2006 และรับงานคุมทีม ซันเดอร์แลนด์ ครั้งแรก เขาได้พบความแตกต่างของ การเป็นผู้นำในสนาม กับ การเป็นเจ้านาย อย่างแท้จริง

ปกครองด้วยความกลัว 

ในบทบาทผู้จัดการทีม คีน ยังคงเป็นคนเดิมที่ไม่ลังเลจะตะโกนใส่นักเตะ และระเบิดความโกรธออกมาแบบไม่มีการยับยั้งชั่งใจ นักเตะของ ซันเดอร์แลนด์ ในเวลานั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่ คีน สร้างให้กับพวกเขาไม่ใช่ความเคารพ แต่มันคือความกลัวมากกว่า

เขาไม่เคยใช้จิตวิทยาในการบอกและสอนนักเตะของเขา มีแต่เรื่องของอารมณ์ล้วนๆ และนั่นทำให้เขารวมทีมไม่ติด 

3แดนนี่ ฮิกกิ้นบอทแธม นักเตะของ ซันเดอร์แลนด์ ในชุดดังกล่าว และเป็นหนึ่งในนักเตะที่เคยร่วมงานกับ รอย คีน สมัยที่คนหลังยังเป็นนักเตะ คือคนที่ยืนยันเรื่องนี้ แดนนี่ บอกว่า คีน ทำตัวเหมือนกับนักเตะเป็นกระโถน ทุกครั้งที่เกิดความผิดพลาด เขาจะโมโหและตะโกนใส่เหมือนกับตอนที่เขาเป็นกัปตันทีมที่ตะโกนใส่ผู้เล่นคนอื่นในสนาม 

“คีน เคยบอกกับพวกเราก่อนลงสนามว่า -จำไว้นะพวกแก โดยพื้นฐานแล้วพวกแกแม่งห่วยแตกชะมัดยาก ดังนั้น เกมนี้ไม่ต้องไปหวังจะชนะเขาหรอก ออกไปสนุกกับเกมซะ พวกแกอาจจะแพ้ แต่ขอให้สนุกกับการเป็นไอ้ห่วยก็แล้วกัน-”  

นักเตะของ ซันเดอร์แลนด์ คาดเดาอารมณ์ของ คีน ไม่ถูก พวกเขาเกิดความสงสัยในตัวของผู้จัดการทีมตลอดเวลา จริงอยู่ที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็เป็นคนที่ใช้ไดร์เป่าผมใส่ลูกทีม แต่ในส่วนของ คีน มันแตกต่างออกไป เขายังใหม่สำหรับเรื่องนี้ และการโมโหทุกครั้งที่เจอหน้า สร้างความรู้สึกแง่ลบให้กับลูกทีมของเขา จนกระทั่งบางคนถึงกับส่ายหัวและไม่อยากจะสนใจสิ่งที่คีนพูดเลยด้วยซ้ำ

“คุณคาดเดาอะไรกับเขาไม่ได้เลย ผมเคยจำได้ว่ามีสัปดาห์หนึ่ง เราเริ่มต้นซ้อมในวันจันทร์และมันออกมาดีมาก จากนั้นอยู่ดีๆ คีน ก็มีท่าทีไม่สบอารมณ์ สีหน้าของเขาเริ่มออก ตอนนั้นผมคิดในใจว่า -เอาแล้ว เอาแล้ว มันกำลังจะเริ่มแล้ว-” สตีเวน คัลด์เวลล์ เซ็นเตอร์แบ็กของซันเดอร์แลนด์กล่าว 

“พอมีนักเตะเริ่มซ้อมหรือทำผิดพลาด เขาก็พุ่งมากรีดร้องตะโกนใส่หน้าคนๆนั้น นักเตะในทีมบางคนก็พยายามอดทนเพื่อผ่านมันไป ขณะที่บางคนก็ขวัญเสีย แต่สำหรับผู้จัดการทีมอย่าง รอย ผมพูดได้คำเดียวว่า ผมไม่เคยกล้าไว้วางใจและเชื่อใจในตัวเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว การที่คุณเป็นคนโผงผางโวยวายกับทุกเรื่อง ผมมองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ”

“ผมยืนยันอีกครั้งว่า ผมไม่กลัวหรอกนะถ้าเขาน็อตหลุด ผมกลัวผู้จัดการทีมคนอื่นที่ผมเคยร่วมงานมากกว่าเขาด้วยซ้ำ สำหรับผม ความกลัว หมายถึง ผมกลัวที่จะทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง แต่กับ คีน ผมไม่เคยมีความรู้สึกนั้นเลย” 

4มีวีรกรรมความรุนแรงและความโมโหของ คีน ในห้องแต่งตัวที่นักเตะ ซันเดอร์แลนด์ และ อิปสวิช เล่าถึงเขามากมาย ทั้งการเตะกระดานเขียนแทคติกพังเละเทะต่อหน้านักเตะ การบุกเข้าไปในห้องแต่งตัวของทีมตรงข้ามและข่มขู่โค้ชคู่แข่ง รวมถึงการสร้างบรรยากาศที่ตึงเครียดในสโมสรอีกมากมายเกินกว่าจะนับ

ครั้งเป็นนักเตะ ไม่ว่าเขาจะหยาบกร้านและเล่นงานเพื่อนร่วมทีมในสนามซ้อมและสนามแข่งขันแค่ไหน เฟอร์กี้ จะคอยดูแลให้มันไม่มากเกินไปและควบคุมได้เสมอ แต่เมื่อวันที่คีนเป็นใหญ่ที่สุด ไม่มีใครคุมเขาได้ เขาระเบิดทุกครั้งที่อยากทำ และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงล้มเหลว เขาพยายามปกครองคนด้วยความกลัว ไม่ใช่ความเคารพ และในฐานะหัวหน้า การปกครองลูกน้องแบบนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาพยายามจะเรียกร้องจากลูกน้องของเขา

การบริหารคนที่ล้มเหลว 

สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยในการเป็นผู้จัดการทีมคือ การบริหารคน การรู้จักพูด รู้จักทำ เข้าใจนักเตะแต่ละคนว่าพูดแบบไหน สอนอย่างไรจึงจะได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด สมัยเป็นนักเตะ คีน ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องนี้ เพราะเพื่อนร่วมทีมถูกโค้ชสอนและสั่งแผนการเล่นมาอย่างดีแล้ว และหน้าที่ของเขาคือการคอยกระตุ้นให้เพื่อนร่วมทีมไม่หลุดจากมาตรฐานที่ควรจะเป็นก็เท่านั้น

แต่ในวันที่เขาเป็นผู้จัดการทีม ไม่ว่าเขาจะสอนหรือสั่งอะไรก็ยากที่ใครจะทำตามด้วยความเต็มใจ เพราะเขาไม่ได้สามารถซื้อใจนักเตะได้ตั้งแต่แรก เขาเอานิสัยและวิธีการสมัยเป็นนักเตะมาใช้ ซึ่งมันไม่ได้ผลในวันที่เขาเป็นกุนซือ 

5จะมีโค้ชคนไหนที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อและหัวเราะร่วนพร้อมๆกับบอกสื่อว่า นักเตะของเขาเป็นตัวตลกบ้าง? คุณคงนึกภาพไม่ออก แต่ คีน คือคนแบบนั้นแหละ คีน ทำในสิ่งสวนทางกับผู้จัดการทีมชั้นนำของโลก ณ ปัจจุบันหลายๆคนทำ นั่นคือการด่าในที่ลับและชมในที่แจ้ง 

ครั้งหนึ่งเขาพูดถึง ดไวท์ ยอร์ค อดีตเพื่อนร่วมทีมที่กลายเป็นลูกทีมของเขาต่อหน้าสื่อแบบไม่ไว้หน้า เพียงเพราะเขาคิดว่า ยอร์ค ในวัย 36 ปีไม่ยอมรักษาความฟิต  

“ถ้าผมรู้ว่า ดไวท์ จะทำตัวอะไรแบบนี้ ผมไม่มีทางให้สัญญาฉบับใหม่กับเขาแน่ เขาเป็นเหมือนกับตัวตลกที่ไปไหนมาไหนด้วยชื่อเสียงเก่าๆและความทะนงตัว เขาดังที่สุดในประเทศตรินิแดด มีสนามฟุตบอลที่เอาชื่อเขาไปตั้ง แต่ใครจะสนล่ะ? ในเมื่อเขาเล่น 2 เกมใน 3 วันไม่ได้อีกแล้ว และเขาคงไม่ได้เล่นให้เราไปจนจบฤดูกาลโน่นแหละ” สิ้นประโยคดังกล่าว คีน กับ ยอร์ค ก็ไม่กินเส้นกันอีกเลยแม้จะเคยประสบความสำเร็จร่วมกันอย่างยิ่งใหญ่สมัยเป็นนักเตะก็ตาม 

นักเตะที่อีกคนที่พูดยืนยันถึงเรื่องประมาณนี้คือ เดเมี่ยน เดลานี่ย์ กัปตันทีมของ อิปสวิช ในสมัยที่ คีน เป็นกุนซือ ซึ่ง เดลานี่ย์ ยืนยันด้วยตัวเองว่า การบริหารจัดการคนของ คีน ย่ำแย่มาก เขาพูดและบ่นกับสื่อมากมาย แต่กลับไม่ยอมบอกกับนักเตะตรงๆว่าเขาต้องการอะไร 

การเป็นนักเตะภายใต้การนำของโค้ชอย่าง รอย คีน ไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่ผู้เล่นจะพัฒนาได้ นักเตะที่ทำงานกับ คีน ส่วนใหญ่เน้นทำไปตามหน้าที่ แต่ไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำ เขาเคยทิ้งนักเตะอย่าง แอนโธนี่ สโต๊ก และ มาร์ตัน ฟูลอป ให้ยืนงงที่ลานจอดรถในการเดินทางช่วงเกมเยือน บาร์นสลี่ย์ เพียงเพราะนักเตะ 2 คน มาถึงจุดรวมพลช้าไป 5 นาที 

“การทำงานกับ คีน ลำบากมาก ทั้งๆที่เขาเลือกผมลงสนามทุกสัปดาห์ก็ตาม หลังแข่งขันจบ เขาก็เดินผ่านผมไปแล้วไม่คุยกับผมเป็นเดือน แต่ทุกครั้งที่มีเกม เขาก็ส่งผมลงเป็นตัวจริงตลอด ซึ่งนั่นก็ดี เพราะตราบใดที่ผู้จัดการทีมเลือกคุณ เท่ากับว่าคุณสำคัญกับทีม แต่ถ้าเรื่องส่วนตัว สำหรับผมกับเขา ผมปิดสวิตช์ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น” เดเมี่ยน เดลานี่ย์ เล่าต่อ

“ผมพยายามอยู่ให้ไกลเขาที่สุดในตอนซ้อม จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาซ้อมทำตามที่เขาต้องการให้จบๆไป เขาเป็นคนที่บอกก่อนซ้อมว่าต้องการอะไร และถ้าคุณพลาด รับรองได้เลยเขาด่าเปิงกลับบ้านไม่ถูกแน่ โดยเฉพาะกับผมที่เป็นกัปตันทีม ผมโดนเยอะกว่าคนอื่นๆเยอะ”

“ไม่เป็นไร ผมโตพอจะรับมือกับมันได้ และพยายามไม่ให้คำพวกนั้นมากระทบกระเทือนผม สิ่งที่หนึ่งยืนยันได้แน่นอนคือ มันไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่จะทำให้คุณดีขึ้นได้เลย 18 เดือนกับ รอย คีน คือช่วงเวลาที่โคตรจะยากลำบาก” 

6ด้วยอุปนิสัยส่วนตัว ทำให้ รอย คีน ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าหา และตัวเขาเองก็ไม่เคยมีภาพแบบ เยอร์เก้น คล็อปป์ หรือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่กอดคอนักเตะอธิบายสิ่งที่เขาต้องการให้นักเตะทำ ทำให้ไม่มีนักเตะหรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานที่พยายามจะเข้าใจว่าเขากำลังคิดและอยากได้อะไร นั่นคือการบริหารคนที่ผิดพลาดและทำให้เขาไม่เคยได้ใจจากใครจริงๆสักที  

งานโค้ชคืองานที่ยากเย็นและเป็นกันไม่ได้ทุกคน คุณต้องมีพระเดชและพระคุณไปพร้อมๆกัน การจัดการสิ่งต่างๆกับคนรอบตัว รวมถึงการใส่รายละเอียดในสนาม คนที่จะรับตำแหน่งนี้จะขาดสิ่งใดไปไม่ได้เลยหากอยากจะประสบความสำเร็จ ซึ่งนั่นทำให้ คีน โดนนักเตะของเขาพูดถึงลับหลังในแง่ลบมาโดยตลอด

สิ่งเหล่านี้รวมกัน ทำให้ คีน ไม่เคยกลับไปคุมทีมในฐานะกุนซือใหญ่อีกเลยนับตั้งแต่การวางมือกับ อิปสวิช ทาวน์ ในปี 2011