sportpooltoday

สามัคคีคือพลัง : เปิดปัจจัยความสำเร็จ “ฝรั่งเศส” ครองแชมป์ฟุตบอลโลก 2018


สามัคคีคือพลัง : เปิดปัจจัยความสำเร็จ "ฝรั่งเศส" ครองแชมป์ฟุตบอลโลก 2018

นับจากความสำเร็จเมื่อปี 1998 กับการคว้าแชมป์อย่างยิ่งใหญ่บนแผ่นดินเกิด ทีมชาติฝรั่งเศสมักทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังอยู่บ่อยครั้งบนเวทีฟุตบอลโลก สวนทางกับความคาดหวังของแฟนบอล เมื่อมองไปยังทีมที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์

ท่ามกลางเรื่องราวดราม่ามากมายที่เกิดขึ้น ในที่สุด ทีมชาติฝรั่งเศสก็กลับมารวมใจเป็นหนึ่งได้อีกครั้ง และเดินทางสู่ฟุตบอลโลก 2018 โดยปราศจากปัญหาทีมแตกและความพ่ายแพ้อย่างไม่น่าอภัย ก่อนก้าวไปคว้าตำแหน่งแชมป์โลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ความสามัคคี แทคติกที่สอดคล้องกับนักเตะ และจิตวิญญาณของผู้ชนะ ทั้งหมดคือปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้ทัพตราไก่สามารถคว้าแชมป์โลกสมัยที่สองของตัวเองได้สำเร็จ

ติดตามเรื่องราวกว่าจะถึงดาวดวงที่สองของ เลอ เบลอส์ ได้ที่ Main Stand

ความสามัคคีต้องกลับคืนมา

ปัญหาแรกที่ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ ต้องเข้ามาแก้ไขหลังรับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติฝรั่งเศสเมื่อปี 2012 คือ “ความไม่สามัคคีของนักเตะ” หลังย้อนกลับไปสองปีก่อนหน้านั้น ทัพตราไก่ได้ร่วงหล่นถึงจุดต่ำสุดนับตั้งแต่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1998 เพราะพวกเขาไม่เพียงแต่จะตกรอบแรกของการแข่งขัน แต่ยังสร้างข่าวฉาวน่าอับอายไม่เว้นแต่ละวัน

1ทีมชาติฝรั่งเศสในศึกฟุตบอลโลก 2010 คือหายนะ นักเตะหลายคนถูกตัดออกจากสารบบเพราะทะเลาะกับผู้จัดการทีม ไม่ว่าจะเป็น ฟลอร็องต์ มาลูด้า ที่โดนดร็อปกลางทัวร์นาเมนต์ แม้จะเป็นนักเตะเพียงคนเดียวของทีมที่ทำประตูได้เนื่องจากทะเลาะกับ เรย์มงด์ โดเมเน็ค กุนซือจอมเพี้ยนของทัพตราไก่

ยิ่งไปกว่านั้น นิโกลาส์ อเนลก้า กองหน้าความหวังในการทำประตูของพวกเขาก็โดนเนรเทศออกจากทีมกลางทัวร์นาเมนต์โดยสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส เนื่องจากอเนลก้าเลือกใช้คำด่าอย่างหยาบคายใส่โดเมเน็คและปฏิเสธที่จะกล่าวคำขอโทษ ซึ่งนับจากวันนั้น อเนลก้าก็ไม่เคยกลับมาติดทีมชาติฝรั่งเศสอีกเลย

ส่วนนักเตะคนอื่นที่ไม่ถูกตัดออกจากทีมก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีปัญหา ปาทริซ เอฟร่า แบ็กซ้ายตัวเก่งก็เกือบจะวางมวยในสนามซ้อมกับโค้ชฟิตเนส แถมนักเตะยังเคยรวมตัวกันไม่ลงจากรถบัสเพื่อประท้วงการทำงานของโค้ชโดเมเน็ค ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมทีมชาติฝรั่งเศสชุดนี้จะกลายเป็นรอยด่างพร้อยครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอลฝรั่งเศส และหลังจากนั้น โดเมเน็คได้พ้นจากตำแหน่งไป เหลือไว้เพียงทีมแตกร้าวที่รอให้ใครสักคนสร้างมันขึ้นมาใหม่

2หนึ่งในวีรบุรุษชุดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1998 อย่าง โลร็องต์ บล็องก์ ถูกเลือกเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ และเลือกจะใช้ไม้แข็งด้วยการไม่เลือกนักเตะทั้ง 23 คนที่ไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2010 เข้ามาติดทีมชาติในเกมแรกที่เขาคุมทีมชาติฝรั่งเศส แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าบล็องก์จะเป็นโค้ชที่ดีกว่าโดเมเน็คสักเท่าไหร่

มีรายงานว่า บล็องก์เคยแสดงความเห็นที่ออกไปในทางเหยียดสีผิว หลังเจ้าตัวเข้าพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสเพื่อระบายความอัดอั้นที่สโมสรฟุตบอลฝรั่งเศสเอาแต่สร้างนักเตะที่มีแต่ความแข็งแกร่งและความเร็วแต่ปราศจากเทคนิคและความเฉลียวฉลาด ซึ่งถ้าแปลง่ายๆคือ บล็องก์กำลังด่าว่า ทำไมฝรั่งเศสถึงผลิตแต่นักเตะผิวดำที่มีสมรรถภาพร่างกาย แต่ไม่ฉลาดในแบบที่เขาต้องการ

คำพูดของบล็องก์สร้างความไม่พอใจแก่ผู้คนมากมายในฝรั่งเศส เพราะคำพูดของเขาไปเข้าทางกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาจัดที่มีแนวคิดต่อต้านผู้อพยพและเหยียดสีผิว ซึ่งยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศฝรั่งเศสมาถึงปัจจุบัน คำพูดในลักษณะที่ยุยงให้เกิดการแบ่งแยกในสังคมเช่นนี้จึงถูกมองว่าไม่สมควรออกจากปากของผู้จัดการทีมชาติฝรั่งเศส

3หลังจากทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังในยูโร 2012 บล็องก์จึงถูกปลดออกจากตำแหน่งอย่างรวดเร็ว และแทนที่ด้วย เดส์ชองส์ กัปตันทีมชุดแชมป์โลกปี 1998 ผู้มองเห็นความสำคัญของความสามัคคีและการหลอมรวมทางวัฒนธรรมทีม เพราะทัพตราไก่ชุดประวัติศาสตร์เคยถูกขนานนามว่า “แบล็ก-บล็องก์-เบอร์” (Black-Blanc-Beur) ที่แปลว่า คนผิวดำ-คนผิวขาว-คนอาหรับ เนื่องจากทีมชาติฝรั่งเศสชุดนั้นผสมผสานตัวหลักจากสามเชื้อชาติ ยกตัวอย่างคือ ตูราม (คนผิวดำ)-เดส์ชองส์ (คนผิวขาว)-ซีดาน (คนอาหรับจากเชื้อสายแอลจีเรีย) ตามลำดับ

นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เดส์ชองส์คำนึงเรื่องความสามัคคีของทีมเป็นสำคัญ เขาเลือกจะไม่ใช้บริการของ คาริม เบนเซม่า กองหน้าแห่ง เรอัล มาดริด นับตั้งแต่ยูโร 2016 หลังเจ้าตัวมีปัญหาเรื่องแบล็กเมลนักเตะร่วมชาติอย่าง มาติเยอ วัลบูเอน่า และยังคงตัดเขาออกจากทีมชุดฟุตบอลโลก 2018 (ก่อนจะกลับมาติดทีมชาติอีกครั้งในชุดยูโร 2020)

ส่วนกองหน้าชาวฝรั่งเศสที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก ทั้ง อเล็กซองดร์ ลากาแซตต์ และ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ไม่เคยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในแผนการทำทีมของเขา เนื่องจากเดส์ชองส์เชื่อว่าการเลือกนักเตะที่ค้าแข้งอยู่ในต่างประเทศเข้ามามากเกินไปจะทำลายความสามัคคีทั้งในและนอกสนามภายในทีม ทัพตราไก่ในฟุตบอลโลก 2018 จึงมีนักเตะที่เล่นอยู่ในลีกฝรั่งเศสมากถึง 9 คน ส่วนนักเตะที่เล่นในอังกฤษถูกเรียกติดเพียง 5 คน

4ทีมชาติฝรั่งเศสของเดส์ชองส์จึงไม่ใช่นักเตะ 23 คนที่ดีที่สุด แต่เป็นนักเตะ 23 คนที่จะไม่สร้างปัญหาให้กับทีมกลางทัวร์นาเมนต์ ซึ่งการตัดชื่อ อาเดรียน ราบิโอต์ กองกลางของ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง แบบช็อกแฟนบอล ก่อนเจ้าตัวจะออกมาโอดครวญไม่หยุด ก็น่าจะแสดงให้เห็นแล้วว่า ประสบการณ์ของเดส์ชองส์ช่วยให้เขามองเห็นอย่างชัดเจนถึงนักเตะที่มีโอกาสจะสร้างปัญหาให้กับทีม

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการเลือกนักเตะโดยเน้นความสามัคคีเป็นหลักคือ ทีมชาติฝรั่งเศสกลายเป็นทีมที่มีบรรยากาศไม่ต่างจากสโมสรหนึ่งที่เดินทางมาแข่งขันฟุตบอลโลก นักเตะมีความสนิทสนมเข้าใจกันดี และทุกคนต่างลงเล่นเพื่อทีมของตนจริงๆ ไม่มีการขัดขาหรือทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง นี่จึงเป็นเหตุผลให้ทีมชาติฝรั่งเศสของเดส์ชองส์กลายเป็นเต็งแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ตั้งแต่ต้น

เลือกนักเตะให้เข้ากับแทคติก

ความสามารถในการสร้างทีมที่ลงเล่นด้วยความสามัคคีถือเป็นเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้เดส์ชองส์พาทีมชาติฝรั่งเศสก้าวไปคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้มีไม้เด็ดด้านแทคติกเหนือคนอื่นเลย เพราะถ้าหากดูการเปลี่ยนตัวในแต่ละนัดหรือการโจมตีคู่แข่งด้วยเกมสวนกลับโดยอาศัยความเร็วของ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ เป็นหลัก ก็น่าจะแสดงให้เห็นว่าเดส์ชองส์เข้าใจแทคติกและนักเตะที่เขาเลือกใช้เป็นอย่างดี

5ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือเกมรอบชิงชนะเลิศที่พวกเขาเอาชนะโครเอเชีย 4-2 โดยสกอร์ในครึ่งแรกคือ 2-1 ท่ามกลางเกมที่สูสี เมื่อเริ่มครึ่งหลังได้ไม่นาน เดส์ชองส์ก็เลือกเปลี่ยนนักเตะที่อาจจะโนเนมที่สุดในทีมอย่าง สตีเว่น เอ็นซองซี่ กองกลางของ เซบีญ่า ลงมาสู่สนามในนาที 55 เพื่อแทนที่ เอ็นโกโล่ กองเต้ ตัวตัดเกมที่โดนใบเหลืองไปแล้ว แสดงให้เห็นว่าเดส์ชองส์กล้าใช้นักเตะที่ไม่มีใครคิดว่าดีพอจะรับมือเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก หากแทคติกของเขาสั่งให้ทำอย่างนั้น

เมื่อย้อนกลับไปมองผลงานของนักเตะในทีมฝรั่งเศสชุดแชมป์โลก 2018 ทั้งหมดจะพบว่ามีนักเตะเอาต์ฟิลด์ (ไม่ใช่ผู้รักษาประตู) เพียงคนเดียวเท่านั้นจาก 20 คนที่ไม่ได้ลงสนามแม้แต่วินาทีเดียว นั่นคือปราการหลังตัวเก๋า อาดิล รามี่ ที่เหลือถูกเลือกใช้งานทั้งหมดตามแต่สถานการณ์จะอำนวย สะท้อนให้เห็นว่านักเตะทุกคนในทีมไม่ได้ถูกเลือกเพราะเดส์ชองส์อยากได้ทีมที่มีความสามัคคีเพียงอย่างเดียว แต่ทุกคนที่เลือกมาถูกมองแล้วว่าเล่นในแทคติกของเขาได้

ส่วนของนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ เดส์ชองส์เลือกปรับตำแหน่งของพวกเขาแบบไม่เกรงใจใคร เมื่อ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ที่เล่นให้กับทีมใหญ่ที่เน้นการครองบอลอย่างเปแอสเช กลับถูกเลือกให้เป็นหัวใจหลักในฟุตบอลสวนกลับของทีมชาติฝรั่งเศส ส่วนนักเตะที่ลงเล่นภายใต้ฟุตบอลสวนกลับมาทั้งชีวิตอย่าง อองตวน กรีซมันน์ จาก แอตเลติโก มาดริด ก็โดนโยกลงมาเล่นกองหน้าตัวต่ำเพื่อรับบทเพลย์เมกเกอร์

ขณะเดียวกัน ปอล ป็อกบา ที่ถูกสั่งให้เล่นเกมรับมากขึ้นและอยู่ภายใต้แทคติกที่มีระเบียบวินัยมากขึ้นในสีเสื้อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เดส์ชองส์ก็ได้ดึงจุดเด่นของเขาตอนอยู่ ยูเวนตุส กลับมาอีกครั้ง ด้วยการปล่อยให้ป็อกบาได้เล่นอย่างมีอิสระและไม่อิงกับระบบที่วางไว้มากเกินไป นั่นจึงทำให้ป็อกบาในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดกลับมาอีกครั้งในฟุตบอลโลก 2018

6ไม่ว่าเดส์ชองส์จะเปลี่ยนตำแหน่งนักเตะมากแค่ไหน ผลลัพธ์ที่ออกมาน่าพอใจมาก ทั้ง เอ็มบัปเป้ และ กรีซมันน์ ที่ยิงประตูเท่ากันด้วยจำนวน 4 ลูก แถมกรีซมันน์ยังก้าวไปคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมในเกมนัดชิงชนะเลิศ ส่วนป็อกบากลายเป็นกองกลางที่ขาดไม่ได้ในแต่ละนัด เขาวิ่งไปทั่วพื้นที่เพื่อสร้างสรรค์เกมตามใจ จนทัพตราไก่ก้าวไปคว้าแชมป์โลกในที่สุด

เมื่อบวกกับเกมรับที่แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อของทีมด้วยตัวรับอย่าง อูโก้ โยริส, ราฟาเอล วาราน, ซามูเอล อุมติตี้, ลูกาส์ แอร์กน็องเดซ และ แบ็งฌาแม็ง ปาวาร์ ที่งัดฟอร์มที่ดีที่สุดออกมาในทัวร์นาเมนต์นี้ และสองหัวใจในแผนตั้งรับและสวนกลับอย่าง เอ็นโกโล่ กองเต้ และ แบลส มาตุยดี้ ทำให้นี่คือทีมชาติฝรั่งเศสที่ถูกสร้างมาอย่างสมบูรณ์แบบเพื่อคว้าแชมป์โลกอย่างแท้จริง

เติมเต็มจิตวิญญาณของผู้ชนะ

อีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยทำให้ฝรั่งเศสคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 มาครองได้สำเร็จคือ จิตวิญญาณของผู้ชนะ ที่ถูกปลูกฝังเอาไว้ในทีมชุดนี้อย่างเต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะเป็นจากความสำเร็จในระดับสโมสรหรือความผิดหวังจากฟุตบอลยูโร 2016 ที่ทีมชาติฝรั่งเศสพลาดการคว้าแชมป์บนแผ่นดินบ้านเกิดอย่างเจ็บปวด หลังแพ้ให้กับทีมชาติโปรตุเกสในช่วงต่อเวลาพิเศษของเกมนัดชิงชนะเลิศ

7“ผมขอพูดความจริงตรงนี้เลยว่า เมื่อยูโรครั้งที่ผ่านมา พวกเราเคยคิดว่า เราจะได้แชมป์อย่างแน่นอนแล้ว” ปอล ป็อกบา เล่าถึงความผิดหวังและความผิดพลาดครั้งใหญ่ของทีมชาติฝรั่งเศส ก่อนที่ฝรั่งเศสจะลงแข่งขันนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2018

“พวกเราทุกคนบอกกับตัวเองว่า ทุกอย่างมันจบตั้งแต่เราชนะเยอรมัน (ในรอบรองชนะเลิศ) มันคือรอบชิงชนะเลิศที่แท้จริงสำหรับพวกเรา เพราะฉะนั้น เราไม่อยากจะทำผิดพลาดอีกครั้ง และจะลงเล่นในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกด้วยความคิดที่ต่างออกไป”

บาดแผลจากฟุตบอลยูโร 2016 ส่งผลให้นักเตะฝรั่งเศสทุกคนมุ่งมั่นในการคว้าชัยชนะและไม่เคยประมาทในแต่ละเกม เมื่อบวกกับความสำเร็จของนักเตะหลายคนในฤดูกาล 2017-18 โดยเฉพาะผู้เล่น 6 คนจาก 11 ตัวจริง อย่าง อุมติตี้, มาตุยดี้, เอ็มบัปเป้, แอร์กน็องเดซ, กรีซมันน์ และ วาราน ที่เพิ่งคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ในระดับสโมสรมาก็ยิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจและความกระหายจะประสบความสำเร็จในฟุตบอลทีมชาติให้มากขึ้น

นี่คือความจริงที่ทุกคนเห็นอย่างชัดเจนว่า นักเตะทั้ง 23 คนของทีมชาติฝรั่งเศสพร้อมจะทำทุกทางเพื่อล้มล้างบาดแผลและความอับอายจากยูโร 2016 และด้วยความมั่นใจจากผลงานของสโมสรบวกกับการถูกยกเป็นเต็งระดับต้นๆตั้งแต่ก่อนการแข่งขัน ไม่ต้องสงสัยเลยถึงแนวคิดของนักเตะทีมชาติฝรั่งเศสทุกคน ซึ่งเชื่อมั่นว่าพวกเขาเดินทางมาแข่งขันที่รัสเซียเพื่อเป็นผู้ชนะเท่านั้น และพวกเขาจะไม่พลาดอีกเป็นครั้งที่สอง

8บทเรียนจากยูโร 2016 เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่ทำให้ทีมชาติฝรั่งเศสชุดนี้มีจิตวิญญาณของผู้ชนะอย่างเต็มตัว ซึ่งบางครั้งมันอาจจะสำคัญมากกว่าแทคติกหรือเทคนิคใดๆด้วยซ้ำ เพียงเท่านี้ก็ไม่มีอะไรที่ยากเกินความสามารถ ด้วยความสามัคคี แทคติกที่ยอดเยี่ยม และความเชื่อมั่นเต็มหัวใจ ฝรั่งเศสจึงก้าวไปคว้าแชมป์โลกสมัยที่สองของพวกเขาในปี 2018 ได้สำเร็จ