เมื่อพูดถึงนักเตะหมายเลข 9 แฟนบอลทั่วโลกย่อมนึกถึงสุดยอดกองหน้าที่พาเหรดกันเข้ามาสร้างตำนานบนพื้นหญ้า ไล่ตั้งแต่ โรนัลโด้, อลัน เชียเรอร์, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี ไปจนถึง กาเบรียล บาติสตูตา
แต่สำหรับนักเตะของสโมสรเชลซี เสื้อหมายเลข 9 คือฝันร้ายของพวกเขา เพราะเหล่านักเตะมีชื่อมากมายต่างฟอร์มตกอย่างไม่ทราบสาเหตุ จนนักเตะชุดปัจจุบันแห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์ ปฏิเสธจะสวมหมายเลขดังกล่าวเพราะเชื่อว่ามันถูกสาป
Main Stand จะพาไปย้อนรอยอาถรรพ์เบอร์ 9 ของเชลซีที่ดำเนินมายาวนานนับ 30 ปี กับเหตุผลแท้จริงที่บอกเราว่าเสื้อเบอร์นี้แค่ต้องคำสาปหรือมีอะไรที่มากกว่าซ่อนอยู่ในนั้น
ย้อนอาถรรพ์กองหน้าหมายเลข 9
เหตุผลที่อาถรรพ์ฟอร์มดับของศูนย์หน้าหมายเลข 9 แห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์ โด่งดังจนเป็นที่เลื่องลือจนนักเตะในทีมยังเชื่อว่าเป็นคำสาป นั่นเพราะปรากฏการณ์ประหลาดที่อยู่ดี ๆ กองหน้าเชลซีหลายคนกลับฟอร์มตกอย่างไร้สาเหตุเพียงเพราะสวมเสื้อหมายเลข 9 และเราสามารถย้อนกลับไปได้ถึงปี 1992 หรือ 30 ปีก่อนที่ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจะทำการแข่งขันเป็นฤดูกาลแรก
กองหน้าเชลซีคนแรกที่สวมเสื้อหมายเลข 9 ในยุคพรีเมียร์ลีกคือ โทนี่ คาสคาริโน่ กองหน้าทีมชาติไอร์แลนด์ที่พเนจรเล่นให้หลายสโมสรในอังกฤษและฝรั่งเศส โดยในช่วงปี 1992-94 เขาลงเล่นให้กับทัพสิงห์บลูส์และแน่นอนว่าเขาทำผลงานได้ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย เนื่องจากตลอดสองปีที่คาสคาริโน่เล่นให้กับเชลซี เจ้าตัวยิงให้ทีมได้เพียง 8 ประตูจากทุกรายการ
หลังจากนั้นอาถรรพ์หมายเลข 9 กลับมาร้อนแรงอีกครั้งในฤดูกาล 1999-2000 เมื่อเชลซีควักเงิน 10 ล้านปอนด์ซื้อตัว คริส ซัตตัน กองหน้าตัวเก่งของแบล็กเบิร์น โรเวอร์ส เข้ามาสู่ทีม ก่อนอดีตดาวยิงทีมชาติอังกฤษจะตอบแทนต้นสังกัดอย่างคุ้มค่าด้วยการยิงประตูในลีกไปเพียงลูกเดียว จนเชลซีทนไม่ไหวต้องโละซัตตันออกจากทีมให้กับกลาสโกว์ เซลติก ทันทีในฤดูกาลถัดมา
ความล้มเหลวของซัตตันหลังจากเล่นให้กับเชลซีเพียงปีเดียวถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระแส “หมายเลข 9 ฤดูกาลเดียว” ที่จะร้อนแรงในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ต่อไปอีกหลายปีนับจากนี้ เพราะไม่ว่ากองหน้าคนนั้นจะมีชื่อเสียงมากเพียงใด หากพวกเขาย้ายมาสวมเสื้อหมายเลข 9 ของเชลซีกลับมีอันต้องเล่นให้กับทีมเพียงปีเดียวและจะถูกเขี่ยทิ้งออกจากทีมอยู่ร่ำไป
นักเตะคนแรกที่เข้ามาสานต่อกระแสหมายเลข 9 ฤดูกาลเดียวต่อจากซัตตันคือ มาเตย่า เคซมัน ดาวยิงชาวเซอร์เบียที่ระเบิดไปมากกว่า 100 ประตูจากการเล่นตลอดสี่ปีให้กับทีมพีเอสวี ไอนด์โฮเฟน แต่หลังจากที่เขาย้ายมาสวมเสื้อหมายเลข 9 ให้กับเชลซีในปี 2004 เจ้าตัวยิงได้เพียง 4 ประตูจาก 25 นัด ก่อนถูกโละทิ้งให้แอตเลติโก มาดริด หลังจบฤดูกาล
เมื่อนักเตะรุ่นใหม่ฟอร์มแรงอย่างเคซมันตกเป็นเหยื่อของอาถรรพ์เรียบร้อย หมายเลข 9 แห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์ จึงอ้าแขนรับกองหน้าระดับตำนานเข้ามาเป็นเหยื่อรายใหม่ เขาคือ เฮอร์นัน เครสโป กองหน้าชาวอาร์เจนตินาที่ประสบความสำเร็จมากมายในลีกอิตาลี ซึ่งเขาย้ายมาร่วมทัพสิงห์บลูตั้งแต่ปี 2003 แต่กลับปรับตัวบนแผ่นดินอังกฤษไม่ได้จนถูกปล่อยยืมตัวให้ทีมในลีกอิตาลีหลายครั้ง
โดยในฤดูกาล 2005-06 เครสโปกลับมาเล่นที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ และสวมเสื้อหมายเลข 9 ก่อนยิงให้ทีมมากถึง 13 ประตู แต่เนื่องจากปัญหานอกสนามอย่างที่กล่าวไป นี่จึงเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขากับเชลซี
หลังจากความล้มเหลวของสองกองหน้าชื่อดังทั้งเคซมันและเครสโป เส้นทางของนักเตะหมายเลข 9 แห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์ ก็ชักเริ่มจะเละเทะ เพราะหลังจากนั้นอีกหลายปีกลับมีแต่นักเตะเกรดบีเข้ามาสวมเสื้อเบอร์ดังกล่าวให้กับเชลซี แถมบางคนไม่ใช่กองหน้าเสียด้วยซ้ำ ยกตัวอย่าง คาลิด บูลาห์รูซ ปราการหลังชาวดัตช์ที่เลือกใส่เบอร์ 9 จนเป็นข่าวฮือฮา หรือ สตีฟ ซิดเวลล์ ที่เล่นในตำแหน่งกองกลาง แต่ไม่ว่าจะเล่นตำแหน่งใดเหล่าผู้เล่นเบอร์ 9 มีอันต้องจบช่วงเวลาของตนกับเชลซีภายในปีเดียว
เมื่อ ฟรังโก ดิ ซานโต กองหน้าดาวรุ่งชาวอาร์เจนตินาย้ายมาล้มเหลวกับทีมในปี 2008 เบอร์ 9 ของเชลซีก็กลายเป็นหมายเลขว่างที่ไม่มีใครกล้าสวมใส่อยู่นาน จนกระทั่งการมาถึงของซูเปอร์สตาร์แห่งโลกลูกหนัง เฟร์นานโด ตอร์เรส ดาวยิงทีมชาติสเปนที่ประสบความสำเร็จมากมายในสีเสื้อลิเวอร์พูล ก่อนย้ายสู่ถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยค่าตัวประวัติศาสตร์เกาะอังกฤษ 50 ล้านปอนด์
ผลงานของอดีตดาวยิงหมายเลข 9 แห่งแอนฟิลด์ส่งผลให้แฟนบอลเชลซีหลายคนเชื่อมั่นว่าตอร์เรสคือบุคคลที่จะเข้ามาล้างคำสาปหมายเลข 9 แห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้เสียที แต่โชคร้ายที่เรื่องราวดำเนินไปในทิศทางกลับตรงกันข้าม เพราะถึงแม้เจ้าตัวจะอยู่กับทีมนานเกินหนึ่งฤดูกาลและยังประสบความสำเร็จในฐานะแชมป์ยุโรปร่วมกับทีม ตอร์เรสก็ไม่เคยตอบแทนในระดับที่คุ้มค่ากับเงิน 50 ล้านปอนด์ และต้องใช้เวลานานถึง 903 นาทีกว่าเขาจะยิงประตูแรกให้กับทีมดังแห่งลอนดอน
บุคคลต่อไปที่เข้ามาสานต่อคำสาปหมายเลข 9 คือ ราดาเมล ฟัลเกา ดาวยิงชาวโคลัมเบียที่เพิ่งปืนฝืดกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลก่อนหน้า เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยถึงเรื่องผลงานของเขาในฤดูกาล 2015-16 เมื่อฟัลเการะเบิดสกอร์ให้กับเชลซีได้เพียงประตูเดียว
ส่วนความล้มเหลวของอีกหลายคนที่เหลือในช่วง 5 ปีหลังสุดยังคงชัดเจนในความทรงจำของแฟนบอลทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น อัลบาโร โมราต้า, กอนซาโล อิกวาอิน, แทมมี่ อับราฮัม และ โรเมลู ลูกากู ทั้งหมดล้วนล้มเหลวไม่เป็นท่าในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ไม่มีใครยิงเกิน 15 ประตูในหนึ่งฤดูกาล ซึ่งผลงาน 15 ประตูเป็นของอับราฮัมส่งผลให้เขาเป็นนักเตะเพียงคนเดียวในช่วงหลังที่สวมเบอร์ 9 เกินหนึ่งปี ส่วนที่เหลือไม่พ้นเข้าร่วมชมรมเดียวกับเคซมันและเครสโปในที่สุด
คำสาปหรือปัญหาจากวัฒนธรรมของเชลซี ?
ความล้มเหลวของบรรดานักเตะหมายเลข 9 ของเชลซีแสดงเห็นมายาวนานตลอด 30 ปี จนเป็นที่ประจักษ์ถึงความเฮี้ยนของอาถรรพ์ที่เกิดขึ้น แต่คำถามที่หลายคนอาจข้องใจและต้องการจะหาคำตอบคือ อาถรรพ์ที่เกิดขึ้นกับหมายเลข 9 แห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์ มีสาเหตุมาจากปัจจัยที่สามารถอธิบายได้หรือเป็นเพราะคำสาปเหนือธรรมชาติที่จ้องจะทำลายกองหน้าหลายรายให้หมดอนาคตไปกันแน่ ?
ก่อนอื่นคงต้องอธิบายให้ชัดเจนก่อนว่ามีนักเตะหมายเลข 9 หลายคนของเชลซีที่ประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพึงพอใจ ทั้ง จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ อดีตกองหน้าค่าตัวสถิติสโมสรที่ย้ายเข้าสู่ทีมเมื่อปี 2000 ก่อนยิงระเบิด 69 ประตูตลอด 4 ฤดูกาล และ จิอันลูก้า วิอัลลี่ กองหน้าเจ้าของผลงาน 40 ประตู ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมเชลซีในปี 1999 ต่างเป็นดาวยิงหมายเลข 9 ที่ประสบความสำเร็จในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ทั้งสิ้น
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตคือดาวยิงทั้งสองรายที่กล่าวมาต่างเป็นนักเตะเชลซีก่อนยุคของ โรมัน อบราโมวิช เศรษฐีชาวรัสเซียที่เข้ามาซื้อกิจการของทีมในปี 2003 ทั้งสิ้น ซึ่งผลงานของกองหน้าเบอร์ 9 ในยุคอบราโมวิชเรียกได้ว่าย่ำแย่กว่าช่วงเวลาก่อนหน้านั้นเป็นอย่างมาก
นับแค่ความจริงที่ เฟร์นานโด ตอร์เรส กลายเป็นคัลต์ฮีโร่ของแฟนเชลซี และเป็นกองหน้าเบอร์ 9 ที่ดีที่สุดของทีมเท่าที่แฟนรุ่นหลังจะจำความได้ เพียงเพราะเขายิงประตูชัยให้ทีมเอาชนะบาร์เซโลน่าตีตั๋วเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศและก้าวไปคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2012 ข้อเท็จจริงตรงนี้น่าจะยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า นักเตะหมายเลข 9 ของเชลซีในยุคอบราโมวิชมีผลงานที่ย่ำแย่เกินทนจริง ๆ
ทั้งหมดที่กล่าวมาจึงนำมาสู่คำถามที่ว่า “ทำไมนักเตะหมายเลข 9 ในยุคอับราโมวิชถึงล้มเหลวไม่เป็นท่า” ซึ่งถ้าคุณเป็นแฟนคลับเรื่องไสยศาสตร์ลี้ลับ บางทีการหาเรื่องราวคำสาปที่เศรษฐีรัสเซียต้องเผชิญอาจเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นกว่า แต่ความล้มเหลวของกองหน้าเชลซีในยุคอบราโมวิชสามารถหาหลักฐานที่ชัดเจนมายืนยันได้ว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอาถรรพ์เหนือธรรมชาติเลย เพราะสาเหตุที่แท้จริงของปัญหานี้คือการซื้อตัวแบบไม่ดูตาม้าตาเรือของทีมเสียมากกว่า
เมื่อย้อนกลับไปดูรายชื่อของกองหน้าที่ล้มเหลวและเอาชื่อมาทิ้งในสแตมฟอร์ด บริดจ์ จะพบว่ามีนักเตะอีกหลายคนที่ไม่ได้สวมเสื้อหมายเลข 9 แต่ก็เอาตัวไม่รอดในทัพสิงห์บลู เริ่มต้นจาก อาเดรียน มูตู กองหน้าชาวโรมาเนียที่ไปไม่รอดตั้งแต่ต้นเพราะถูกจับในคดีโคเคน ตามมาด้วย อันเดร เชฟเชนโก้ แข้งระดับตำนานชาวยูเครนที่ย้ายเข้าสู่ทีมด้วยค่าตัวสถิติสโมสรกว่า 30 ล้านปอนด์ ก่อนตอบแทนเม็ดเงินนั้นด้วยการยิงได้เพียง 22 ประตู
ความจริงที่เกิดขึ้นคือเสื้อหมายเลข 9 ไม่ได้มีอาถรรพ์หรือต้องคำสาปอะไร แต่เป็นเพราะตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเชลซีเลือกซื้อกองหน้าเข้ามาสู่ทีมโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบหรือพิจารณาให้ถี่ถ้วน เราจึงได้เห็นปัญหาแปลก ๆ ที่ดูเหมือนจะอธิบายไม่ได้จนนึกว่าเป็นอาถรรพ์ เช่น เครสโปที่เล่นได้น่าพอใจแต่ก็ไม่ได้อยู่กับทีมต่อ หรือลูกากูที่ฟอร์มร่วงลงเหวทั้งที่เพิ่งร้อนแรงกับอินเตอร์ มิลาน
ทั้งที่ความจริงปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมามีสัญญาณแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีโอกาสเกิดขึ้น ทั้งความจริงที่เครสโปไม่มีใจจะเล่นฟุตบอลในอังกฤษตั้งแต่แรก หรือความล้มเหลวบนเวทีพรีเมียร์ลีกของลูกากูกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งหมดเป็นสัญญาณที่เตือนเชลซีแล้วว่าการคว้ากองหน้าเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะล้มเหลว แต่ด้วยเงินที่หนาแน่นในกระเป๋าและความไม่รอบคอบในการซื้อกองหน้าจนเคยชิน เจ้าของเสื้อหมายเลข 9 ในถิ่นเชลซีจึงล้มเหลวไปเสียทุกครั้ง
นอกจากเครสโปและลูกากูที่กล่าวมาแล้ว นักเตะหมายเลข 9 คนอื่นต่างมีสัญญาณว่าพวกเขามีโอกาสจะไม่ประสบความสำเร็จทั้งสิ้น ไล่ตั้งแต่ ฟัลเกา และ อิกวาอิน ที่ย้ายเข้าสู่ทีมเมื่อเลยจุดพีกในอาชีพของตัวเองมาแล้ว, อับราฮัม และ ดิ ซานโต คือเยาวชนที่ยังไม่พร้อมจะลงเล่นในระดับสูง, เคซมัน ไม่เคยมีประสบการณ์ในลีกใหญ่ของยุโรป และ โมราต้า ที่ไม่ได้เล่นเป็นตัวจริงต่อเนื่องให้กับเรอัล มาดริด ก่อนย้ายมาเชลซี
มีนักเตะเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ล้มเหลวไม่เป็นท่าทั้งที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้วทุกอย่าง นั่นคือ ตอร์เรส แต่นอกเหนือจากกองหน้าแก้มแดงชาวสเปน ความล้มเหลวของดาวยิงหมายเลข 9 รายอื่นไม่ใช่เรื่องที่เกินคาดเดาหรือจะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะแค่พิจารณาจากกรณีของโมราต้าหรือลูกากู การดึงกองหน้าที่เคยไปไม่รอดกับทีมชั้นนำในระดับเดียวกันมาใช้งานย่อมมีความเสี่ยงที่จะล้มเหลวอยู่ในตัวอยู่แล้ว
เมื่อบวกกับเป้าหมายของเชลซีในยุคอบราโมวิชที่ต้องมีความสำเร็จติดมือในทุกฤดูกาล การรอคอยให้นักเตะได้มีเวลาปรับตัวหรือพัฒนาตัวเองจึงไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย เรื่องนี้คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักเตะหมายเลข 9 ส่วนใหญ่มีเวลาในสีเสื้อเชลซีเพียงฤดูกาลเดียว เพราะสโมสรรวมถึงแฟนบอลไม่มีเวลามากพอให้กองหน้าเหล่านี้ที่สอบไม่ผ่านในปีแรกได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองเป็นครั้งที่สอง
ความจริงตรงนี้ไม่เพียงทำให้เวลาที่ควรจะได้ปรับตัวของนักเตะเชลซีน้อยกว่าทีมอื่น และทำให้หลายครั้งนักเตะเหล่านี้ถูกกดดันจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ส่งผลให้ฟอร์มที่แย่อยู่แล้วยิ่งแย่เข้าไปกันใหญ่ หากยังจำกันได้ทั้ง ตอร์เรส และ โมราต้า ต่างเคยลงเล่นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกดดัน เนื่องจากความคาดหวังในฐานะกองหน้าตัวหลักที่ต้องยิงเป็นกอบเป็นกำให้เชลซีตั้งแต่แรกมันหนักหนาเกินไป
นี่คือข้อสรุปที่แสดงให้เห็นชัดว่าอาถรรพ์เสื้อหมายเลข 9 ของเชลซีไม่ได้เกิดขึ้นจากคำสาปของพ่อมดคนไหน แต่มันเป็นเพราะวัฒนธรรมของสโมสรที่ไม่มีพื้นที่ว่างให้กับนักเตะที่ไม่สามารถประสบความสำเร็จกับทีมได้ทันที บวกกับนิสัยชอบหว่านซื้อกองหน้าหลายรายแทนที่จะอดทนรอเพื่อทุ่มซื้อของดีเพียงตัวเดียวเน้น ๆ (เช่น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ บาเยิร์น มิวนิค) ก็เป็นเรื่องง่ายที่ดาวยิงหลายคนจะล้มเหลวจนนำมาสู่อาถรรพ์เสื้อหมายเลข 9 อย่างที่เห็นในปัจจุบัน