ชายผู้หนึ่งเสียน้ำตาลูกผู้ชายแบบไม่อายใคร หลังจากต้องสิ้นสุดการเดินทางกับสโมสรฟุตบอลที่เขารักอย่าง เรอัล มาดริด เขาคือ มาร์เซโล ที่ใช้เวลาร่วมกับทีมยักษ์ใหญ่แห่งวงการฟุตบอลสเปนมาตลอด 15 ปี
ทุกวันนี้ มาร์เซโล ถูกจดจำในฐานะแบ็กซ้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรอัล มาดริด กับการคว้าแชมป์ลา ลีกา ร่วมกัน 6 สมัย และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีก 5 สมัย มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่ใช่แค่ของสโมสรแต่มากที่สุดของการแข่งขันรายการนี้
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาแรกที่เขาก้าวขาเข้ามาสวมเสื้อราชันชุดขาว มาร์เซโลกลับได้รับความเกลียดชังจากผู้จัดการทีม แถมเกือบจะต้องย้ายทีมทั้งที่เป็นสมาชิกของ เรอัล มาดริด ได้ไม่ถึง 1 ปี
นี่คือเรื่องราวของชายที่ไม่ได้รับการยอมรับ แต่ใช้ความพยายาม ความมุมานะ จนกลายเป็นตำนานที่แฟนเรอัล มาดริด รักสุดหัวใจ ติดตามไปพร้อมกับ Main Stand
ก่อนจะเป็นราชันชุดขาว
มาร์เซโล ไม่ต่างอะไรจากเด็กบราซิลส่วนใหญ่ที่เล่นฟุตบอล คือมาจากครอบครัวที่ยากจน และเป็นความหวังของครอบครัวในการพาชีวิตไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
โชคดีที่แข้งรายนี้มีพรสวรรค์ระดับสูงในการเล่นเกมลูกหนังมาตั้งแต่วัยเยาว์ จนเขาได้มีโอกาสเป็นแข้งเยาวชนของสโมสรฟุตบอลชื่อดังในบ้านเกิดอย่าง ฟลูมิเนนเซ่ ตั้งแต่อายุ 13 ปี
ฟลูมิเนนเซ่ช่วยเหลือนักเตะรายนี้ในหลาย ๆ ด้าน แต่ที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาด้านฝีเท้า และด้วยวัยเพียง 18 ปีฟลูมิเนนเซ่กล้าที่จะดันมาร์เซโลขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรในฐานะแบ็กซ้ายตัวจริงคนใหม่ของทีม
มาร์เซโลสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการฟุตบอลบราซิล ด้วยผลงานที่ไม่ได้แสดงอาการตื่นสนามให้เห็นแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามเขาดึงความเก่งของเพื่อนร่วมทีมมาช่วยให้ผลงานส่วนตัวโดดเด่นขึ้น
ในฤดูกาล 2005 มาร์เซโลเป็นส่วนสำคัญที่พาฟลูมิเนนเซ่คว้าทั้งแชมป์ลีกและแชมป์ฟุตบอลถ้วย ประจำรัฐริโอเดอจาเนโร รวมถึงพาทีมเข้าชิงแชมป์ฟุตบอลถ้วยของประเทศบราซิลอย่าง โคปา โด บราซิล ด้วยเช่นกัน
ไม่ใช่แค่ผลงานของทีมที่โดดเด่น แต่ผลงานส่วนตัวของมาร์เซโลก็ดูดีไม่แพ้กันกับการทำได้ 6 ประตูจากการลงเล่น 30 นัด กับฟลูมิเนนเซ ซึ่งในตำแหน่งแบ็กซ้ายนี่คือเครื่องยืนยันพรสวรรค์ในการเล่นเกมรุกของวิงแบ็กรายนี้ได้เป็นอย่างดี
ผลงานที่ยอดเยี่ยมระดับนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชื่อเสียงของมาร์เซโลจะดังไกลข้ามทวีปจากอเมริกาใต้สู่ยุโรป มีทีมฟุตบอลชื่อดังมากมายเข้ามาขายขนมจีบให้มาร์เซโลหวังได้ตัวเขาไปร่วมทีม และชื่อเสียงของเขาโด่งดังขึ้นไปอีกหลังจากติดทีมชาติบราซิลในเดือนกันยายนปี 2006 ด้วยวัยเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น
สุดท้ายมาร์เซโลตัดสินใจตอบรับข้อเสนอของเรอัล มาดริด ยอดทีมจากสเปนที่กำลังอยู่ในช่วงสร้างทีมใหม่ หลังจากความรุ่งเรืองของทีมคู่ปรับอย่างบาร์เซโลน่ากำลังปกคลุมลีกสเปนอยู่ในเวลานั้น
“การได้ตัวเขาคือสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเรา เขาคือเด็กหนุ่มที่จะเข้ามาเติมความสดใหม่ในตำแหน่งของเขา … ซึ่งผมมีความสุขมาก เพราะทีมฟุตบอลครึ่งยุโรปอยากได้ตัวเขาไปร่วมทีม” รามอน กัลเดรอน ประธานของเรอัล มาดริด ในเวลานั้น กล่าว
เดือนมกราคมปี 2007 มาร์เซโลร่วมทัพเรอัล มาดริด อย่างเป็นทางการ และเขาหนีไม่พ้นกับการถูกเปรียบเทียบกับ โรแบร์โต้ คาร์ลอส แบ็กซ้ายรุ่นพี่ชาวบราซิลระดับตำนานของเรอัล มาดริด ชุด “กาลาคติกอส” ยุคแรก
ความคาดหวังของสื่อและแฟนบอลจำนวนมากต่างมองมาร์เซโลเป็นผู้สืบทอดของ โรแบร์โต้ คาร์ลอส ที่ต้องเล่นให้ดีในระดับเดียวกัน ซึ่งนั่นคืออุปสรรคสำคัญที่สุดในชีวิตของมาร์เซโล
เผชิญหน้ากับอุปสรรค
การย้ายมาร่วมทีมเรอัล มาดริด คือความฝันของนักฟุตบอลแทบทุกคน แต่มันก็สามารถเป็นฝันร้ายได้เช่นกัน เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้ลงสนามในฐานะ 11 ตัวจริงของทีมราชันชุดขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้จัดการทีมไม่ชอบคุณ
มาร์เซโลในวัย 18 ปีต้องเผชิญหน้ากับการเมืองภายในทีมสุดปวดหัว เพราะความจริงคือคนที่อยากได้ตัวมาร์เซโลมาร่วมทีมมาดริดคือ รามอน กัลเดรอน ที่มีโปรเจ็กต์กว้านซื้อนักเตะอนาคตไกลมาอยู่ในทีมให้ได้มากที่สุด
ส่วนคนที่ไม่ต้องการมาร์เซโลคือ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ผู้จัดการทีมเรอัล มาดริด ในเวลานั้น และเมื่อได้นักเตะที่เขาไม่ได้ต้องการเข้ามา สิ่งที่คาเปลโล่ทำกับมาร์เซลโลคือจับไปนั่งอยู่บนม้านั่งสำรองโดยแทบไม่ให้โอกาสได้ลงสนาม
เนื่องจากในตอนนั้น ฟาบิโอ คาเปลโล่ ชื่นชอบ โรแบร์โต้ คาร์ลอส เป็นอย่างมาก แม้ว่าอายุของคาร์ลอสจะอยู่ที่เลข 33 กำลังจะ 34 ก็ตาม แต่คาเปลโล่เชื่อว่าแบ็กซ้ายตัวเก๋าคนนี้คือคนที่ใช่ ขณะที่ผู้บริหารของทีมกลับบีบให้คาเปลโล่ใช้งานมาร์เซโล เพราะมองว่าเด็กหนุ่มวัย 18 ปีคืออนาคตของสโมสร
ความซวยก็มาตกอยู่กับมาร์เซโล เพราะคาเปลโล่ไม่ชอบหน้าเด็กรายนี้เลยจนทำให้เขาได้ลงสนามแค่ 6 เกมเท่านั้นในฤดูกาลแรกกับเรอัล มาดริด แถมผลงานที่ลงสนามก็ไม่ได้โดดเด่นสมชื่อเสียงที่ได้ยินมาตอนเล่นอยู่ที่บราซิล
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะภายใต้การทำทีมของคาเปลโล่ มาร์เซโลต้องเน้นเกมรับมากกว่าเกมรุก ภาพเติมเกมบุกริมเส้นสุดเร้าใจแบบที่เราเห็นกันจนชินตาไม่มีโอกาสได้เล่นเลย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คาเปลโล่จะมองว่ามาร์เซโล่ดีไม่พอสำหรับทีมของเขา
นอกจากนี้คาเปลโล่ยังเคยเสนอให้เรอัล มาดริด รีบปล่อยนักเตะรายนี้ออกจากทีมไปให้เร็วที่สุด เพราะเขาไม่เห็นประโยชน์ที่จะเก็บแบ็กรายนี้เอาไว้
โชคดีที่มาร์เซโลไม่ต้องย้ายทีมออกไป แต่เป็นคาเปลโล่ที่ต้องเก็บข้าวของออกไปเอง หลังจากเรอัล มาดริด ปลดเขาออกจากตำแหน่ง เพราะปัญหาในการทำงานที่ไม่รู้จักจบร่วมกันระหว่างบอร์ดบริหารและโค้ชรายนี้
การจากลาของคาเปลโล่เปลี่ยนชีวิตของมาร์เซโล เพราะกุนซือคนใหม่อย่าง แบรนด์ ชูสเตอร์ ได้เห็นศักยภาพของแบ็กรายนี้ เขาเปิดโอกาสให้มาร์เซโล่ได้เติมเกมบุกอย่างเต็มที่พร้อมกับใช้ความหนุ่มของแข้งรายนี้วิ่งขึ้นวิ่งลงในสนามคอยช่วยเกมรุกและเกมรับของทีมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ภายในระยะเวลาอันสั้นเขากลายเป็นที่รักของแฟนบอลเรอัล มาดริด อีกทั้งในฤดูกาล 2007-08 เขาก็พาทีมคว้าแชมป์ลา ลีกา มาครองได้อย่างเต็มภาคภูมิ
เรียนรู้ พัฒนา เพื่อเป็นตำนาน
มาร์เซโลมีช่วงเวลาที่ดีมากกับการเล่นภายใต้ยุคของ แบรนด์ ชูสเตอร์ แต่หลังจาก ฆวนเด้ รามอส เข้ามาทำทีมในช่วงปลายปี 2008 บทบาทของเขากับทีมก็ลดน้อยลงอีกครั้งจนต้องกลับไปนั่งสำรองเช่นเดิม เนื่องจากรามอสต้องการแบ็กที่ประจำการอยู่แดนหลังเพื่อสร้างความรัดกุมในเกมรับ จนหันไปใช้บริการ กาเบรียล ไฮน์เซ แทนที่มาร์เซโล
อย่างไรก็ดีมาร์เซโลก็ไม่ปริปากบ่นกับการหล่นไปเป็นตัวสำรอง เขาเริ่มเรียนรู้กับการเล่นตำแหน่งใหม่นั่นคือปีกซ้าย และแม้จะล้มเหลวกับการยึดตัวจริงในยุคของฆวนเด้ รามอส แข้งชาวบราซิลรายนี้ก็ได้รับโอกาสลงสนามมากขึ้นในยุคของ มานูเอล เปเยกรินี่ และกลับมาเป็นตัวหลักอีกครั้ง
สิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นตลอดช่วงยุคที่มาร์เซโลต้องสู้เพื่อตำแหน่งตัวจริง คือเขายังต้องเรียนรู้และต้องตั้งใจฝึกฝนเพื่อพัฒนาตัวเองอีกมาก เพราะแม้ว่าพรสวรรค์จะช่วยให้เขาเข้ามาเป็นสมาชิกของทีมราชันชุดขาวตั้งแต่อายุ 18 ปี แต่หลังจากนี้หากจะอยู่กับทีมให้ตลอดรอดฝั่งจะมีแค่พรแสวงเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้
มาร์เซโลกลับมาเป็นตัวหลักในตำแหน่งแบ็กซ้ายอีกครั้งในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ และเป็นยอดโค้ชชาวโปรตุเกสคนนี้ที่ดึงศักยภาพที่สูงสุดของมาร์เซโลออกมา
ด้วยจุดเด่นของมูรินโญ่ที่เข้าใจนักเตะบางคนได้อย่างลึกซึ้งทำให้เขามีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับมาร์เซโลและเป็นมากกว่าเจ้านาย กับลูกน้อง มูรินโญ่ช่วยดึงสิ่งที่แข้งรายนี้เรียนรู้สมัยต้องเล่นเป็นตัวรุกฝั่งซ้ายให้มาประยุกต์ใช้ในการเล่นกับตำแหน่งกองหลังริมเส้นได้เป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันก็เคี่ยวเข็ญให้มาร์เซโลต้องพัฒนาฝีมือในการเล่นเกมรับอยู่ตลอด และไม่ยอมให้แบ็กรายนี้ละทิ้งเกมรับเป็นอันขาด
“เขาคือสุดยอดโค้ชตัวจริง … ผมไม่มีวันลืมในสิ่งที่เขามอบให้กับผมเลย” มาร์เซโล กล่าวถึงโค้ชในดวงใจของเขา
มาร์เซโลได้รับคำชื่นชมมากมาย สื่อและแฟนบอลหลายคนเรียกเขาว่าแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดในโลก รวมถึงคำชมจากรุ่นพี่ของเขาอย่าง โรแบร์โต้ คาร์ลอส ที่บอกว่ามาร์เซโลเป็นกองหลังที่เก่งกว่าตัวเขาไปแล้ว
อย่างไรก็ตามถึงมาร์เซโลจะได้รับคำชมมากมาย แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือเขายังไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้มากเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งเป็นถ้วยที่แฟนบอลเรอัล มาดริด ทุกคนต้องการ และคาดหวังจะเห็นทีมคว้าแชมป์ในทุกปี
จนกระทั่ง เรอัล มาดริด เข้าสู่ยุคของ คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือชาวอิตาลีรายนี้ที่เป็นจิ๊กซอว์ส่วนสุดท้ายที่เข้ามาพัฒนามาร์เซโลให้กลายเป็นแบ็กซ้ายที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด
“ก่อนหน้านี้มาร์เซโลไม่ได้มีผลงานที่สม่ำเสมอเท่าไรนัก แต่ในตอนนี้เขาเล่นได้สม่ำเสมออย่างไร้ที่ติ ซึ่งผมรู้ดีว่าเขามีความสามารถมากพอที่จะเล่นให้ดีในทุกเกม เขาให้ความสำคัญกับเกมรับมากกว่าเดิม และมันช่วยทีมได้เยอะมาก” อันเชล็อตติ กล่าวถึงลูกทีมของเขา
การพัฒนาตัวเองไปอีกขั้นทำให้มาร์เซโลกลายเป็นส่วนสำคัญในการพาเรอัล มาดริด คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาล 2013-14 พร้อมกับยิงประตูในเกมนัดชิงชนะเลิศ ขึ้นสู่จุดสูงสุดของอาชีพการค้าแข้งไปพร้อมกับฝันที่รอคอยอย่างยาวนานถึง 12 ปีของแฟนบอลราชันชุดขาว
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมามาร์เซโลก็ไม่เคยหยุดที่จะสร้างความสำเร็จให้กับตัวเองและเรอัล มาดริด จนถึงปี 2022 เขาสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาได้รวม 5 ครั้ง และติดทีมยอดเยี่ยมของ FIFA ทั้งหมด 6 ครั้ง
นอกจากนี้มาร์เซโลยังได้รับเกียรติยศสำคัญคือการเป็นกัปตันทีมของเรอัล มาดริด ในปี 2021 ซึ่งถือเป็นกัปตันทีมชาวต่างชาติของสโมสรนับตั้งแต่ปี 1904 หรือคนแรกในรอบ 117 ปี ก่อนที่เขาจะได้โอกาสชูถ้วยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฟุตบอลยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หลังคุมทีมรับสุดแข็งแกร่งล้มลิเวอร์พูลจนคว้าแชมป์ได้สำเร็จ
แม้ว่าตอนนี้ด้วยวัย 34 ปี การเดินทางของ มาร์เซโล กับเรอัล มาดริด จะสิ้นสุดลงและอำลาทีมไปหลังจบฤดูกาล แต่เรื่องราวของเขาจะถูกบอกเล่าต่อไปในฐานะแข้งคนสำคัญในยุคที่ยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์สโมสร ที่ประสบความสำเร็จเพราะความมุมานะ และความพยายามในการพัฒนาฝีเท้าอย่างไม่สิ้นสุด พร้อมกับเป็นต้นแบบให้นักฟุตบอลรุ่นหลังได้เจริญรอยตามต่อไป