5 นาที 3 ประตูของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมนัดสุดท้ายของพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2021-22 กับ แอสตัน วิลล่า กลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์การลุ้นแชมป์ที่สนุกและพลิกไปพลิกมาจนนาทีสุดท้าย
และหากความมันที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ยังทำให้คุณอินไม่เลิก … Main Stand ขอเสนอการไล่ล่าเกมสุดท้ายของซีซั่นแห่งความทรงจำที่รับรองได้ว่า “เร้าใจไม่แพ้ใครแน่นอน”
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2011-12
ฤดูกาล 2011-12 ถือเป็นเกม “ไฟนอลเดย์” ที่นรกแตกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเลยก็ว่าได้
สถานการณ์ ณ ตอนนั้นคือการไล่บดกันคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของ 2 สโมสรจากเมือง แมนเชสเตอร์ ฝั่งสีแดง แมนฯ ยูไนเต็ด ตามล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 20 ขณะที่ ฝั่งสีฟ้า แมนฯ ซิตี้ ต้องการแชมป์ลีกครั้งแรกรอบ 44 ปี
เมื่อเกมสุดท้ายมาถึง แมนฯ ซิตี้ ที่มีแต้มเท่ากันกับ แมนฯ ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาลของพวกเขาเป๊ะที่ 86 คะแนน แต่เรือใบสีฟ้าได้เปรียบที่ลูกได้เสีย เกมสุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด จะต้องออกไปเยือน ซันเดอร์แลนด์ ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านรับการมาเยือนของ ควีนส์ปาร์ก เรนเจอร์ส
จริง ๆ มันควรจะเป็นงานง่ายของ แมนฯ ซิตี้ ที่เล่นดีดุดันมาตลอดทั้งปี แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็คงไม่เป็นตำนาน ในขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประตูจาก เวย์น รูนี่ย์ ตั้งแต่ครึ่งแรกและลากยาวจนจบเกม ในเวลาไล่ ๆ กัน แมนฯ ซิตี้ กลับเล่นในบ้านและถูก คิวพีอาร์ ยิงนำถึง 2 ครั้ง 2 ครา ด้วยสถานการณ์ที่แค่เสมอก็ไม่พอ ทำให้แฟน ๆ ของ แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มยิ้มหวานแล้วกับสกอร์นี้
อย่างไรก็ตามในช่วงทดเจ็บที่ยาวนานกว่าปกติ (เพราะ โจอี้ บาร์ตัน อดีตนักเตะเรือใบสีฟ้าที่ตอนนั้นเล่นให้คิวพีอาร์โดนใบแดง) เอดิน เชโก้ ต่อชะตาให้กับ แมนฯ ซิตี้ ในนาที 90+2 ของเกม ด้วยการยิงประตูตีเสมอ 2-2 และช่วงทดเวลานาทีที่ 4 ประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงสโมสรนี้ก็เกิดขึ้น
มาร์ติน ไทเลอร์ ผู้บรรยายจากช่องสกายสปอร์ต เริ่มพูดประโยคที่ถูกเล่นซ้ำไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ “แมนฯ ซิตี้ ยังไม่ตายและเดินหน้าบุกอยู่ในเวลานี้ … บาโลเตลลี่ … อเกวโร่ววววววววววววววววว”
“สาบานได้เลย คุณไม่มีทางเห็นอะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้งแน่นอน จงเบิกตาดูและดื่มด่ำกับนาทีประวัติศาสตร์นี้” ไทเลอร์ พากย์ในการถ่ายทอดสด
ภาพตัดไปที่ฝั่ง สเตเดียม ออฟ ไลท์ นักเตะปีศาจแดงเดินขอบคุณแฟน ๆ แล้วเพราะแข่งขันจบก่อนราว 5 นาที แต่สีหน้าแต่ละคนดูกังวลกับผลของอีกสนามอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นทีมสตาฟก็ส่งสัญญาณให้กับพวกเขาว่า แมนฯ ซิตี้ พลิกชนะได้เรียบร้อยแล้ว อากัปกิริยาของ เวย์น รูนี่ย์ บ่งบอกได้ชัดถึงความผิดหวัง
แน่นอนว่าฝั่ง เอติฮัด สเตเดียม นั้นเหมือนโลกอีกใบ เกิดปรากฏการณ์สนามแตก และนั่นคือการเริ่มต้นยุคสมัยของ เรือใบสีฟ้า มาจนถึงทุกวันนี้
เชียงราย ยูไนเต็ด vs บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 2019
เกมนัดสุดท้ายที่คลาสสิกที่สุดในฟุตบอลไทยลีกนี้เกิดขึ้นในปี 2019 ฤดูกาลดังกล่าวคือการขับเคี่ยวกันแบบสลับกันนำสลับกันตามของ 2 สโมสรจาก 2 ภาค ตัวแทนจากภาคเหนืออย่าง เชียงราย ยูไนเต็ด และ ตัวแทนจากอีสานใต้อย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และมากไปกว่าการตัดสินแชมป์เพราะเหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นคู่อริกันระหว่างทั้ง 2 สโมสรอีกด้วย
จุดเริ่มต้นทั้งหมดของเรื่องเกิดขึ้นในเกมนัดที่ 19 ของฤดูกาลที่ เชียงราย จะต้องเจอกับ บุรีรัมย์ ในบ้านของตัวเอง ณ เวลานั้น เชียงราย เป็นทีมที่ค่อนข้างทำผลงานอยู่ในระดับมาตรฐานเกาะกลุ่มหัวตารางมาตลอด แต่ทุกคนก็ยังคงไม่ยกให้พวกเขาเป็นทีมเต็ง เพราะ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ผ่านประสบการณ์คว้าแชมป์มาโชกโชนมีภาษีดีกว่า
เกมนี้หาก เชียงราย ไม่ชนะหรือหนักข้อถึงขั้นแพ้คาบ้าน พวกเขาแทบจะหมดสิทธิ์ลุ้นแชมป์ในทันที เกมนี้จึงเป็นเกมที่มีการเดิมพันสูงมาก ดังนั้นมันจึงเป็นเกมที่มีการเล่นสงครามประสาทและจิตวิทยาใส่กันแบบไม่ยั้งโดยเฉพาะจาก 2 ผู้บริหารของทั้งสองทีมอย่าง มิตติ ติยะไพรัช ของฝั่งเชียงราย และ กรุณา ชิดชอบ ของฝั่งบุรีรัมย์ อย่างถึงพริกถึงขิง และความเดือดยังส่งผลไปถึงเกมในสนามอีกด้วย
เกมวันนั้นจบลงด้วยสกอร์ที่เหลือเชื่อ เชียงราย เปิดบ้านถล่ม บุรีรัมย์ ไป 4-0 จากประตูของ บรินเนอร์, บิลล์ โรซิมาร์ 2 ประตู และปิดท้ายด้วยประตูโซโล่ผ่านนักเตะคู่แข่ง 4 คนของ เอกนิษฐ์ ปัญญา นักเตะที่เติบโตมาจากอคาเดมีของสโมสร … จากผลของเกมดังกล่าวการไล่ล่าแบบสลับกันนำสลับกันตามก็ลากยาวมาจนเกมสุดท้ายของฤดูกาล
เชียงราย จะต้องไปเยือน สุพรรณบุรี เอฟซี ขณะที่ บุรีรัมย์ ต้องไปเยือน เชียงใหม่ เอฟซี ที่ตกชั้นไปแล้ว ทุกอย่างมันดูง่ายสำหรับ บุรีรัมย์ กว่า เพราะเจอคู่แข่งที่อ่อนชั้นกว่าพอสมควร ทว่าการประกาศของ เนวิน ชิดชอบ ก่อนเกมว่า “จะไม่ขอรับแชมป์ที่เชียงใหม่” เพราะต้องการให้มีพิธีมอบถ้วยฉลองแชมป์มีต่อหน้าแฟน ๆ ทีมปราสาทสายฟ้า คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้นักเตะเชียงใหม่และแฟน ๆ ของพวกเขาลุกฮือมีความอยากชนะในเกมนี้เพิ่มขึ้นสูงมาก และพวกเขาก็ตอบสนองสิ่งนั้นด้วยผลงานในสนามโดยแท้จริง
ในขณะที่ เชียงราย ยิงประตู สุพรรณบุรี จนขาดลอยไปแล้ว พวกเขาต้องลุ้นผลของอีกสนาม และอีกหนึ่งตัวแทนจากแดนล้านนาก็ไม่ทำให้เพื่อนร่วมภูมิภาคผิดหวัง แม้จะโดน บุรีรัมย์ นำไปก่อน 1-0 แต่ เชียงใหม่ ก็ยันสกอร์ดังกล่าวโดยไม่เสียเพิ่มมาจนถึงช่วงท้ายเกม ก่อนปิดฉากดับความหวังของทีมดังจากอีสานใต้ด้วยลูกโหม่งของ ไคเก้ ในนาทีที่ 86 ตีเสมอเป็น 1-1 นาทีนั้นสนามแทบแตก เพราะแฟนเชียงรายหลายคนที่ไม่ได้เดินทางไปชมเกมเยือนก็มาเข้าชมเกมที่สนามเหย้าของเชียงใหม่ในวันนั้นด้วย
หลังสิ้นเสียงนกหวีดยาว บุรีรัมย์ เสียแชมป์ใน 4 นาทีสุดท้ายของฤดูกาล ขณะที่อีกสนาม เชียงราย ชนะ สุพรรณบุรี 5-2 ได้ฉลองแชมป์กันอย่างสะใจและคลาสสิกเป็นอย่างยิ่ง จากวันนั้นจนถึงตอนนี้ยังคงมีวิวาทะต่าง ๆ กระแทกแดกดันกันไปมาระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย เรียกได้ว่าเป็นการชิงชัยที่จำฝังใจทั้ง 2 ทีมอย่างแท้จริง
แอตเลติโก มาดริด vs บาร์เซโลน่า 2013-14
บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด สลับกันครองแชมป์ ลา ลีกา สเปนมานานหลายปี และไม่มีทีมใดใกล้เคียงพวกเขาเลยจนกระทั่งการมาถึงของ แอตเลติโก มาดริด ในยุคที่มีกุนซืออย่าง ดิเอโก ซิเมโอเน ที่ค่อย ๆ สร้างทีมขึ้นมาจนแข็งแกร่งและมาถึงจุดพีกเอาพอดีในช่วงฤดูกาล 2013-14
ในฤดูกาลนั้นทั้ง เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และ แอตฯ มาดริด ทำแต้มบี้กันมาถึงช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล และทีมแรกที่ต้องยกธงขาวคือ ราชันชุดขาว ของกุนซือ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่พลาดท่าแพ้ให้กับคู่แข่งล่าแชมป์ทั้ง แอตฯ มาดริด และ บาร์เซโลน่า จนท้ายที่สุดแล้วก็เหลือม้าแค่ 2 ตัวจนกระทั่งวันสุดท้ายของฤดูกาล
เรียกได้ว่าเป็นการท้าชิงกันของ 2 สโมสรที่มีปรัชญาฟุตบอลต่างกันสิ้นเชิง แอตฯ มาดริด เชื่อเรื่องความดุดันและซื้อเกมรับของตัวเองเป็นอันดับแรก พวกเขาชอบที่จะเล่นเกมสวนกลับและปล่อยให้คู่ต่อสู้เป็นฝ่ายครองบอลมากกว่าเสมอ ขณะที่ บาร์เซโลน่า คือเจ้าพ่อบอลคอนโทรลที่เป็นเบอร์ 1 ของโลก ณ เวลานั้น และช่วงเวลาอันประจวบเหมาะก็มาเดินทางมาถึงในนัดสุดท้ายของฤดูกาล เมื่อ บาร์เซโลน่า ของ เคร์ราโด มาร์ติโน ต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของ แอตฯ มาดริด พอดิบพอดี
แอตฯ มาดริด ลงเล่นเกมดังกล่าวด้วยเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือขอแค่ไม่แพ้ก็พอ ทุกอย่างจะจบลงทันทีด้วยแต้มที่เป็นต่อ บาร์เซโลน่า อยู่ 1 แต้ม ขณะที่โจทย์ของ บาร์ซ่า คือเล่นในคัมป์ นู ของถนัด ขอแค่ชนะเท่านั้นพวกเขาจะกระชากแชมป์ในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาลได้ทันทีเช่นกัน
เกมนั้นเป็นไปอย่างอึดอัดสำหรับ บาร์เซโลน่า เพราะ แอตฯ มาดริด เล่นได้ตามแทคติกของ ซิเมโอเน ทุกระเบียดนิ้ว การเข้าปะทะหนักหน่วง ตัดไฟแต่ต้นลม และเน้นไปที่เซ็ตพีซที่เป็นอาวุธหลักของทีม ทว่า บาร์ซ่า ชุดนั้นก็มีเกมรุกที่เจาะได้ทุกทีมบนโลก พวกเขาได้ประตูที่ต้องการจากการยิงของ อเล็กซิส ซานเชซ ที่วอลเลย์ยัดเสียบเสาแรกให้ บาร์ซ่า ออกนำในช่วงครึ่งแรก และผลักแรงกดดันทั้งหมดไปที่ทีมเยือนแทน
แต่ แอตฯ มาดริด ชุดนั้นสปิริตทีมแข็งแกร่งไม่แพ้ใครเช่นกัน เริ่มครึ่งหลังได้เพียง 3 นาที ดิเอโก โกดิน ก็ยิงประตูเครื่องหมายการค้าด้วยการโหม่งจากลูกเตะมุม ตีเสมอเป็น 1-1 และจากนั้น แอตฯ มาดริด ก็โชว์ศักยภาพเกมรับที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรป ยันเสมอได้จนจบ 90 นาที ผงาดคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 10 และเป็นแชมป์แรกในรอบ 18 ปีของสโมสรอีกด้วย
“ไม่มีอะไรมาแทนที่การทำงานหนักได้ ทีมเข้าใจสิ่งนี้และได้ทำมัน วันนี้เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกวันในประวัติศาสตร์ของแอตเลติโก มาดริด ผมอยากขอบคุณ มิเกล กิล ประธานบริหารที่เชื่อมั่นในตัวพวกเรา เอ็นริเก เซเรโซ ประธานสโมสร และ หลุยส์ อราโกเนส ผู้ล่วงลับ เหนือสิ่งอื่นใดผมอยากขอบคุณแฟนบอลที่เชื่อมั่นและอยากให้เราสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นที่นี่” ซิเมโอเน กล่าวหลังจากชูถ้วยแชมป์ที่ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะทำสำเร็จ ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยการทำงานหนักของทั้งทีมอย่างแท้จริง
ยูเวนตุส, โรม่า และ อินเตอร์ 2001-02
ฟุตบอลกัลโช เซเรีย อา ในยุคปลาย 1990s ต่อต้น 2000s ถือเป็นช่วงเวลาที่สนุกและเข้มข้มที่สุดช่วงหนึ่ง เพราะแต่ละสโมสรอัดงบซื้อนักเตะดัง ๆ มารวมตัวกันที่นี่ พร้อมทั้งค่าเหนื่อยที่ลีกอื่น ๆ ได้แต่มองตาปริบ ๆ เท่านั้น และนั่นทำให้ศึกชิงแชมป์สคูเด็ตโต้ ในฤดูกาล 2001-02 ตื่นเต้นเร้าใจฉีกทุกความมันที่สุดครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้
ณ เวลานั้น ยูเวนตุส นำทัพโดย อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ และ พาเวล เนดเวด, โรม่า แชมป์เก่าจากฤดูกาลก่อนหน้า นำทัพโดย ฟรานเชสโก้ ต็อตติ และ กาเบรียล บาติสตูต้า ขณะที่ อินเตอร์ นำทัพโดยนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกอย่าง โรนัลโด้ R9
โดยสถานการณ์ ณ วันสุดท้ายคือ อินเตอร์ กุมชะตาไว้ในมือตัวเอง พวกเขามีแต้มนำ ยูเวนตุส 1 แต้ม และ มีแต้มนำ โรม่า 2 แต้ม โจทย์เดียวที่ อินเตอร์ ต้องทำให้ได้คือต้องเอาชนะ ลาซิโอ ให้ได้ในเกมสุดท้าย และอย่างที่เรารู้กัน สิ่งที่ เนรัซซูรี่ คาดหวังไว้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง
คริสเตียน วิเอรี่ ยิ่งจุดประกายความหวังให้ อินเตอร์ นำก่อน 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 12 ขณะที่ ลาซิโอ เล่นอย่างสมศักดิ์ศรี พวกเขาตามตีเสมอ 1-1 อย่างรวดเร็วจาก คาเรล โพบอร์สกี สถานการณ์เริ่มตึงเครียดแต่ อินเตอร์ ก็เร่งเครื่องนำอีกครั้งในนาทีที่ 24 จาก ลุยจิ ดิ เบียโจ้ แต่ โพบอร์สกี ก็ยิงตีเสมอเป็น 2-2 ในช่วงนาทีสุดท้ายของครึ่งแรก
สถานการณ์ตึงเครียดมาก เมื่ออีกสนามที่เมืองอูดิเน … ยูเวนตุส ได้ 2 ประตูในช่วงครึ่งแรกจาก ดาวิด เทรเซเก้ต์ และ เดล ปิเอโร่ ทำให้ ยูเวนตุส ขึ้นมาเป็นจ่าฝูงแบบเรียลไทม์ นาทีนี้ อินเตอร์ ต้องใส่เต็มสูบแล้วใน 45 นาทีสุดท้าย
ว่ากันว่าในเกมแบบนี้สภาพจิตใจสำคัญมาก หากควบคุมไม่ได้คุณจะเล่นได้ไม่เหมือนเดิม ของที่เคยง่ายก็กลายเป็นยากได้อย่างเหลือเชื่อ อินเตอร์ เปิดหน้าแลกแบบขอแค่ประตูเดียว แล้วพวกเขาก็ได้ข่าวร้ายจากอีกสนามที่ โรม่า บุกนำ โตริโน่ 1-0 จากประตูของ อันโตนิโอ คาสซาโน่ ในนาทีที่ 68 สถานการณ์ตอนนี้พวกเขาตกมาเป็นที่ 3 แบบน่าเหลือเชื่อ
ยิ่งลุยยิ่งเสียหลัก ลาซิโอ กลายเป็นฝ่ายครองเกมและได้ประตูขึ้นนำ 3-2 จากอดีตนักเตะขวัญใจแฟนบอลอินเตอร์อย่าง ดิเอโก ซิเมโอเน อินเตอร์ ออกอาการรวนจากประตูนั้นแล้วมาโดนเพิ่มเป็น 4-2 จากลูกยิงของ ซิโมเน่ อินซากี้ … และอย่างที่พวกเรารู้กัน ไม่มีประตูเกิดขึ้นหลังจากนั้น
อินเตอร์ เสียแชมป์ให้กับ ยูเวนตุส พร้อมทั้งฉากที่ทั่วโลกต้องจดจำนั่นคือในนาทีที่ 80 โรนัลโด้ โดนเปลี่ยนตัวออกเมื่อเขารู้สถานการณ์ที่สนามอื่น นักเตะที่เก่งที่สุดในโลกก็ปล่อยโฮแบบสุดกลั้นบนม้านั่งสำรองที่สตาดิโอ โอลิมปิโก แห่งกรุงโรม สนามเดียวกับที่เขาเคยเจอฝันร้ายเจ็บเข่าหนักเมื่อปี 2000 จนกลายเป็นภาพคลาสสิกที่บอกเล่าความเจ็บปวดของ อินเตอร์ ในซีซั่นนั้นได้เป็นอย่างดี … พวกเขาเสียแชมป์ให้กับ ยูเวนตุส ในวันสุดท้ายของฤดูกาล
โรนัลโด้ ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมนั้นทั้งน้ำตาว่า “ความขมขื่นสำหรับการพ่ายแพ้ครั้งนี้นั้นยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผมเคยพบ เพราะเส้นชัยมันอยู่ใกล้มากแล้วจริง ๆ” โรนัลโด้ กล่าวก่อนที่หลังจากนั้นเขาจะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก และย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ในเวลาต่อมา
โรเซนบร์ก vs วาเลเรนก้า 2004
ลีกนอร์เวย์อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่มากมายนักแต่พวกเขาก็มียักษ์ที่ทุกทีมอยากล้มให้ได้ ทีมนั้นคือ โรเซนบอร์ก สโมสรที่ครองความยิงใหญ่และแทบจะการันตีแชมป์ในทุก ๆ ซีซั่น อย่างไรก็ตามในปี 2004 สโมสรเล็ก ๆ อย่าง วาเลเรนก้า เปิดหน้าท้าทายพี่ใหญ่ และทำได้ดีจนถึงเกมสุดท้าย
วาเลเรนก้า ทำเอากระแสของกองเชียร์เฉพาะกิจเพิ่มขึ้นอีกเป็นกองในซีซั่นนั้น พวกเขาเป็นบอลรองที่เล่นแบบรู้จักตัวเอง สร้างพื้นฐานจากเกมรับ แม้จะยิงประตูได้ไม่มากนัก แต่ในฤดูกาลนั้น วาเลเรนก้า ก็เสียประตูแค่ 22 ลูกจาก 26 เกมที่ลงสนามเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้พวกเขาได้ลุ้นจนวินาทีสุดท้ายของฤดูกาล
สถานการณ์ตอนนั้น โรเซนบอร์ก เล่น 25 เกม มี 48 แต้ม ประตูได้เสีย +15 ขณะที่ วาเลเรนก้า ก็ทำได้เท่ากันเป๊ะทั้งคะแนนและผลต่างประตู ดังนั้นเกมสุดท้ายจึงมีโจทย์ว่าพวกเขาจะต้องยิงคู่แข่งให้ได้มากที่สุด ทีมไหนชนะได้มากกว่าทีมนั้นก็จะได้แชมป์แน่นอน
วาเลเรนก้า ที่เป็นบอลเกมรับสวมหัวใจสิงห์ใส่นักเตะเกมรุกลงมาเต็มพิกัด พวกเขาลงสนามพบกับ สตาเบ็ก จนได้ทุกสิ่งที่ต้องการ พวกเขาออกนำไปถึง 3-0 นี่คือจำนวนที่น่าจะเพียงพอต่อการเป็นแชมป์ แต่อีกฝั่งความโหดร้ายของยักษ์ใหญ่ โรเซนบอร์ก ก็ได้แสดงออกมาให้ทุกคนได้เห็นเช่นกัน
โรเซนบอร์ก ลงสนามพบกับ ลีน … โดยเกม ๆ นี้แข่งก่อนหน้าของเกมระหว่าง วาเลเรนก้า กับ สตาเบ็ก อยู่ 5 นาที และ โรเซนบอร์ก ทำให้ทุกประตูของ วาเลเรนก้า แทบไม่มีค่าอะไรเลย พวกเขาชนะด้วยสกอร์ 4-1 แม้ผลต่างประตูได้เสียจะจบที่ +18 เท่านั้น แต่เมื่อนับประตูที่ยิงได้ โรเซนบอร์ก เป็นฝ่ายทำได้ดีกว่า … แต่ที่น่าเจ็บปวดสำหรับผู้ท้าชิงอย่าง วาเลเรนก้า คือ ประตู 4-1 ของ โรเซนบอร์ก ที่เกิดขึ้นมาจากฝีเท้าของ โฟรเด ยอห์นเซ่น ที่ยิงได้ในนาที่ 89 … ปิดตำนานการลุ้นแชมป์ของ วาเลเรนก้า ไปอย่างน่าเสียดาย
บริสตอล โรเวอร์ส vs นอร์ธแฮมป์ตัน 2021-22
คู่นี้อาจจะหลุดคอนเซ็ปต์ “แย่งแชมป์นัดสุดท้าย” ไปสักหน่อย แต่รับรองว่าความมันและการพลิกล็อกนั้นไม่แพ้คู่อื่น ๆ ที่เรายกยอดมาอย่างแน่นอน และเหนือสิ่งอื่นใดมันเพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ในซีซั่นที่เพิ่งจบลงไปนี้อีกด้วย
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเกม ลีก ทู ฟุตบอลระดับดิวิชั่น 4 ของอังกฤษ กฎของฟุตบอลลีกทูคือทีมที่จะเลื่อนชั้นแบบอัตโนมัติคือทีมอันดับ 1-3 ส่วนอันดับ 4-7 จะต้องไปเล่นรอบเพลย์ออฟที่ยากและหนักหน่วงกว่ากันเยอะ
พระเอกของเราคือ บริสตอล โรเวอร์ส ทีมขาประจำของลีกที่ไม่เคยเลื่อนชั้นมานานโข พวกเขาไม่เคยอยู่ในอันดับเลื่อนชั้นมาตลอดฤดูกาล วนเวียนอยู่ที่อันดับ 4-7 มาตลอด แต่ก็พยายามที่จะทำแต้มไล่ทีมอันดับ 3 อย่าง นอร์ธแฮมป์ตัน จนวันสุดท้ายของฤดูกาล และก่อนจะลงเล่นเกมสุดท้ายทั้งสองทีมมีแต้มเท่ากัน แต่ บริสตอล โรเวอร์ส เป็นรองลูกได้เสียที่ตามหลังถึง 5 ลูก นั่นคืองานยากระดับมิสชั่นอิมพอสซิเบิลเลยก็ว่าได้
เมื่อเกมนัดสุดท้ายเริ่มขึ้น นอร์ธแฮมป์ตัน รักษาทรงสุดฤทธิ์ พวกเขาประคองตัวเอาชนะ บาร์โรว์ 3-1 แค่นี้ก็น่าจะมากพอแล้ว เพราะประตูได้เสียกลายเป็น +7 ทว่าเกมอีกสนามที่ บริสตอล โรเวอร์ส เปิดบ้านพบกับบ๊วยของลีกอย่าง สคันธอร์ป ก็เกิดปรากฏการณ์สนามแตกขึ้น
บริสตอล เตรียมใจมาตายสำหรับเกมนี้แล้ว พวกเขาใส่นักเตะตัวรุกที่ดีที่สุดและเปิดเกมบุกตั้งแต่วินาทีแรก ซึ่งในครึ่งแรกพวกเขายังนำอยู่แค่ 2-0 เท่านั้น แน่นอนว่าจบสกอร์นี้พวกเขาจะไม่ได้เลื่อนชั้นอัตโนมัติแน่ แต่เมื่อครึ่งหลังมาถึงมหกรรมไล่ฆ่าก็เกิดขึ้น บริสตอล ยิงเป็นเข้า ยิงเป็นเข้า ตั้งแต่นาทีที่ 53, 61, 76, 79 ทำให้สกอร์นำเป็น 6-0 … เหลืออีกแค่ 10 นาทีสุดท้าย บริสตอล ก็เทหมดหน้าตักโดยได้ครองบอลถึง 79% และมาได้ประตูที่พวกเขาต้องการในนาทีที่ 85 … 7-0 ตามเป้า พวกเขาเลื่อนชั้นได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
เรื่องนี้อาจจะดูไม่น่าแปลกใจนักเพราะคนที่คุมทีม บริสตอล คือ โจอี้ บาร์ตัน อดีตแข้งเลือดร้อนของ แมนฯ ซิตี้ และ นิวคาสเซิล โดย บาร์ตัน ในเวอร์ชั่นกุนซือให้สัมภาษณ์หลังเกมแบบสุดเหวี่ยงว่า “ผมไม่เคยคิดว่าเราจะต้องชนะ 7-0 ผมหวังว่า บาร์โรว์ จะช่วยต้าน นอร์ธแฮมป์ตัน ได้ … แต่เมื่อไม่ได้เราก็ต้องลงมือทำมันเสียเองในท้ายที่สุด แบบนี้มันง่ายกว่าไหม ?” บาร์ตัน กล่าว ก่อนจะโดนลูกทีมลากไปเทแชมเปญราดหัวฉลองชัยที่สุดเหลือเชื่อของสโมสร
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ vs ลิเวอร์พูล 2021-22
ไม่ต้องอธิบายกันเยอะ เพราะนี่คือสถานการณ์ที่ถูกยกย่องให้เป็นเกมนัดสุดท้ายที่เร้าใจที่สุดของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเลยก็ว่าได้
2 ทีมที่ดีที่สุดใน 5 ปีหลัง แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา และ ลิเวอร์พูล ของ เยอร์เกน คล็อปป์ ดวลเดือดไล่บี้และแสดงทุกสิ่งที่แต่ละทีมมีออกมาอย่างเหลือเชื่อ พวกเขารีดมาตรฐานที่ทิ้งห่างทีมอื่น ๆ แบบสุดลูกหูลูกตาในซีซั่น ทำให้ต้องมาวัดกันในเกมสุดท้ายของซีซั่น ด้วยแต้มที่ แมนฯ ซิตี้ มีมากกว่า 1 คะแนน
ถ้า เรือใบสีฟ้า ชนะทุกอย่างก็จบ ขณะที่ ลิเวอร์พูล นอกจากจะต้องเอาชนะในแมตช์ของตัวเองแล้ว พวกเขายังต้องพึ่งพา แอสตัน วิลล่า ที่นำโดยกุนซือที่เป็นตำนานนักเตะของพวกเขาอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด และอดีตแข้งขวัญใจแฟนบอลหงส์แดงอย่าง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่
เมื่อเกมสุดท้ายเริ่มขึ้นทั้งสองทีมออกอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ลิเวอร์พูล จัดทีมชุดผสมเพราะมีศึกใหญ่นัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับ เรอัล มาดริด รออยู่ ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ จัดเต็มเพราะไม่เหลือรายการใดให้ลุ้นแล้ว
หากเป็นเกมปกติ การเจอกับ วิลล่า คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับ แมนฯ ซิตี้ และการเจอกับ วูล์ฟส์ คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงสำหรับ ลิเวอร์พูล แต่ความกดดันบันดาลได้ทุกอย่าง แมนฯ ซิตี้ เจาะยังก็ไม่เข้า ผ่านบอลขาด ๆ เกิน ๆ แบบที่ไม่เคยเป็นมาตลอดทั้งซีซั่น ขณะที่ หงส์แดง เล่นไปเพียงแค่ 3 นาทีก็พลาดท่าให้ วูล์ฟส์ บุกมาขึ้นนำ 1-0 จากประตูของ เปโดร เนโต้
สถานการณ์เข้าทาง แมนฯ ซิตี้ ได้สักพัก แต่พวกเขาก็เจอทีเด็ดลูกทีมของ เจอร์ราร์ด ในช่วงท้ายครึ่งแรก แม็ตตี้ แคช โหม่งช็อกแฟนบอล เรือใบสีฟ้า ทั้งสนามให้ วิลล่า ออกนำ 1-0 ขณะที่อีกสนามหนึ่ง ลิเวอร์พูล เห็นโอกาสทองและตีเสมอ 1-1 ได้จาก ซาดิโอ มาเน่
ครึ่งหลัง แมนฯ ซิตี้ ยิ่งบุกกลับยิ่งรน พวกเขาโดน คูตินโญ่ ยิงให้ วิลล่า นำไป 2-0 ขณะที่ฝั่งหงส์แดงพอได้ข่าวจากอีกสนามแฟนบอลก็ปลุกเร้าให้นักเตะเดินหน้าฆ่ามัน เพียงแต่ว่า วูล์ฟส์ ก็ยันเอาไว้ได้แม้จะทุลักทุเลไปบ้าง สถานการณ์ตอนนี้เข้าทางหงส์แดงที่สุดแล้ว อีกประตูเดียวเท่านั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่แล้วปรากฏการณ์สนามแตกที่เอติฮัดก็เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาแค่ 5 นาที
นาทีที่ 76, 78 และ 81 ประตูจาก อิลคาย กุนโดกัน, โรดรี้ และ กุนโดกัน อีกลูกตามลำดับ แมนฯ ซิตี้ ที่แทบจะตายไปแล้วกลับมาจากนรก พลิกนำเป็น 3-2 ขณะที่อีกไม่กี่อึดใจ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็ยิงประตูที่ทีมต้องการให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 2-1 … ดาวยิงชาวอียิปต์ดีใจสุดเหวี่ยงวิ่งไปดีใจกับแฟนบอล และมีแฟนบอลคนหนึ่งส่งสัญญาณมือว่าอีกสนามหนึ่ง 3-2 แล้ว … ซึ่งสีหน้าของ ซาลาห์ แสดงให้เห็นถึงความผิดหวังทันที
แม้จะรู้เต็มอกว่า แมนฯ ซิตี้ คงไม่พลาดอีกแล้ว แต่ ลิเวอร์พูล ก็ทำหน้าที่ของพวกเขาให้ดีที่สุดจนนาทีสุดท้าย แอนดี้ โรเบิร์ตสัน มายิงประตูนำห่าง 3-1 จบเกมด้วยชัยชนะแบบที่ไม่มีแฟนบอลลิเวอร์พูลคนไหนกล้าติติงนักเตะที่ลงสนามในวันนี้อย่างแน่นอน
ขณะที่ที่ เอติฮัด สเตเดียม แฟนบอลก็กรูกันลงมาเต็มสนามเมื่อนกหวีดยาวดังขึ้น เป๊ป กวาร์ดิโอลา ร้องไห้และให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าการแข่งขันกับ ลิเวอร์พูล คือการแข่งขันที่ยากที่สุดในชีวิตของเขา และทำให้เขาพร้อมทั้งลูกทีมยกมาตรฐานตัวเองขึ้นมาอีกระดับอย่างแท้จริง