sportpooltoday

บทสรุปที่ไม่มีข้อสรุป : อะไรคือสิ่งที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ต้องการในซัมเมอร์นี้ ?


บทสรุปที่ไม่มีข้อสรุป : อะไรคือสิ่งที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ต้องการในซัมเมอร์นี้ ?

2 เดือนแล้วที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ออกลูกงอแงอยากจะย้ายออกจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขามีข่าวกับสโมสรต่าง ๆ ไม่เว้นแต่ละวัน ทว่า ณ ตอนนี้ไม่มีสโมสรไหนใกล้เคียงกับการคว้าตัวเขาเลยแม้แต่สโมสรเดียว

ทั้ง ๆ ที่ก่อนปิดซีซั่นเขายืนยันดิบดีว่าพร้อมจะสู้ต่อกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลที่จะมาถึง เหตุไฉนเหตุการณ์จึงกลับตาลปัตร เจ้าตัวยังไม่กลับไปที่แคมป์ฝึกซ้อม และ เอริค เทน ฮาก เฮดโค้ชของทีมก็เริ่มมูฟออนด้วยทีมที่ไม่มีเขาแล้ว ?

เกิดอะไรขึ้นกับ โรนัลโด้ เขาต้องการอะไรต่อไป และทางเลือกที่เขามีตอบโจทย์กับสิ่งที่เขาอยากได้หรือไม่ ? ติดตามได้ที่ Main Stand

ไทม์ไลน์ที่พลิกผัน 

โรนัลโด้ ไม่เคยพูดเองสักคำว่าเขาต้องการอะไร แต่ท่าทีต่าง ๆ ที่เขาแสดงออกมาในช่วงซัมเมอร์นี้มันค่อนข้างชัดเจนมากว่าเขาไม่ต้องการอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกต่อไป 

หากเอากระแสข่าวของ โรนัลโด้ ตั้งแต่ช่วงปิดฤดูกาล 2021-22 มาเรียงกัน ไทม์ไลน์ของโรนัลโด้จะเป็นดังนี้ 

1. ในวันที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่งตั้ง เอริค เทน ฮาก กุนซือของ อาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม เข้ามาเป็นเฮดโค้ชใหม่ของสโมสร โรนัลโด้ มีท่าทียินดีมากจนถึงขั้นออกมาให้สัมภาษณ์เองว่าเขานั้นตื่นเต้นกับสิ่งที่ เทน ฮาก ทำตอนที่อยู่ลีกดัตช์ และตั้งเป้าว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ในยุค เทน ฮาก จะสามารถคว้าแชมป์รายการใดรายการหนึ่งได้

 

2. วันที่ 17 มิถุนายน กระแสของข่าวก็เปลี่ยนไป เมื่อสื่ออิตาลีอย่าง “ลา รีพับบลิก้า” รายงานข่าวลือว่า โรนัลโด้ เริ่มรู้ตัวแล้วว่าทุกอย่างภายในสโมสรกำลังเปลี่ยนแปลงภายใต้การกุมบังเหียนของกุนซือเลือดดัตช์ และเขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์ของ เอริค เทน ฮาก ที่ต้องการสร้างทัพผีแดงเพื่อคืนสู่ความยิ่งใหญ่ 

3. ข่าวจาก ลา รีพับลิก้า ยังไม่ได้ทำให้หลายคนเชื่อเพราะทั้ง โรนัลโด้ และ เทน ฮาก ก็ต่างออกมายืนยันแล้วว่าแต่ละคนมีแผนการร่วมกัน … ทว่าหลังจากเข้าสู่ช่วงปลายเดือนมิถุนายน ข่าวลือเกี่ยวกับ โรนัลโด้ ว่าเจ้าตัวอยากจะย้ายออกจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เริ่มหนาหูขึ้น จนกระทั่งวันที่ เทน ฮาก เรียกตัวนักเตะของทีมกลับมารวมตัวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับช่วงพรีซีซั่น โรนัลโด้ เป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่ไม่มารายงานตัวโดยให้เหตุผลว่า “มีปัญหาเรื่องครอบครัว”

4. ปัจจุบัน แมนฯ ยูไนเต็ด ลงแข่งขันเกมพรีซีซั่นไปแล้ว 3 เกม โรนัลโด้ ยังคงไม่เคลื่อนไหวเกี่ยวกับอนาคตของเขา เช่นเดียวกับบนโซเชียลมีเดียที่แทบไม่ได้โพสต์อะไรเกี่ยวกับฟุตบอลเลย ขณะที่คนที่เกี่ยวข้องกับข่าวนี้ก็ยังอธิบายไม่ได้ว่าเพราะอะไร แม้ เอริค เทน ฮาก จะให้สัมภาษณ์ยืนยันหลังเกมที่ทีมเอาชนะ คริสตัล พาเลซ 3-1 ว่า “โรนัลโด้อยู่ในแผนการทำทีม” แต่ข่าวลือที่คู่ขนานกันคือ “โรนัลโด้ ส่ง ฮอร์เก้ เมนเดส เอเยนต์ของเขาเดินทางไปเจรจากับสโมสรใหญ่ ๆ ในยุโรปหลายแห่งเพื่อหาทางย้ายทีมในซีซั่นนี้” 

จากไทม์ไลน์ที่กล่าวมาค่อนข้างชัดเจนว่า ณ ตอนนี้ โรนัลโด้ ยังคงมีความตั้งใจที่จะย้ายทีมในซัมเมอร์นี้ แต่ปัญหาคือหากนับจากวันที่ข่าวลือเกี่ยวกับการที่เขาส่งเอเยนต์ไปเจรจากับทีมต่าง ๆ จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาแล้วเกือบ 2 เดือน แต่ก็ยังไม่มีใครตอบได้เต็มปากสักคนว่า โรนัลโด้ จะไปอยู่ทีมไหน และทำไมเขาจึงเปลี่ยนใจง่ายดายนัก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกเองว่าเขาจะอยู่กับทีมต่อไปในยุคของ เทน ฮาก … อะไรที่คือปัจจัยที่ทำให้ โรนัลโด้ เปลี่ยนไป และเขาต้องการอะไรกันแน่ ?

เหตุผลที่เปลี่ยนใจ 

เรื่องจริงเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ เพราะอย่างที่ได้กล่าวไป โรนัลโด้ ไม่เคยพูดเรื่องอนาคตของเขาด้วยตัวเองเลยนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา ดังนั้นเราต้องใช้การวิเคราะห์จากสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้างว่ามันมีปัจจัยใดที่เกี่ยวข้องกับการ “ไปต่อไม่ได้” ของ โรนัลโด้ บ้าง 

ประการแรกเลยที่ โรนัลโด้ เคยบอกว่าจะอยู่ต่อและตื่นเต้นกับการทำงานของ เทน ฮาก ณ เวลานั้นคือช่วงที่มีการเปิดตัวว่า เทน ฮาก จะเป็นเฮดโค้ชคนใหม่ของทีมเท่านั้น ว่าง่าย ๆ ก็คือการเปิดตัวต่อหน้าสื่อแต่ยังไมได้ลงมาทำงานภาคปฏิบัติกับนักเตะในทีมปีศาจแดงแบบลงรายละเอียดจริง ๆ จัง ๆ

ซึ่ง โรนัลโด้ จะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิดอะไรนัก เพราะนักเตะทุกคนในทีมก็ออกมาให้สัมภาษณ์แบบเดียวกันเกือบทั้งนั้นคือ “ตื่นเต้นที่จะได้ทำงานร่วมกับโค้ชคนใหม่” มันคือหนึ่งในมารยาทที่ควรทำเมื่อเราเปลี่ยนเจ้านายใหม่กันทั้งนั้น ซึ่งหลังจากที่ เทน ฮาก เข้ามากุมบังเหียนและรับอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ หลายสิ่งหลายอย่างก็เปลี่ยนไปไม่ใช่แค่เรื่องของ โรนัลโด้ เท่านั้น

 

การเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นเมื่อ เทน ฮาก เริ่มงาน ราล์ฟ รังนิก อดีตกุนซือที่เตรียมขึ้นไปเป็นที่ปรึกษาสโมสร โดนบีบให้ออกจากตำแหน่ง โดยสื่ออย่าง ESPN ได้เผยข้อมูลที่ได้จากแหล่งข่าวที่พวกเขาอ้างว่าเป็น “วงใน” ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ตัดสินใจยุติการทำงานร่วมกับ รังนิก หลังจากไปพูดคุยหารือกับ เทน ฮาก ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ทาง รังนิก ไม่ค่อยพอใจนัก เนื่องจากเขายังไม่เคยได้พบกับ เทน ฮาก เลยแม้แต่ครั้งเดียวก่อนจะต้องแยกทางกับทีม

เหตุผลหลัก ๆ คือ รังนิก คาดหวังว่าอยากพบปะพูดคุยกับ เทน ฮาก แบบตัวต่อตัว เพื่อปรึกษาหารือเรื่องการทำงานร่วมกันอย่างละเอียด แต่ทาง เทน ฮาก กลับเลือกที่จะคุยกันผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น

นอกจากนี้ แหล่งข่าวดังกล่าว ยังบอกกับ ESPN ต่อด้วยว่าบอร์ดบริหารของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่พอใจอย่างมากกับการที่ รังนิก มักจะเอาเรื่องไม่ดีภายในสโมสรมาเผยแพร่สู่สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เคยบอกให้ต้องซื้อนักเตะใหม่ถึง 10 คนในช่วงซัมเมอร์นี้ ซึ่งทำให้ก่อนจะแยกทางกันนั้น ปีศาจแดงต้องเจรจาขอให้ทาง รังนิก เซ็นรับทราบข้อตกลงว่าไม่จะพูดถึงสโมสรในทางลบอีกด้วย

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร การคุยกันระหว่าง เทน ฮาก กับ รังนิก เกิดขึ้นแล้วผ่านการยกหูโทรศัพท์ และเมื่อพวกเขาคุยกันก็ได้ข้อสรุปว่าพวกเขาทำงานด้วยกันไม่ได้ … ไม่รู้ว่าใครถูกหรือผิด แต่นี่คือพื้นฐานของมืออาชีพ เมื่อไม่สามารถยอมรับหน้าที่ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบได้ก็ไม่รู้จะอยู่ในตำแหน่งนี้ไปเพื่ออะไร สุดท้าย รังนิก ก็ลาออกไปคุมทีมชาติออสเตรีย จากนั้น เทน ฮาก ก็เป็นผู้มีสิทธิ์ในการตัดสินใจซื้อ-ขาย นักเตะในทีมอย่างเต็มที่

 

เหตุการณ์ดังกล่าวบอกอะไรเราได้บ้าง ? … หนึ่งในคำตอบที่ได้คือ เทน ฮาก เป็นคนชัดเจนในการทำงานในแบบของตัวเอง เชื่อมั่นในแนวคิดของตัวเอง และไม่ยอมให้ใครมีอภิสิทธิ์เหนือกว่า เพราะหน้าที่เฮดโค้ชคือคนที่ต้องรับผิดชอบผลงานของทีมมากที่สุด เมื่อเขาและ รังนิก มีมุมมองหรือแนวทางไม่ตรงกันก็เลือกที่จะทำให้เรื่องนี้มีตอนจบแบบ “เจ็บแต่จบ” ไม่มีปัญหาค้างคา มากกว่าการรักษาน้ำใจกันและกระทบต่อหน้าที่และการทำงานของพวกเขา 

หากเราเอาเรื่องนี้มาอิงกับสถานการณ์ที่ทำให้ โรนัลโด้ เปลี่ยนใจ “จากจะอยู่เป็นจะไป” จะเห็นได้ว่า โรนัลโด้ เองก็ทำในสิ่งที่คล้าย ๆ กับ รังนิก ทำเหมือนกัน นั่นคือเขาได้รับสิทธิ์พิเศษแบบที่นักเตะคนอื่น ๆ ในทีมไม่ได้รับ โรนัลโด้ ออกอาการหัวเสียและให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อในด้านลบเกี่ยวกับทีมมาอยู่เนือง ๆ หลังจากผลงานของสโมสรไม่เป็นใจในซีซั่นที่แล้ว เช่นการออกมาตำหนินักเตะดาวรุ่งในทีมว่าทำตัวเป็นพวกน้ำเต็มแก้ว ไม่ยอมฟังสิ่งที่เขาแนะนำ ซึ่งหลังจากที่ โรนัลโด้ ให้สัมภาษณ์แบบนั้นออกไปก็เริ่มมีข่าวลือว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มีการแบ่งแยกกันในห้องแต่งตัว และมีนักเตะหลายคนไม่พอใจกับสิ่งที่ โรนัลโด้ ทำ 

ข้อที่ 2 ในครึ่งฤดูกาลหลังที่ รังนิก เข้ามาทำงาน โรนัลโด้ เป็นหนึ่งในนักเตะที่มีข่าวด้านลบไม่น้อยกว่าใคร แม้เขาจะเป็นดาวซัลโวของทีมแต่ในช่วงเดือนมีนาคมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ลงสนามและเสมอกับ เลสเตอร์ 1-1 และเกมที่แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ เอติฮัด สเตเดียม 1-4 นั้นอยู่ดี ๆ โรนัลโด้ ก็ไม่มีชื่อในทีม ซึ่งสื่อหลายเจ้าก็นำเสนอข่าวว่า “โรนัลโด้หนีกลับโปรตุเกสไปแล้ว” ร้อนถึง รังนิก ต้องออกมาแก้ข่าวว่า โรนัลโด้ มีปัญหาบาดเจ็บที่สะโพกจึงอนุญาตให้บินกลับไปรักษาตัวที่โปรตุเกส 

แต่แล้วสื่อที่แม่นเรื่อง “ข่าวคาว” อย่าง เดอะ ซัน ก็ออกมาเปิดเผยภาพที่ขัดกับเหตุผลของรังนิก พวกเขาเปิดเผยภาพที่มีแฟนบอลรายหนึ่งพบกับดาวยิงตัวเก่งที่หน้าสนามซ้อมแคร์ริงตัน ก่อนได้รับแจกลายเซ็นจากแข้งดัง พร้อมทั้งยืนยันว่ามันเป็นช่วงเวลา 12.15 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนเกมกับ เลสเตอร์ ไม่ถึง 24 ชั่วโมง

 

เมื่อมีมูลสื่อและนักวิจารณ์ก็เริ่มวิเคราะห์เรื่องนี้ต่อไป และหนึ่งในเหตุผลที่ดูเป็นไปได้ก็คือสิ่งที่ โรนัลโด้ ทำเกิดจากเหตุที่ รังนิก มักดรอป โรนัลโด้ เป็นตัวสำรอง และชอบเปลี่ยนตัวเขาออก 

เรื่องดังกล่าวมีโอกาสเป็นจริง เพราะเรื่องการไม่ได้ลงเล่นและมักโดนเปลี่ยนตัวออกในช่วงที่ตัวเองอยากเล่นถือเป็นเรื่องที่ โรนัลโด้ เองมีปัญหามาตั้งแต่ตอนที่เล่นให้กับ เรอัล มาดริด และ ยูเวนตุส แล้ว เพียงแต่ว่ากุนซือแต่ละคนก็ต้องมีวิธีรับมือที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็ทำให้ โรนัลโด้ ใจเย็นและเข้าใจได้เช่น ซีเนดีน ซีดาน ที่เปลี่ยน โรนัลโด้ ออกบ่อย ๆ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้มีความบาดหมางหรืออกมาพูดจาเชิงลบถึงกันเลยตลอดการร่วมงานกันกว่า 4 ปี … แต่ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด บารมีของโค้ชอย่าง รังนิก ที่แทบไม่มีประสบการณ์กับทีมระดับท็อป บวกกับผลงานการคุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ที่จับต้องไม่ได้ อาจไม่แปลกนักที่ โรนัลโด้ อาจจะมีการแคลงใจและไม่เชื่อมั่นในตัวโค้ชอย่าง รังนิก เต็ม 100% 

ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบันที่ เทน ฮาก เริ่มงานคุม แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างเต็มตัว มีการรายงานข่าวถึงกฎต่าง ๆ ที่เขาวางไว้เพื่อให้นักเตะในทีมปฏิบัติตามมากมายหลายข้อ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องระเบียบวินัยและการปฏิบัติตัวทั้งในและนอกสนาม และเมื่อเวลาผ่านไปเราก็ได้เห็นวิธีการทำงานของเขามากขึ้นการเรียกร้องสิ่งต่าง ๆ จากนักเตะมากมายเพื่อยกระดับการเล่นของทีมอย่างวิธีการเล่นเพรสซิ่ง และการยึดมั่นในแนวทางของตัวเองที่ทุกคนต้องเคารพการตัดสินใจของเขา ซึ่งจุดนี้อาจจะเป็นเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้ท่าทีของ โรนัลโด้ เปลี่ยนไป 

มีกฎที่ เทน ฮาก ตั้งขึ้นมาหลาย ๆ ข้อที่ค่อนข้างจะขัดกับสิ่งที่ โรนัลโด้ ทำ เช่นกฎข้อที่บอกว่า “นักเตะทุกคนต้องกินอาหารที่เชฟของสโมสรจัดให้แทนการใช้เชฟส่วนตัวแบบที่เคยทำกันมา” ซึ่ง โรนัลโด้ ก็ขึ้นชื่อเรื่องอาหารการกิน และหลายคนก็รู้ว่าเขามีเชฟส่วนตัวคอยจัดการอาหารในแต่ละมื้อมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว 

จริงอยู่ที่เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ยังมีกฎข้ออื่น ๆ อีกที่ดูแล้วทั้งสองคนต้องคุยกันอย่างละเอียด นั่นคือเรื่องการเลือก 11 ตัวจริงลงสนามที่ เทน ฮาก ยืนยันว่ายุคของเขา “ไม่มีระบบซูเปอร์สตาร์” ทุกคนมีโอกาสลงสนามและนั่งบนม้านั่งสำรองโดยไม่เกี่ยวกับชื่อเสียงและค่าเหนื่อย ซึ่งอย่างที่เรารู้กัน โรนัลโด้ เป็นนักเตะประเภทที่มีความกระหายเต็มเปี่ยม เขาอยากจะลงเล่นทุกนัดตราบใดที่ร่างกายของเขาไม่ได้เจ็บไม่ได้ป่วย 

แม้ โรนัลโด้ จะอยู่ในวัย 37 ปีแล้ว แต่ความกระหายมุ่งมั่นของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีใครสงสัยเรื่องความเป็นมืออาชีพของเขาแน่นอนเพราะเป็นสิ่งที่เขาปฏิบัติมาตลอดและเป็นจุดขายของเขามาตลอดอาชีพค้าแข้ง แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคของ เทน ฮาก นั้นมีวิธีการเล่นแบบไม่มีสตาร์ ทุกคนต้องทำงานหนัก วิ่งขึ้นวิ่งลงตลอดทั้งเกม และต้องเล่นกันแบบเป็นทีมให้มากที่สุด 

ต่อให้ โรนัลโด้ มีความกระหายแค่ไหนแต่สังขารคือสิ่งที่โกหกกันไม่ได้ เขาไม่สามารถลงเล่นทั้งฤดูกาลโดยไม่พักได้อีกแล้ว ยิ่งต้องมาเจอกับวิธีการเล่นที่ต้องวิ่งเยอะตลอดฤดูกาลอันยาวนานถึง 9 เดือน โรนัลโด้ ก็ต้องรับความจริงกับสถานะในทีมของเขาให้ได้ บางเกมเขาอาจจะไม่ได้ลง บางนัดเขาอาจจะต้องโดนเปลี่ยนตัวออก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม … ซึ่งข้อนี้เป็นปัญหาที่ โรนัลโด้ มีมาตลอด 

และท้ายที่สุดคือความทะเยอทะยานของ โรนัลโด้ ที่ยังคงชัดเจนอยู่เสมอ เขาแค่อยากจะลงเล่นในระดับสูง ในรายการที่ใหญ่ที่สุดอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งเรื่องนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่สามารถให้กับเขาได้ในซีซั่นนี้ (หากอยู่กับทีมต่อเขาจะได้เล่นถ้วยรองอย่าง ยูโรปาลีก เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี) และหากจะมองไปที่การเสริมทัพเพื่อยกระดับทีมก็มีข่าวว่า โรนัลโด้ เองก็ไม่พอใจนักที่สโมสรไม่ตื่นตัวที่จะปรับปรุงเสริมศักยภาพของทีมด้วยการเสริมนักเตะใหม่ 

ซึ่งข้อนี้ก็สวนทางกับแนวคิดของ เทน ฮาก ที่ออกมายืนยันชัดเจนว่าเขาจะไม่ซื้อตัวเพียงเพราะเหตุผลที่ว่า “ต้องซื้อ” แต่การซื้อตัวนักเตะใหม่จะต้องเป็นไปอย่างละเอียดผ่านการวิเคราะห์ว่าเหมาะกับรูปแบบการเล่นของทีมหรือไม่ เป็นคนที่ลงล็อก และจะไม่สร้างปัญหาในห้องแต่งตัว ถ้าไม่ได้ตามสเปคที่เขาต้องการเขาพร้อมที่จะใช้นักเตะในทีมเท่าที่มีไปก่อน แทนที่จะมีการซื้อแบบ “แพนิกบาย” แบบที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มักจะทำบ่อย ๆ ในระยะหลัง 

ความชัดเจนของ เทน ฮาก นั้นชัดขึ้นเรื่อย ๆ แตกต่างจากฝั่ง โรนัลโด้ ที่ไม่เคยออกมาพูดเรื่องอนาคตของตัวเอง ทุกสิ่งที่ เทน ฮาก พูดมักจะออกมาในเชิงที่ว่า “สโมสรรอใครเพียงคนเดียวไม่ได้” 

“ผมจะโฟกัสไปกับนักเตะที่อยู่กับทีมที่นี่ พวกเขาทุกคนกำลังไปได้สวย พวกเขาอยู่ในสภาพที่ดีมาก ผมอยากเจาะจงลงรายละเอียดและพัฒนาในเรื่องนี้มากกว่า ผมไม่สามารถรอให้เขา (โรนัลโด้) เข้ามาร่วมทีมได้ เมื่อถึงตอนนั้นเราถึงค่อยนับรวมเขาอีกที” เทน ฮาก ให้สัมภาษณ์ไปสดร้อน ๆ เมื่อเช้าวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา 

จากคำกล่าวของ เทน ฮาก แสดงให้เห็นว่าสโมสรพร้อมจะมูฟออนต่อสถานการณ์ของ โรนัลโด้ แล้ว เรื่องมันขึ้นอยู่กับว่าตัวนักเตะจะตัดสินใจอย่างไร ถ้าจะอยู่ต่อก็ต้องยอมรับกับระบบใหม่ที่เขาอาจจะต้องยอมเสียสิทธิ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยได้ไปบ้าง และถ้าเขายังยืนกรานว่าไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของทีมอีกต่อไปก็ไม่ใช่ปัญหา … ตลาดซื้อขายยังเปิดถึงวันที่ 1 กันยายน และตอนนี้มันขึ้นอยู่กับเขาแล้ว

บทสรุปที่ไร้บทสรุป 

มันแน่ชัดว่าตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังรอการตัดสินใจของ โรนัลโด้ ว่าจะเอาอย่างไรก็ว่ามาตรง ๆ ซึ่งทิศทางก็เอียงไปทางการย้ายออก ทว่าเรื่องมันไม่ได้จบง่ายเหมือนกับการขอขึ้นบัญชีขายแล้วย้ายไปทีมใหม่เหมือนในเกม FM เพราะ โรนัลโด้ เองเป็นนักเตะที่อยู่ในข่าย “ตัวท็อปของโลก” มีวินัยนอกสนาม มีผลงานในสนามไม่มีตกหากได้โอกาส … แต่ทีมไหนที่ต้องการเขาก็ต้องยอมรับในข้อจำกัดของเขาบางอย่างเช่นกัน 

สื่อหลายเจ้ารายงานว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา โรนัลโด้ ส่ง เมนเดส ไปเจรจากับ บาเยิร์น มิวนิค, เชลซี และ แอตเลติโก มาดริด ซึ่ง 2 สโมสรแรกก็ไม่สามารถรับข้อเรียกร้องของ โรนัลโด้ ได้ ฝั่ง บาเยิร์น ที่ให้การโดย โอลิเวอร์ คาห์น ซีอีโอของทีมและ ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ เฮดโค้ชของทีมก็ออกมายอมรับว่า โรนัลโด้ ไม่ตรงกับปรัชญาการทำทีมของฝั่งเสือใต้ และปฏิเสธเรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ผมรักโรนัลโด้ เขาเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมมาก ทว่าแต่ละสโมสรก็มีแนวทางของตัวเอง ผมไม่แน่ใจว่าหากเราได้ โรนัลโด้ มาร่วมทีม มันจะเป็นเรื่องดีสำหรับ บาเยิร์น และ บุนเดสลีกา หรือไม่ ? … การเสริมทัพลักษณะนี้ขัดกับไอเดียของเราอย่างแน่นอน” คาห์น กล่าว 

ขณะที่ข่าวคราวกับ เชลซี นั้นก็จบลงในทิศทางเดียวกัน โดยมีการกล่าวอ้างว่า โทมัส ทูเคิล กุนซือของทีม มีแนวทางของตัวเองและเริ่มเซ็ตระบบทีมสำหรับฤดูกาลใหม่ไว้แล้ว เขาเชื่อว่า โรนัลโด้ จะขัดกับสิ่งที่เขาตระเตรียมไว้ 

ณ เวลานี้เรื่องราวของ โรนัลโด้ มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผิดที่ผิดทางไปเสียหน่อย เขาเป็นนักเตะวัย 38 ปีที่มีค่าเหนื่อยมากกว่า 500,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ด้วยวัยและเงินจำนวนขนาดนี้คงมีไม่กี่ทีมบนโลกที่พร้อมจะจ้าย แต่ทุกทีมที่มีกำลังจ่ายทั้ง เปแอสเช, บาเยิร์น, เชลซี หรือแม้กระทั่งทีมเก่าของเขาอย่าง เรอัล มาดริด ต่างก็ปฏิเสธการรับ โรนัลโด้ มาเป็นสมาชิกใหม่ทั้งหมด 

ปัจจุบันเหลือเพียง แอตเลติโก มาดริด เท่านั้นที่มีข่าวกับ โรนัลโด้ และมีข่าวว่าเจ้าตัวพยายามจะทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้นด้วยการลดเงินเดือนของตัวเองลงมา 30% เพื่อให้ แอตฯ มาดริด ที่ปล่อยตัว หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าตัวเป้าออกจากทีมในซัมเมอร์นี้สามารถจ้างเขาไหว … ซึ่งในส่วนนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าไปมากกว่าการเป็นข่าวลือเท่านั้น 

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าทีมฟุตบอลสมัยใหม่ไม่สามารถรอใครเพียงคนเดียวได้อีกแล้ว ตอนนี้ทุกทีมอยู่ในสถานะเกือบพร้อมสำหรับฤดูกาลใหม่กันแล้วทั้งสิ้น และการซื้อ โรนัลโด้ ที่ต้องจ่ายทั้งค่าเหนื่อย ค่าตัว และยอมรับข้อเรียกร้องของเขาจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีทีมไหนกล้าเสี่ยง … และถ้าไม่มีสโมสรไหนต้องการเขาจริง ๆ โรนัลโด้ จะต้องรับผิดชอบต่อสัญญาที่เขาเซ็นไว้เมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว เขาจะอยู่ในสถานะนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อไป และต้องเริ่มทำงานหนักร่วมกับทีมอีกครั้งเมื่อฤดูกาลเริ่มขึ้น 

ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ แต่ โรนัลโด้ คือสุดยอดของมืออาชีพคนหนึ่งในวงการ และ เอริค เทน ฮาก ต้อนรับเขาเสมอ … อยู่ที่ว่าเขาพร้อมที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่กับสโมสรอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือไม่เท่านั้นเอง