ไม่มีชั่วโมงไหนในช่วงตลาดซื้อขายที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีข่าวลือกับนักฟุตบอลของสโมสรต่างๆ หรือไม่มีการอัปเดตความเคลื่อนไหวดีลนักเตะใหม่ที่สโมสรกำลังดำเนินการ
ทำไมต้องเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ทุกครั้งที่เราเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้? 48 ชั่วโมง จ่อแล้วจ่ออีก เข้าใกล้การปิดดีล หรือให้ความสนใจ ทำไมข่าวเหล่านี้ถึงวนไปวนมาไม่รู้จบ?
ติดตามต้นเหตุที่ยูไนเต็ดเป็นพระเอกของตลาดซื้อขายทุกๆปีกับ Main Stand ได้ที่นี่
มากผู้ติดตาม
มันเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ หากเราจะอธิบายว่าสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่มีข่าวซื้อขายนักเตะมากที่สุดทีมหนึ่งตลอดตลาดซื้อขายนักเตะ เหตุผลก็เพราะ สโมสรนี้เป็นที่รู้จักและเป็นที่สนใจมากเป็นอันดับต้นๆของโลก
การจัดอันดับในปี 2022 จากยอดผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียต่างๆ ยูไนเต็ด เป็นทีมอันดับที่ 3 รองจาก เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า ตามลำดับ โดย ยูไนเต็ด มีผู้ติดตามใน Instagram 42 ล้านคน, Facebook 7 ล้านคน, Twitter อีก 33 ล้านคน และใน YouTube อีก 4 ล้านคน
แม้จะเป็นแค่อันดับ 3 รองจาก มาดริด และ บาร์ซ่า แต่ ยูไนเต็ด มีเครดิตดีกว่าเล็กน้อย เพราะพวกเขาเป็นทีมเดียวในท็อป 3 ที่เล่นในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นฟุตบอลลีกที่มีคนดูติดตามมากที่สุด และมีอิทธิพลที่สุดในโลก
“ฟุตบอลอังกฤษอาจจะไม่มีคุณภาพโดยรวมมากเท่ากับลีกอย่างเยอรมันและสเปน แต่หลังจากการรีแบรนด์กลายเป็นชื่อพรีเมียร์ลีก พวกเขากลายเป็นแม่แบบของลีกอื่นๆในแง่ของการตลาด นั่นทำให้โดยเฉลี่ยมีคนดูต่อ 1 เกม 13 ล้านคน ขณะที่ลีกอื่นๆอย่าง ลา ลีกา 2.2 ล้านคน, บุนเดสลีกา 2 ล้าน และ เซเรีย อา มีเพียงแค่ 4.5 ล้านคน ทั้งหมดรวมกันยังไม่เยอะเท่ากับพรีเมียร์ลีกลีกเดียวเลยด้วยซ้ำ” แซม พิลเกอร์ นักเขียนของ Bleacher Report ยืนยันถึงความนิยมของพรีเมียร์ลีก
ขณะที่รายงานจาก Daily Mail ก็ช่วยยืนยันอีกต่อว่า ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมียอดผู้ติดตามผ่านการถ่ายทอดสดมากที่สุดถึง 4.7 พันล้านคนจาก 212 ประเทศทั่วโลก และสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ คิดเป็นจำนวนรายได้ต่อปีสำหรับค่าลิขสิทธิ์อยู่ที่ 1 หมื่นล้านปอนด์ สำหรับปี 2022-2025 และนี่คือจำนวนที่มากที่สุดในโลก
ตัวเลขทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นการอธิบายถึงความเป็นที่นิยมของ แมนฯ ยูไนเต็ด พวกเขามีชื่อเสียงในแง่รายละเอียดของสโมสรอยู่แล้ว และยังอยู่ในลีกที่มีความนิยมมากที่สุดในโลกอีกด้วย เมื่อมีความนิยมก็นำมาซึ่งรายรับจำนวนมหาศาล
และแน่นอน เมื่อมีรายรับ พวกเขาย่อมกลายเป็นที่หมายปองของเหล่าเอเย่นต์นักเตะ ที่อยากจะนำนักเตะของพวกเขาเข้ามาเกี่ยวพันกับสโมสรแห่งนี้ ยิ่งเป็นการตลาดและการโฆษณานักเตะยุคใหม่ที่มีเอเย่นต์ส่วนตัวกันทุกคนแล้ว ข่าวก็ยิ่งมากขึ้นไปโดยปริยาย
ราชาตลาดซื้อขาย
โดยทั่วไปของข่าวลือในโลกฟุตบอล ก็จะมีทั้งข่าวประเภทที่ว่า นักเตะเนื้อหอมถูกหลายสโมสรให้ความสนใจ, ลีกต่างประเทศอยากได้ตัวผู้เล่นคนนั้นไปร่วมทีม, นักบอลคนไหนกำลังหมดสัญญา-ไม่แฮปปี้กับทีมเดิม และอยากมองหาต้นสังกัดใหม่ ไปจนถึงการโปรโมตผู้เล่นดาวรุ่ง, นักบอลลีกล่างที่คนอาจไม่ค่อยรู้จัก ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะปลายทางของการปล่อยข่าวลือคือการสร้างมูลค่าให้นักเตะที่เป็นลูกค้าของเอเย่นต์
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือเรื่องราวในช่วงปี 2016 ที่ หลุยส์ ฟาน กัล เป็นกุนซือ โดย ณ เวลานั้น ยูไนเต็ด เป็นข่าวกับ เซร์คิโอ รามอส กองหลังของ เรอัล มาดริด ตลอดช่วงซัมเมอร์ดังกล่าว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกี่ยวพันกับช่วงที่ รามอส เหลือสัญญากับ มาดริด เพียง 18 เดือนเท่านั้น
ข่าวลือการซื้อขายระหว่าง รามอส กับ ยูไนเต็ด จบลงที่การอกหักของฝั่งปีศาจแดง เพราะสุดท้าย รามอส ก็ต่อสัญญากับ เรอัล มาดริด ออกไปถึง 5 ปี และมีรายงานว่าค่าเหนื่อยของเขาเทียบเท่ากับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ รับอยู่กับ มาดริด ณ เวลานั้น หลังจากข่าวลือทั้งหมดจบลง AS สื่อของสเปนได้วิเคราะห์ข่าวดังกล่าวว่า นั่นคือการพยายามอัพค่าเหนื่อย
กลยุทธ์ดังกล่าวถือเป็นเคสตัวอย่างที่ชัดมากว่า ทำไม ยูไนเต็ด ถึงเป็นทีมที่มีข่าวลือในตลาดซื้อขายมากที่สุด เนื่องจากหลังจากสิ้นยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทีมๆนี้กลายเป็นทีมที่ต้องการนักเตะแทบทุกตำแหน่ง และแทบไม่เคยมีทีมชุดที่เรียกว่า “ทีมที่ลงตัว” เลยสักครั้ง ดังนั้น เมื่อพวกเขาขาดนักเตะในตำแหน่งไหน ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะมีข่าวกับนักเตะตำแหน่งนั้น
ในวันที่ ยูไนเต็ด ยุค ฟาน กัล ที่มี คริส สมอลลิ่ง และ ฟิล โจนส์ เป็นกองหลัง เป็นที่รู้กันดีว่าสโมสรย่อมต้องการหากองหลังตัวเก๋าเข้ามาประคองทีม ดังนั้น การมีข่าวลือกับ รามอส ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะ เพราะเขาเป็นกองหลังที่ตรงสเป็กกับที่ทีมต้องการทุกอย่าง และตัวนักเตะก็มีอนาคตที่ไม่แน่นอนกับต้นสังกัด
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เอเย่นต์ของนักเตะ หรือแม้กระทั่งสื่อทั้ง หนังสือพิมพ์, นิตยสาร, วิทยุ ที่เป็นแหล่งข่าวสนิทสนมรู้นอกออกในกับนักเตะหรือต้นสังกัด สามารถใช้ช่องว่างดังกล่าวในการขายข่าวลือได้
หากยังไม่ชัด คุณสามารถดูไปที่เคสของ นิโคลัส ไกตัน กองกลางตัวรุกชาวอาร์เจนติน่าของ เบนฟิก้า ก็ยังได้ นี่คือนักเตะอีกคนที่มีข่าวเกี่ยวข้องกับ แมนฯ ยูไนเต็ด นับตั้งแต่ยุคของ เดวิด มอยส์ และ ฟาน กัล ซึ่งเป็นยุคที่ ยูไนเต็ด พยายามหามิดฟิลด์ตัวรุกกึ่งริมเส้นมาตลอดเป็นเวลากว่า 3 ปี แต่ที่สุดแล้วตัวนักเตะก็ย้ายไปเล่นให้กับ แอตเลติโก มาดริด ในราคาแค่ไม่กี่ล้านปอนด์เท่านั้น
ซึ่งตัวนักเตะที่ปัจจุบันอยู่ในวัย 34 ปี และกลายเป็นนักเตะพเนจร ย้ายไปเล่นกับอีกหลายสโมสร โดยปัจจุบันอยู่กับ ปากอส เดอ เฟร์ไรร่า ในลีกโปรตุเกส ก็ออกมาเผยถึงเรื่องดังกล่าวว่าตอนที่เขามีข่าวลือกับ แมนฯ ยูไนเต็ด เขายังไม่ผ่านเวิร์กเพอร์มิต (ใบอนุญาตทำงาน) เลยด้วยซ้ำ
“ผมไม่มีสัญชาติของทวีปยุโรป และที่สำคัญ ผมไม่ใช่นักเตะระดับทีมชาติอาร์เจนตินา ผมอาจจะเคยถูกเรียกติดทีมบ้าง แต่ปัญหาคือผมไม่ได้เล่นมากพอสำหรับการได้รับใบอนุญาต นั่นแหละมั้งคงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้การย้ายทีมไม่เกิดขึ้น” ไกตัน กล่าว
กรณีของ รามอส และ ไกตัน นั้นจะเห็นได้ว่าตัวนักเตะแทบไม่เคยปริปากพูดถึงข่าวของเขากับทีมปีศาจแดงเลย แต่พวกเขาก็มีข่าวลือกับทีมมาโดยตลอด ซึ่งที่สุดแล้วปลายทางของข่าวลือก็คือพวกเขาได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ รามอส ได้สัญญายาวก้อนโตซึ่งเป็นสัญญาฉบับสุดท้ายก่อนเขาย้ายไปอยู่กับ เปแอสเช ในซีซั่นที่ผ่านมา ขณะที่ ไกตัน ก็ได้ย้ายไปเล่นกับทีมที่ใหญ่กว่าและมีคนติดตามมากกว่าอย่าง แอตฯ มาดริด
ผียุคใหม่ใครก็ก็อยากเอี่ยว
เราจะขยายเหตุผลอีกหน่อยที่ทำไม ยูไนเต็ด มักจะมีข่าวซื้อขายกับนักเตะหลายๆคน นอกจากการมีข่าวกับ ยูไนเต็ด เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายและดูมีความเข้าเค้าความเป็นไปได้ เนื่องจากพวกเขาเป็นทีมที่ต้องหานักเตะมาซ่อมแซมจุดอ่อนกันไม่จบไม่สิ้นแล้ว มันยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ ยูไนเต็ด กลายเป็นราชาข่าวลือตลาดซื้อขาย นั่นคือ พวกเขาเป็นทีมที่ล้มเหลวในการซื้อตัวนักเตะมากที่สุด
นับตั้งแต่เปลี่ยนผู้อำนวยการสโมสรจาก เดวิด กิลล์ มาเป็น เอ็ด วู้ดเวิร์ด หากให้พูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คงต้องบอกว่า ยูไนเต็ด “หมู” มากขึ้นในการต่อรองกับทีมต่างๆ
พวกเขาได้นักเตะที่มีราคาแพงเกินกว่าความเป็นจริงหลายๆคน ทั้งเรื่องค่าตัวและค่าเหนื่อย ยกตัวอย่างในรายของ ปอล ป็อกบา ที่ซื้อมาร่วมทีมด้วยราคากว่า 89 ล้านปอนด์ และประเคนค่าเหนื่อยสูงที่สุดในทีม ณ เวลานั้น ถือเป็นตัวอย่างความผิดพลาดเลยก็ว่าได้
พวกเขาทุบสถิติต่างๆมากมาย แต่ได้นักเตะที่เล่นไม่ได้ ไม่ตอบโจทย์ และไม่คุ้มค่าแทบทุกตลาดซื้อขาย นอกจาก ป็อกบา แล้ว ยังมีรายของ อังเคล ดิ มาเรีย 60 ล้านปอนด์, แฮร์รี่ แม็คไกวร์ 80 ล้านปอนด์, อารอน วาน บิสซาก้า 50 ล้านปอนด์ แม้กระทั่งนักเตะดาวรุ่งที่เกือบจะโนเนมอย่าง อาหมัด ตราโอเร่ พวกเขายังคว้าตัวมาด้วยราคาเกือบ 40 ล้านปอนด์
นอกจากค่าตัวทะลุหลอดแล้ว ยังมีค่าเหนื่อยที่จ่ายไม่อั้นเกินความจำเป็น อเล็กซิส ซานเชซ ได้ค่าเหนื่อยถึง 400,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ รวมถึงการต่อสัญญานักเตะในสโมสรอย่าง อองโตนี่ มาร์กซิยาล และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ซึ่งทุกวันนี้การจะเอานักเตะค่าเหนื่อยแพงออกจากทีมด้วยการขายก็แทบไม่มีใครอยากจะซื้อ เพราะสู้ค่าเหนื่อยไม่ไหว
ปัจจุบันเราไม่รู้ว่า ริชาร์ด อาร์โนลด์ ซีอีโอของทีม ที่มาทำหน้าที่แทนวู้ดเวิร์ด รวมถึง จอห์น เมอร์เทอห์ ผู้อำนวยการฟุตบอล ซึ่งถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนี้เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร จะทำหน้าที่ได้ดีกว่าเดิมขนาดไหน แต่ที่แน่ๆ นับตั้งแต่ยุคของ วู้ดเวิร์ด เป็นต้นมา ยูไนเต็ด เสียรังวัดในการเจรจามากมายหลายครั้งทั้งกับต้นสังกัดของนักเตะ รวมถึงกับเอเย่นต์ของนักเตะด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่ทีมหรือเอเย่นต์เหล่านี้ได้เจรจากับ ยูไนเต็ด รับประกันได้เลยว่าพวกเขาจ้องจะฟันกันหัวแบะ ดังหลายกรณีที่เรามากล่าวมาในข้างต้น
ในตลาดซื้อขายฤดูกาล 2022-23 เองก็ไม่ต่างกัน ยูไนเต็ด กลับมาเป็นข่าวกับนักเตะมากมายจากสถานการณ์ที่เราได้กล่าวมาทั้งสิ้น พวกเขาเปลี่ยนโค้ชใหม่ พวกเขามีทีมที่ล้มเหลวจากซีซั่นที่แล้วและมีจุดให้ซ่อมแซมอีกแทบทุกตำแหน่ง ซึ่ง ราล์ฟ รังนิก ที่เข้ามาคุมทีมเฉพาะกิจก็ยังเปิดอกกับสื่อว่า “ทีมควรจะซื้อนักเตะใหม่ถึง 10 ตำแหน่ง”
นอกจากมีทีมที่มีช่องโหว่ให้พยายามอุดเต็มไปหมดแล้ว ยูไนเต็ด ยังได้โค้ชใหม่อย่าง เอริค เทน ฮาก มาคุมทีมอีก และเสน่ห์ของการมีโค้ชใหม่คือ การสร้างทีมของตัวเอง ซึ่งก็หนีไม่พ้นทำให้พวกเขามีข่าวพัวพันกับนักเตะมากมาย และทุกข่าวกับนักเตะคนนั้นๆก็จะโดนเจาะจนพรุน ไม่ว่าจากมุมไหนๆ จากเอเย่นต์, จากนักข่าว, จากเพื่อนสนิทนักเตะ ย่อมถูกเอามานำเสนอในหน้าสื่อทั้งสิ้น ดังนั้น ไม่แปลกเลยที่เราจะได้เห็นข่าวการซื้อขายของ ยูไนเต็ด ทุกวัน แม้ว่า ณ เวลานี้พวกเขายังไม่ได้นักเตะใหม่มาเสริมทัพเลยแม้แต่รายเดียว
ยูไนเต็ด เป็นทีมดังในลีกยอดนิยม พวกเขาเป็นทีมที่ต้องการนักเตะมากมายเพื่อให้กลับไปอยู่ยังจุดที่ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม เรื่องนี้ต่อให้ไม่ใช่นักเตะ นักข่าว หรือเอเย่นต์ เองก็ยังรู้ ตราบใดที่พวกเขายังพยายามเติมเต็มทีมด้วยนักเตะที่มีศักยภาพ และไม่ได้ทีมที่ชัดเจนลงตัวเหมือนกับ แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล เพื่อนร่วมลีก พวกเขาก็ยังคงเป็นพระเอกในตลาดซื้อขายต่อไปอย่างแน่นอน