การเมืองมีอยู่ทุกที่และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์เสมอมาไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เกมฟุตบอลก็เช่นกัน เพราะในโลกลูกหนังมีการแย่งชิงอำนาจในหลายมิติ และที่น่าสนใจที่สุดคือ อำนาจในห้องแต่งตัว
ตามปกติของเกมฟุตบอล ผู้จัดการทีม หรือ เฮดโค้ช คือคนที่กุมอำนาจของทีมในห้องแต่งตัว และผู้เล่นทุกคนต้องปฏิบัติตามคำสั่งของโค้ชอย่างเคร่งครัด
แต่แฟนลูกหนังทุกคนรู้ดีว่าไม่ใช่ทุกทีมที่นักเตะจะเชื่อฟังคำสั่งโค้ช มีอยู่หลายทีมที่ผู้เล่นมองว่าตัวเองควรมีอำนาจมากกว่าโค้ช หรือมองว่าผู้จัดการทีมคนนี้ไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะนำทีมไปสู่ความสำเร็จได้ ซึ่งหลายครั้งการอยากมีอำนาจของผู้เล่นก็นำไปสู่ปฏิบัติการเตะไล่โค้ช ซึ่งเกิดขึ้นในทีมฟุตบอลทั่วโลก
ถึงการเตะไล่โค้ชจะเกิดขึ้นเป็นปกติของวงการฟุตบอล แต่ในโลกตะวันตกไม่มีวีรกรรมไหนจะโด่งดังไปกว่า การเตะไล่โค้ชของแข้ง ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่ทำให้ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษที่ได้รับการขนานนามว่า “เก่งที่สุดตลอดกาล” อย่าง ไบรอัน คลัฟ กระเด็นออกจากตำแหน่งหลังคุมทีมได้เพียง 44 วันเท่านั้น
เรื่องราวของการเตะไล่โค้ชทีมของตัวเองอันโด่งดังของแข้งยูงทองมีที่มาอย่างไร ติดตามไปกับ Main Stand
ครอบครัวลีดส์ ยูไนเต็ด
ก่อนที่แข้งลีดส์จะทำการรัฐประหารทีมตัวเองจนลือชื่อ ครั้งหนึ่งนี่คือสโมสรที่บูชาผู้จัดการทีมดุจดั่งพระเจ้า แต่นั่นไม่ใช่กับ ไบรอัน คลัฟ หากแต่เป็นกุนซือคนก่อนหน้าอย่าง ดอน เรวี่
อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษใช้ชีวิตช่วงปลายการค้าแข้งกับลีดส์ ยูไนเต็ด และด้วยความที่เขาเป็นคนแคว้นยอร์กเชียร์อันเป็นที่ตั้งของสโมสรลีดส์ ยูไนเต็ด ทำให้เรวี่เป็นส่วนหนึ่งของทีมได้อย่างรวดเร็ว เขามีความผูกพันมากกับสโมสรแม้จะย้ายมาค้าแข้งได้เพียงไม่กี่ปี และเขาก็อยากพาลีดส์ก้าวขึ้นไปประสบความสำเร็จ
ด้วยไฟอันแรงกล้าของดอน เรวี่ ทัพยูงทองจึงประกาศตั้งเขาขึ้นเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในปี 1961 ตั้งแต่ยังไม่แขวนสตั๊ดด้วยซ้ำ
หลังจากแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ ดอน เรวี่ เริ่มปฏิวัติสโมสรทันที เขาสั่งเปลี่ยนสีเสื้อเหย้าของลีดส์ให้มาใส่เสื้อสีขาวล้วน โดยเป็นการลอกเลียนแบบมาจาก เรอัล มาดริด สโมสรชื่อดังแห่งสเปนซึ่งเป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลกในเวลานั้น
นี่คือวิธีการปลุกใจแบบฉบับดอน เรวี่ เขาต้องการให้ผู้เล่นของลีดส์มีความเชื่อมั่นว่าพวกเขาแข็งแกร่งไม่ต่างจากเรอัล มาดริด เปรียบดั่งเป็นทีมราชันชุดขาวแห่งเกาะอังกฤษ ซึ่งมันเปลี่ยนลีดส์จากทีมหนีตกชั้นขึ้นมาเป็นทีมหัวตาราง และสามารถเลื่อนชั้นจากดิวิชั่น 2 ขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 ในฤดูกาล 1963-64 ได้สำเร็จ ในฐานะแชมป์ดิวิชั่น 2
ดอน เรวี่ ถือเป็นโค้ชที่เก่งกาจด้านจิตวิทยาเป็นอย่างมาก เขาเป็นผู้ชายที่มีทั้งพระเดชและพระคุณในคน ๆ เดียว และทำให้นักฟุตบอลในทีมทั้งรักไปพร้อมกับเกรงกลัวในเวลาเดียวกัน
โค้ชไฟแรงอย่างเรวี่ประกาศชัดเจนกับนักเตะทุกคนว่าที่นี่อยู่กันเป็นครอบครัว ทุกคนเข้าใจกันและกัน ไม่มีการด่าทอต่อว่าเสียหาย และเขายังให้ใจกับนักเตะเป็นอย่างมาก พร้อมให้โอกาสทุกคนได้ลงสนาม ไม่ว่าจะเป็นแข้งดาวรุ่งไร้ประสบการณ์หรือนักเตะที่เกิดปัญหาฟอร์มตก เรวี่ก็ยังเชื่อใจเก็บแข้งเหล่านี้ไว้ในทีม
แต่ในขณะเดียวกันเรวี่ก็ทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่านักเตะทุกคนจะลงสนามเพื่อคว้าชัยชนะให้ลีดส์ ยูไนเต็ด เท่านั้น ถ้าใครที่เล่นเพื่อเงินหรือเป็นแข้งจอมงอแง เรวี่ก็พร้อมถีบหัวส่งแข้งพวกนี้ออกจากทีมทันที โดยไม่สนว่าใครจะใหญ่มาจากไหน
เพียงแค่ขึ้นสู่ลีกสูงสุดในฤดูกาลแรก เรวี่ก็พาแข้งลีดส์ช็อกเกาะอังกฤษด้วยการคว้า “ดับเบิลรองแชมป์” ทั้งถ้วยลีกดิวิชั่น 1 และเอฟเอคัพ ก่อนจะเดินหน้าคว้าทั้งแชมป์ดิวิชั่น 1, เอฟเอคัพ และลีกคัพ ในเวลาต่อมา
ดอน เรวี่ ได้เปลี่ยนลีดส์ ยูไนเต็ด จากทีมธรรมดา ๆ ให้กลายเป็นสโมสรระดับแถวหน้าของอังกฤษ ซึ่งนอกจากเคล็ดลับด้านจิตวิทยาอันยอดเยี่ยมเรวี่ยังเน้นสร้างจิตวิญญาณของสโมสรด้วยการใช้ผู้เล่นและทีมงานโค้ชที่รักลีดส์จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการดันนักเตะเยาวชนท้องถิ่นขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่อดีตผู้เล่นของทัพยูงทองที่แขวนสตั๊ดก็ถูกดึงมาช่วยงานในฐานะทีมสตาฟโค้ช
ในยุคนั้น ลีดส์ ยูไนเต็ด ถือเป็นทีมที่มีสปิริตทีมที่ดีมาก ๆ นักเตะทุกคนรักและภูมิใจที่ได้เป็นผู้เล่นของสโมสรแห่งนี้ แฟน ๆ ก็รักทีมมากเช่นกัน เพราะทีมเต็มไปด้วยนักเตะท้องถิ่น แข้งตำนานก็ยังวนเวียนทำงานช่วยสโมสรอยู่ การจะบอกว่านี่ไม่ใช่แค่ทีมฟุตบอลแต่เป็นเหมือนอีกครอบครัวหนึ่งก็คงไม่ผิดนัก ดอน เรวี่ สร้างอัตลักษณ์ของสโมสรนี้ได้สำเร็จจริง ๆ และพร้อมเดินหน้าล่าความสำเร็จด้วยแนวทางนี้
แต่หลังจากคุมทีมมาอย่างยาวนาน เมื่อฤดูกาล 1973-74 จบลง ดอน เรวี่ เลือกทำในสิ่งที่แฟนลีดส์ไม่ได้คาดคิดมาก่อน นั่นคือเรวี่ลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมเพื่อไปรับงานเป็นกุนซือใหญ่ของทีมชาติอังกฤษ
และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเตะไล่โค้ชครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ
การเข้ามาของคนนอก
ในตอนแรกใคร ๆ ก็คาดการณ์ว่า จอห์นนี่ ไกล์ส กองกลางคนสำคัญของทีมจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของลีดส์ เพราะในเวลานั้นไกล์สรับงานควบเป็นโค้ชของทีมชาติไอร์แลนด์อยู่ อีกทั้งตัวของไกล์สก็อยู่กับทัพยูงทองมานานถึง 11 ฤดูกาล เข้าใจทั้งแทคติค และ DNA ของสโมสรลีดส์ในยุคของเรวี่เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะมองมุมไหนไกล์สคือตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ ไมค์ แบมเบอร์ เจ้าของสโมสรลีดส์ไม่ได้คิดแบบนั้น ด้วยความทะเยอทะยานที่อยากจะพาลีดส์ไปให้ไกลกว่าเดิมจึงเลือกดึงโค้ชหนุ่มชาวอังกฤษที่อนาคตไกลที่สุดในเวลานั้นมาคุมทัพแทน เขาคนนั้นก็คือ ไบรอัน คลัฟ
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหากไมค์ แบมเมอร์ จะอยากได้ไบรอัน คลัฟ มาคุมทีม เพราะเขามีผลงานชิ้นโบว์แดงจากการชุบชีวิตดาร์บี้ เคาน์ตี้ จากดิวิชั่น 2 คว้าแชมป์เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุด และใช้เวลาอันสั้นก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์ดิวิชั่น 1 อังกฤษ เรียกได้ว่าเดินตามรอยเส้นทางของดอน เรวี่ แบบไม่มีผิดเพี้ยน
ดังนั้นในสายตาของแบมเมอร์เขาจึงเห็นไบรอัน คลัฟ เป็นดอน เรวี่ คนใหม่ แต่นั่นก็เป็นมุมมองของผู้บริหารเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ในสายตาของนักฟุตบอลที่มีอคติกับโค้ชรายนี้มาตั้งแต่เขายังไม่ได้มาคุมทีมเสียอีก
ไบรอัน คลัฟ ถึงจะมีเส้นทางผู้จัดการทีมคล้ายคลึงกับดอน เรวี่ แต่ปรัชญาการทำทีมของทั้งสองคนต่างกันอย่างสิ้นเชิง ขณะที่เรวี่พยายามรวมทีมเข้ามาเป็นครอบครัว คลัฟกลับมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง ทุกคนต้องฟังคำสั่งเขา และถ้าเล่นไม่ได้ดั่งใจก็เตรียมโดนด่าแบบชุดใหญ่ได้เลย
ซึ่งความปากจัดของคลัฟคือชนวนสำคัญที่ทำให้แข้งลีดส์ไม่ชอบหน้าเขา เพราะสมัยที่คลัฟคุมดาร์บี้และเป็นคู่แข่งแย่งลุ้นแชมป์กับลีดส์ กุนซือปากตะไกรรายนี้ชอบออกมาโจมตีแทคติคของดอน เรวี่ อยู่เป็นประจำ
เพราะฟุตบอลของลีดส์ขึ้นชื่อเรื่องการอัดหนักอัดจริงและเข้าปะทะบอลแบบถึงลูกถึงคนที่ทำให้วงการฟุตบอลอังกฤษขยาดไปตาม ๆ กัน ซึ่งคลัฟไม่ชอบสไตล์บอลแบบนี้มากและมักจะด่าลีดส์ว่าเป็นทีมฟุตบอลที่มีแต่กำลัง สมควรถูกปรับตกชั้นไปจากการเล่นที่รุนแรง แถมยังเคยด่าว่าลีดส์เป็นสโมสรของพวกขี้โกงอีกด้วย
แถมไบรอัน คลัฟ ยังเคยดูถูกอัตลักษณ์ความเป็นครอบครัวของลีดส์ โดยบอกว่าครอบครัวของลีดส์ ยูไนเต็ด ไม่เคยมีอยู่จริง เพราะสำหรับเขามันเหมือนกับมาเฟียที่คุมสถานรับเลี้ยงเด็กมากกว่า แน่นอนว่าด่าแรงขนาดนี้แข้งลีดส์ย่อมมีอคติกับตัวของคลัฟอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ทางด้านคลัฟกลับไม่สนใจ ทั้งที่รู้ตัวว่าจะต้องโดนต่อต้าน แต่เขาก็มองโอกาสคุมลีดส์เป็นการสร้างชื่อครั้งสำคัญ และเชื่อว่าวิธีการของเขาจะใช้ได้ผลกับลีดส์ ยูไนเต็ด
น่าเสียดายที่มันไม่เคยเกิดขึ้น…
44 วันของ ไบรอัน คลัฟ
ยังไม่ทันที่ไบรอัน คลัฟ จะได้เริ่มงาน เขาก็เจอกับปัญหาใหญ่เมื่อ ปีเตอร์ เทย์เลอร์ ผู้ช่วยโค้ชคู่บุญของเขาไม่ยอมย้ายมาทำงานที่ลีดส์เพื่อขึ้นรับงานเป็นผู้จัดการทีมของไบร์ทตัน ซึ่งปกติแล้วเทย์เลอร์คือคนที่เป็นกันชนให้กับคลัฟ และเป็นสายประนีประนอมคอยอธิบายให้ลูกทีมเข้าใจ ยามที่นายใหญ่อย่างคลัฟกำลังหัวเสียอย่างหนัก
ไบรอัน คลัฟ รู้ดีว่าเขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของนักเตะ จึงพยายามหาทางซื้อใจแข้งลีดส์ให้ได้ด้วยการเกลี่ยกล่อมลูกพี่ใหญ่อย่าง จอห์นนี่ ไกล์ส ให้มาเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานสตาฟโค้ช และพร้อมจะมอบตำแหน่งผู้ช่วยโค้ชให้กับไกล์สด้วย
อย่างไรก็ตามไกล์สที่หัวเสียกับการที่ตนไม่ได้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของลีดส์ แถมยังได้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบอย่างคลัฟมานั่งเก้าอี้แทน เขาจึงปฏิเสธที่จะไปร่วมงานกับโค้ชรายนี้ และขอเป็นเพียงผู้เล่นในสนามแบบเดิม
ถึงจะล้มเหลวในการจัดการปัญหาทีมสตาฟโค้ช คลัฟเลือกเดินหน้าทำทีมต่อแบบไม่กลัวอุปสรรค ซึ่งสิ่งแรกที่เขาตัดสินใจทำคือปฏิวัติ DNA ฟุตบอลของลีดส์ ยูไนเต็ด
คลัฟประกาศต่อหน้าลูกทีมทุกคนว่า เขาจะเปลี่ยนลีดส์ให้เลิกเล่นบอลแบบอัดหนักเน้นการปะทะ แต่จะหันมาเล่นฟุตบอลเกมรุกสวยงามแทน แถมมาพร้อมกับกับประโยคในตำนานที่เขาพูดต่อหน้านักเตะในการประชุมวันแรกว่า
“โยนเหรียญแชมป์ที่พวกนายเคยได้มาทิ้งลงถังขยะไปซะ เพราะมันได้มาอย่างไม่ขาวสะอาด”
คลัฟแสดงให้เห็นชัดเจนตั้งแต่วันแรกว่าเขาพูดจริงทำจริงกับความพยายามที่จะลบ DNA ของลีดส์ยุคดอน เรวี่ ออกไปให้ได้ แต่แน่นอนว่ามันไม่สามารถซื้อใจผู้เล่นของลีดส์ได้แม้แต่น้อย
นอกจากนี้คลัฟยังพบว่านักเตะผู้เล่นชุดปัจจุบันของลีดส์เกือบทุกคนเล่นในระบบทีมของเขาไม่ได้เลย เพราะผู้เล่นเหล่านี้ถูกสร้างมาให้เล่นในสไตล์ของ ดอน เรวี่ ไม่ใช่ ไบรอัน คลัฟ
ด้วยเหตุนี้คลัฟจึงขอให้ทีมซื้อนักเตะหน้าใหม่หลายคนเข้าสู่ทีมเพื่อเข้ามาเป็นขุมกำลังหลักของลีดส์ยุคใหม่ ยิ่งทำให้แข้งลีดส์ยุคเก่าหัวเสียกับการกระทำของคลัฟมากขึ้นไปอีก เพราะมองว่าคลัฟไม่เคารพวัฒนธรรมของสโมสรที่ต้องให้โอกาสนักเตะพิสูจน์ตัวเองก่อนเสมอ
เกมแรกของลีดส์ในยุคของคลัฟไม่ได้เริ่มต้นด้วยชนะ หลังจากแพ้การยิงจุดโทษในฟุตบอลการกุศลเอฟเอคัพ แชริตี้ ชิลด์ ให้กับลิเวอร์พูล แต่ไม่ได้มีใครสนใจผลการแข่งขันมากนัก จนกระทั่งเกมแรกของฟุตบอลลีกที่ลีดส์ ยูไนเต็ด ดีกรีแชมป์เก่า โดน สโต๊ค ซิตี้ ถล่มแพ้หมดสภาพ 0-3
มีรายงานว่าในเกมวันนั้น ไบรอัน คลัฟ ทะเลาะกับทีมงานโค้ชเก่าแก่ของลีดส์อย่าง ซิดนี่ย์ โอเวนส์ และนำมาซึ่งความยุ่งเหยิงในห้องแต่งตัว ก่อนที่ทัพยูงทองจะแพ้แบบหมดสภาพ
ความสัมพันธ์ของคลัฟกับนักเตะในทีมยังคงไม่ดีขึ้น เพราะในช่วงหลายเกมแรกเขาตัดสินใจดร็อปผู้เล่นตัวหลักชุดแชมป์ลีกหลายคนด้วยเหตุผลว่า “เล่นหนักเกินไป” ซึ่งมันทำให้ลีดส์กลายเป็นทีมที่อ่อนยวบยาบ จนในเกมถัดมาก็กลับมาเปิดบ้านแพ้ ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ไปแบบสุดช็อก 0-1
ลีดส์เปิดบ้านแก้ตัวได้ในเกมถัดมาด้วยการเอาชนะ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ 1-0 แต่สถานการณ์ของทีมก็ไม่ดีขึ้น นักเตะลีดส์หลายคนเห็นชัดเจนว่าผลงานในสนามตกลงอย่างน่าใจหายจนเหมือนกับเป็นคนละคนเลยทีเดียว
ในสายตาของแฟนบอลลีดส์ พวกเขามองว่าการเปลี่ยนแปลงระบบของคลัฟทำให้ผลงานของทีมตกลงอย่างไม่เป็นท่า ขณะที่ในสายตาของคนนอกเริ่มสงสัยว่านักเตะลีดส์ตั้งใจเล่นแบบไม่เต็มที่ เผื่อเขี่ยโค้ชที่พวกเขาเกลียดออกไปให้พ้นทางหรือไม่ ?
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ดูสมเหตุสมผลทั้งสองทาง เพราะคลัฟใช้นักเตะลีดส์ผิดที่ผิดทางไปหมด ขณะเดียวกันนักเตะลีดส์ก็สร้างความผิดพลาดบ่อยมากในสนาม จนไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาเพิ่งคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาลที่ผ่านมา
ผลงานของลีดส์ไม่ดีขึ้นพวกเขาบุกไปเสมอ ควีนส์พาร์ค 1-1 ก่อนบุกไปแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-2 และเมื่อกลับมาเล่นในบ้าน ลีดส์ทำได้แค่เสมอกับทีมน้องใหม่อย่าง ลูตัน ทาวน์ 1-1 ท่ามกลางเสียงโห่ที่ดังไปทั่วสนามเอลแลนด์โรด
ฟางเส้นสุดท้ายมาขาดลงในเกมรอบสองศึกลีกคัพ ระหว่างลีดส์ กับ ฮัดเดิลฟิลด์ ทาวน์ ที่จบลงด้วยสกอร์ 1-1 โดยเกมในสนามเห็นชัดเจนว่านักเตะฮัดเดิลฟิลด์เล่นแบบมีแพชชั่นมากกว่ามาก ตรงกันข้ามกับลีดส์ที่มีโอกาสปิดเกมหลังจากได้จุดโทษแต่ดันยิงไม่เข้าจนทำได้แค่เสมอในเกมนี้
ด้วยผลงานที่ย่ำแย่ บอร์ดบริหารเรียกประชุมถึงอนาคตของคลัฟในทันที พร้อมสอบถามไปยังนักเตะในทีมว่าพวกเขาคิดเห็นอย่างไรกับไบรอัน คลัฟ ซึ่งผลตอบรับที่ได้คือ “นักเตะทุกคนไม่มีความเชื่อใจในตัวของคลัฟอีกต่อไป”
ผลตอบรับชัดเจนขนาดนี้ บอร์ดบริหารจึงไม่ลังเลต่อไป พวกเขาตัดสินใจปลดไบรอัน คลัฟ ออกจากตำแหน่งในทันที ยุติการทำงานของโค้ชหนุ่มมากฝีมือรายนี้เอาไว้เพียง 44 วันเท่านั้น
แยกกันดีที่สุด
เรื่องราวของ ไบรอัน คลัฟ ถูกบอกเล่ามาตลอดในฐานะหนึ่งในมหกรรมเตะไล่โค้ชครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งไม่ว่าเรื่องราวที่แท้จริงในห้องแต่งตัวเป็นอย่างไร แฟนฟุตบอลส่วนใหญ่ก็เชื่อแบบนั้น
เรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถูกเรียบเรียงไว้ในหนังสือ The Damned Utd เมื่อปี 2006 ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังสือบอกเล่าเรื่องราวด้านกีฬาที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งตั้งแต่ที่เคยมีมา ภายหลังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Damned United ในปี 2009
แน่นอนว่าเมื่อเรื่องราวดังขึ้นอันเป็นผลมาจากทั้งหนังสือและภาพยนตร์ นักเตะลีดส์ในยุคนั้นหลายคนก็ออกมาปฏิเสธเป็นพัลวัน และยืนยันว่าพวกเขาไม่เคยทำการเตะไล่โค้ช แต่เป็นเพราะแทคติกของคลัฟที่ห่วยเองจนทำให้ทีมผลงานยํ่าแย่
อย่างไรก็ตามแฟนบอลส่วนใหญ่ที่ทันดูในยุคนั้นก็เชื่อว่านักเตะลีดส์ไม่เต็มใจที่จะเล่นภายใต้การคุมทีมของไบรอัน คลัฟ และถึงจะมีหลายคนปฏิเสธว่าไม่เคยเตะไล่โค้ช แต่พี่ใหญ่ของทีมอย่าง จอห์นนี่ ไกล์ส กลับยอมรับว่าเขาตั้งใจเตะไล่โค้ชจริง ๆ
“ตลอดเวลาทั้ง 44 วันของไบรอัน คลัฟ ที่ลีดส์มันมีแต่ความวุ่นวายเต็มไปหมด การที่เขาบอกดอน เรวี่ ว่า ‘สไตล์แบบนั้นคว้าแชมป์ลีกไม่ได้’ แม่งโคตรขยะ และเขาก็เป็นคนแบบนั้นแหละ”
“คลัฟมาอยู่ที่ลีดส์และใช้เวลาแค่ 44 วัน เขาทำมันพังไปตลอดกาล โดยเฉพาะการที่เขาบอกให้พวกเราทิ้งเหรียญลงถังขยะ คลัฟคือคนไร้ค่าชัด ๆ ผมยอมรับว่าผมต่อต้านเขา เขาไม่เข้ากับพวกเราเลยสักนิด” ไกล์ส กล่าว
สุดท้ายแล้วในระยะสั้นการปลดไบรอัน คลัฟ ออกจากตำแหน่งคือผลดีของลีดส์อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะสุดท้าย จิมมี่ อาร์มฟิลด์ กุนซือคนใหม่ พาทีมไปได้ไกลถึงตำแหน่งรองแชมป์ของฟุตบอลยูโรเปี้ยน คัพ (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปัจจุบัน) หลังปลดคลัฟออกจากตำแหน่งไม่ถึงปี
อย่างไรก็ตามในระยะยาว ลีดส์ ยูไนเต็ด ไม่สามารถกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกเลย หลังจากการเข้ามาของไบรอัน คลัฟ ชนิดที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเข้ามาของโค้ชรายนี้ทำลายยุคทองของทัพยูงทองไปตลอดกาล
ส่วน ไบรอัน คลัฟ หลังจากล้มเหลวกับลีดส์ ยูไนเต็ด เขากลับมาสร้างชื่ออีกครั้งกับ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ผ่านการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ สองสมัยติดต่อกันในปี 1979 และ 1980
สุดท้ายแล้วการจับคู่ระหว่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด กับ ไบรอัน คลัฟ คือสิ่งที่ผิดที่ผิดทาง และมันไม่ได้ส่งผลดีให้กับใครเลยจากการร่วมงานที่เกิดขึ้น จนสุดท้ายก็กลายเป็นการปะทะที่สร้างความบอบช้ำให้กับทั้งสองฝ่าย
เรื่องราวของ ลีดส์ ยูไนเต็ด กับ ไบรอัน คลัฟ คือบทเรียนที่ดีสำหรับทุกสโมสรฟุตบอลว่า ก่อนจะตั้งผู้จัดการทีมสักคนควรจะหาคนที่เหมาะกับงานและเข้ากับตัวตนของสโมสรได้ ไม่อย่างนั้นการเตะไล่โค้ชจะสามารถเกิดขึ้นได้ เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลีดส์ ยูไนเต็ด ในปี 1974