sportpooltoday

โบนุชชี่ & คิเอลลินี่ : ศิลปะแห่งการเข้าคู่ที่กองหลังทั่วโลกควรศึกษา


โบนุชชี่ & คิเอลลินี่ : ศิลปะแห่งการเข้าคู่ที่กองหลังทั่วโลกควรศึกษา

จอร์โจ คิเอลลินี่ ประกาศยุติการรับใช้ทีมชาติอิตาลี หลังจากอยู่ในทีมชุดแชมป์แชมป์ยูโร 2020 และแชมป์กว่าอีก 15 รายการกับยูเวนตุสต้นสังกัด นอกจากนี้ยังยืนยันอีกว่าหลังจากจบฤดูกาลนี้เขาจะโบกมือลา ยูเวนตุส สโมสรที่เขาค้าแข้งมา 17 ปี

การบอกลาครั้งนี้ไม่ได้มีความหมายเฉพาะกับแฟนบอลเท่านั้น แต่การย้ายออกของ คิเอลลินี่ หมายถึงว่าเขาจะปิดตำนาน “คู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่ดีที่สุด” คู่หนึ่งร่วมกับ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ กองหลังรุ่นน้องที่ลงสนามพร้อมกันมามากกว่า 300 เกม 

นี่คือเรื่องราวของพาร์ตเนอร์แนวรับในตำนานที่กุนซืออย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ เคยยกย่องว่า “วิธีการเล่นของทั้งคู่สามารถบรรจุเป็นหลักสูตรการเล่นคู่กองหลังในบทเรียนของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดได้เลย”

อะไรที่ทำให้พวกเขาเข้าขารู้ใจจนทำให้ได้รับการยกย่องขนาดนั้น ติดตามได้ที่ MainStand

จุดเริ่มต้น 

วงการฟุตบอลอิตาลี ขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องการสร้างแนวรับที่ดีที่สุดในแต่ละยุคสมัย บาเรซี่, มัลดินี่, คันนาวาโร และ เนสต้า ชื่อเหล่านี้คือชื่อที่แฟนบอลทั่วโลกให้การยอมรับแบบไม่มีข้อโต้แย้งว่าพวกเขาคือ “คีย์แมน” ของทีมยิ่งกว่านักเตะตัวรุกด้วยซ้ำไป 

หลังจากฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศเยอรมัน อิตาลีได้ทำการปิดตำนานคู่กองหลังอย่าง คันนาวาโร่ และ เนสต้า หลังการคว้าเเชมป์โลกสมัยที่ 4 ของพวกเขา ซึ่งไม่นานหลังจากผ่านความสำเร็จสูงสุดทั้งสองคนก็เริ่มโรยราไปตามอายุ และคำถามต่อมาคือในวันที่วงการฟุตบอลอิตาลีกำลังจะขาด 2 กองหลังที่ดีที่สุดและเข้าขารู้ใจที่สุดไป ทีมชาติอิตาลีจะเป็นอย่างไร ? และมีใครที่จะสามารถมาแทนที่ได้เลยหรือ ?

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง 2 นักเตะที่กำลังจะเป็นคำตอบของพวกเขาก็ได้เริ่มสร้างชื่อเสียงขึ้นมาทีละนิด จอร์โจ คิเอลลินี่ กองหลังจากยูเวนตุส ที่ตระเวนลงเล่นในลีกล่างจากการยืมตัวและถูกดึงตัวกลับมาช่วยทีมในฤดูกาล 2005-06

ขณะที่อีกฝั่งของประเทศ ณ เมือง มิลาน เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ นักเตะที่อายุน้อยกว่า คิเอลลินี่ 2 ปี ถูก อินเตอร์ มิลาน ส่งลงสนามในเกมเซเรีย อา นัดแรกในปีเดียวกัน แต่หลังจากนั้นก็ถูกส่งไปเล่นในลีกล่างกับ เตรวิโซ่ และ ปิซ่า 

ก่อนถึงช่วงยุค 2010s ทั้ง คิเอลลินี่ และ โบนุชชี่ ยังไม่เคยได้ลงเล่นร่วมกันเลยแม้แต่เกมเดียว พวกเขามีปีที่ไม่ค่อยดีนักเช่นเดียวกับผลงานของต้นสังกัดของตนเอง คิเอลลินี่ อาจจะเล่นให้ยูเวนตุสในฐานะตัวหลักมาตลอดนับตั้งแต่ปี 2006 จนถึงปี 2010 แต่ไม่มีปีใดเลยที่ยูเวนตุสสามารถคว้าเเชมป์ลีกสูงสุดได้ เกมรับของทีม ณ เวลานั้นก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมายนักเพราะเขาต้องเปลี่ยนพาร์ตเนอร์อยู่บ่อย ๆ ทั้ง ฌอง อแล็ง บูมซง, โจนาธาน เซบีนา, จอร์จ อันดราเด้, นิโคล่า เลกร็อตตาเญ, มาร์ติน กาเซเรส ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นกองหลังที่ขึ้นชื่อเรื่องความผิดพลาดกันทั้งนั้น 

แม้ในปี 2009-10 เขาจะได้จับคู่กับ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ แต่ ณ เวลานั้น คันนาวาโร่ ก็อายุมากและไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีเหมือนที่เคยเป็น ยูเวนตุสจึงมีเกมรับที่แย่ เป็นได้แค่ไม้ประดับทั้งใน เซเรีย อา และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่บางปีก็ไม่ได้สิทธิ์ไปแข่งเลยด้วยซ้ำ

การเปลี่ยนแปลงของยูเวนตุสมาเริ่มขึ้นเอาในช่วงปี 2010-11 ณ เวลานั้นพวกเขาไปคว้าเอาตัว โบนุชชี่ กองหลังจาก บารี่ มาเสริมทัพ และนั่นก็เป็นปีแรกที่ คิเอลลินี่ และ โบนุชชี่ ได้ลงเล่นร่วมกัน จากนั้นอีก 1 ปีคนที่มาเป็นส่วนผสมสุดท้ายให้ทั้งคู่เริ่มสร้างตำนานพาร์ตเนอร์ก็มาถึง อันโตนิโอ คอนเต้ เข้ามาคุมยูเวนตุสในปี 2011-2012 … จากนั้นเกมรับของยูเวนตุสและอาจจะร่วมถึงทีมชาติอิตาลีก็เปลี่ยนไปในทันที

จาก 3 สู่ 2 

คอนเต้ นั้นเข้ามาพร้อมกับระบบการเล่นประจำตัวของเขานั่นคือ 3-4-3 การเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นตรงนั้นเลยก็ว่าได้ อาจจะพอกล่าวได้ว่า คิเอลลินี่ และ โบนุชชี่ ไม่ใช่กองหลังแถวหน้าหากย้อนเวลาไป ณ จุดนั้น ทั้งคู่แทบไม่ได้ประสบความสำเร็จในรายการใดเลย โดยเฉพาะในรายของ โบนุชชี่ นั้นกว่าจะถูกเรียกว่าเป็นนักเตะตัวหลักจริง ๆ จัง ๆ ของ ยูเวนตุส ก็อายุ 25 ปีเข้าไปแล้ว 

สิ่งที่ คอนเต้ วิเคราะห์ ณ ตอนนั้นคือ กองหลังทั้ง 3 คนนั้นจะต้องมีส่วนผสมที่ลงตัว 1 คนต้องแข็งแกร่งเป็นผู้นำในเกมรับ คนนี้เขาวางให้เป็นหน้าที่ของ คิเอลลินี่ คนที่ 2 คือคนที่มีความเร็วสามารถช่วยซ้อนตำแหน่งให้คนอื่นได้และยังสามารถผ่านบอลได้ดี คนนี้เป็นหน้าที่ของ โบนุชชี่ และคนสุดท้ายคือกองหลังตัวใหญ่ยีนตำแหน่งและอ่านทางบอลดี ตรงจุดนี้ คอนเต้ ได้นำตัว อันเดรีย บาร์ซาญี่ กองหลังรุ่นพี่ของทั้งคู่มารับบทบาทดังกล่าว และจากนั้นยูเวนตุสก็สามารถกลับมาคว้าเเชมป์ลีกได้ครั้งแรกในรอบ 6 ปี

“จอร์โจเป็นคนที่เชื่อมพวกเราไว้ด้วยกัน เขาให้อะไรกับพวกเรามากมาย นอกเหนือจากความสัมพันธ์ที่เรามีในสนามแล้วเขายังเป็นผู้นำแม้กระทั่งในห้องแต่งตัว เขาคือคนที่มีส่วนของความเป็นนักกีฬามืออาชีพและส่วนของความเป็นมนุษย์ผสมกันอย่างสมดุล” บาร์ซาญี่ กล่าวถึง คิเอลลินี่ 

“เขาพยายามจะทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของยูเวนตุส เมื่อคุณมองดูเขาคุณจะเข้าใจทันทีว่าหมอนี่อยากให้ทีมชนะขนาดไหน ในขณะเดียวกันเขาคือคนที่เห็นคุณค่าของคุณในฐานะมนุษย์ก่อนเรื่องการเป็นนักฟุตบอล เขาซื้อใจคุณได้และเขาจะให้ความมั่นใจกับคุณทันทีที่ได้เล่นด้วยกัน” 

แม้ คอนเต้ จะออกไปแต่ยูเวนตุสที่ถูกตั้งลำโดย 3 ปราการหลัง BBC ก็พาทีมคว้าเเชมป์ลีกได้ติดต่อกันถึง 8 สมัย และเมื่อมาถึงฤดูกาล 2018-19 บาร์ซาญี่ก็ประกาศแขวนสตั๊ดไปก่อน ยูเวนตุสกำลังจะสูญเสีย 1 ใน 3 กองหลังที่ดีที่สุดผู้พาทีมประสบความสำเร็จ ทว่าเรื่องดังกล่าวหลังจากนั้นกลับไม่ได้เป็นปัญหาเลย เพราะเมื่อความสัมพันธ์ของ คิเอลลินี่ และ โบนุชชี่ สามารถใช้คำว่า “พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน” ได้แล้ว ต่อให้ต้องเล่นระบบเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 2 ตัวก็ไม่ใช่ปัญหา 

คิเอลลินี่ และ โบนุชชี่ พัฒนาขึ้นกว่าสมัยฤดูกาล 2010-11 ที่พวกเขาจับคู่กันเป็นครั้งแรกแบบหลังมือเป็นหน้ามือ ย้อนกลับไปตอนนั้นจังหวะหมูหกหรือความผิดพลาดง่าย ๆ อาจจะมีให้เห็นบ้าง แต่ในวันที่ทั้งสองอายุเริ่มมากขึ้นและกลายเป็นผู้เล่นตัวเก๋า พวกเขาก็ได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาคือการจับคู่ที่ดีที่สุดของฟุตบอลอิตาลี หลังจากหมดยุคของ คันนาวาโร่ และ เนสต้า อย่างแท้จริง

ศิลปะแห่งเกมรับ 

ทุกคนรู้ดีว่าหน้าที่ของผู้เล่นเกมรับคือการสกัดกั้นแนวรุกคู่ต่อสู้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ทุกคนต่างมีแนวทางของตัวเอง ทว่าวิธีการเล่นแบบพาร์ตเนอร์ของ คิเอลลินี่ และ โบนุชชี่ นั้นมีรายละเอียดลึก ๆ ยิ่งกว่าเรื่องในสนาม พวกเขาทำการบ้านทุกอย่าง ทั้งเทคนิค แทคติก และกำลังภายใน ซึ่งคุณก็คงจะได้เห็นการตัดสินใจตัดฟาวล์หรือตุกติกแบบเนียน ๆ ของทั้งคู่เสมอ … สิ่งเหล่านี้ถูกเรียกว่า “ศิลปะแห่งเกมรับ” 

“ฟุตบอลคือเรื่องของความเปลี่ยนแปลง แต่คุณจะทำได้ดีแค่ไหนกับตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ คนที่เล่นเคียงข้างคุณนั้นมีผลมาก ๆ” คิเอลลินี่ บอกเล่าถึงความสำคัญของบทบาทพาร์ตเนอร์ระหว่างเขาและโบนุชชี่ ซึ่งเขาก็สรุปในตอนท้ายว่า “ผมคิดว่าผมรู้จักโบนุชชี่ดียิ่งกว่าเมียของผมอีก”  

ขณะที่หลังจากนั้นไม่นาน โบนุชชี่ ก็ตอบกลับว่า “เวลาคุณเล่นคู่กับกองหลังคนอื่น ๆ คุณจะต้องคิดและคำนวณสถานการณ์ตลอดเวลา แต่สำหรับ คิเอลลินี่ นั้นสบายเลย ผมไม่ต้องเอาสมองไปใช้คิดอะไรให้ฟุ้งซ่าน ผมรู้จักเขาดี และเราก็รู้จักวิธีการเล่นของกันและกันเป็นอย่างดี”

แม่ของ อัลบาโร โมราต้า กองหน้าของ ยูเวนตุส เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าวันแรกที่เธอเจอกับ คิเอลลินี่ เธอแปลกใจมาก เพราะ คิเอลลินี่ เป็นคนสุภาพอ่อนโยนกว่าที่เธอคิด นอกจากนี้ คิเอลลินี่ ยังจบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์และพาณิชย์ รวมถึงเคยเขียนหนังสือขายมาเเล้ว อย่างที่บาร์ซาญี่และแม่ของโมราต้าบอก คิเอลลนี่ คือตัวแทนของความสงบ ไตร่ตรอง ทว่าเมื่ออยู่ในช่วงของการแข่งขัน คิเอลลินี่ จะเปลี่ยนเป็นอีกคนที่ดุดัน มีภาพลักษณ์ของผู้นำ ซึ่งเรื่องนี้ตัวของ คิเอลลินี่ ก็เขียนไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของเขาว่า “เขาตั้งใจทำให้เป็นแบบนั้น”

“เขาเขียนในอัตชีวประวัติของเขาว่า เพื่อให้ตัวเองมีประโยชน์กับทีมที่สุด เขาจึงปรับสไตล์ของตัวเองให้บู๊ล้างผลาญเมื่ออยู่ในสนาม ทำตัวเป็นคนที่แบกสภาวะจิตใจของเพื่อนร่วมทีมให้รู้สึกสบายใจได้ตลอดเวลา คุณคงได้เห็นในเกมรอบตัดเชือกยูโร 2020 ที่ อิตาลี เจอกับ สเปน คิเอลลินี่ยิ้มกว้างและหัวเราะอย่างสบายใจ หลายคนอาจจะมองว่านั่นคือการกดดันคู่แข่ง แต่ความจริงแล้วนั่นคือวิธีของคิเอลลินี่ เขาแค่อยากสนุกกับตัวเองเท่านั้นแหละ” รอรี่ สมิธ จาก นิวยอร์กไทม์ส กล่าว 

ขณะที่ โบนุชชี่ ที่เป็นลูกคู่ของ คิเอลลินี่ นั้นไม่ได้ถูกฝึกมาให้เป็นผู้นำตั้งแต่แรก เขาคือนักเตะที่ต้องดิ้นรนเพื่อลงสนามตั้งแต่อายุยังน้อย และเขาก็สร้างความผิดพลาดบ่อยมาก ๆ ในช่วงแรก และเป็น เฟอร์รารินี่ คนเดิมที่เล่าย้อนความไปว่า กว่าที่โบนุชชี่จะเป็นเหมือนนักรบดุดันเกรี้ยวกราดในสนาม เขาโดนต่อว่าและสั่งสอนมาหลายครั้งมาก โดย เฟอร์รารินี่ ที่เป็นโค้ชเรื่องจิตวิทยา เล่าต่อว่าวิธีการพัฒนาสภาพจิตใจของโบนุชชี่นั้นแตกต่างจากคนอื่นมาก 

ทุกครั้งที่ โบนุชชี่ เล่นผิดพลาดทำผลงานแย่ วิธีที่ดีที่สุดไม่ใช่การปลอบประโลม แต่ เฟอร์รารินี่ พบว่ามันคือการลากคอเขาเข้าไปในห้องส่วนตัวเเละเริ่มด่าทอ ดูถูก ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่โบนุชชี่ทำ ว่ากันว่าถึงขั้นที่มีการใช้หมัดกระทุ้งเข้าไปที่ท้องด้วยซ้ำ … ซึ่งนี่คือวิธีที่โบนุชชี่เองก็ยินดีจะรับมัน และยอมรับว่ามันคือวิธีที่ทำให้เขากลายเป็นคนที่ดุดันไม่กลัวใครเมื่ออยู่ในสนาม 

“ผมทำแบบนี้เพื่ออะไรน่ะเหรอ ? ก็เพราะ เลโอ ต้องการเอาชนะคำดูถูกเหล่านี้ให้ได้ เพราะปกติเขาจะเป็นคนสบาย ๆ ไม่สนคำติติงหรือคำวิจารณ์จากไหนเลย ดังนั้นผมจึงต้องสอนเขาอีกแบบ บี้เขาเหมือนกับเขาเป็นทหารนี่แหละ” เฟอร์รารินี่ กล่าว 

ประเด็นคือพวกเขาเล่นคู่กันมาตั้งแต่ปี 2010 จนถึงปี 2022 ผ่านมา 12 ปี ไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะรู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี คิเอลลินี่ นั้นเป็นพี่ใหญ่แต่ก็ไม่ได้วางตัวเป็นรุ่นพี่แต่อย่างใด ทั้งคู่อยู่กันเเบบเพื่อนซี้มากกว่า ซึ่ง โบนุชชี่ ก็เคยบอกว่าพวกเขาไม่ได้แค่ซ้อมเกมรับด้วยกัน แต่พวกเขายังเข้าขารู้ใจแม้กระทั่งการตบมุก การรวมหัวกันแกล้งรุ่นน้องในทีมหรือสตาฟคนอื่น ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศสนุกสนานในทีม พวกเขาทั้งคู่คือตัวแสบที่สนุกกับวิธีการเอาชนะคู่แข่งอย่างแท้จริง

คนหนึ่งอยากจะเอาชนะ ชอบการเข้าปะทะ ชอบเล่นบทโหด ตะโกนสั่งเพื่อน มีอารมณ์ร่วมกับเกมตลอดเพื่อกระตุ้นเพื่อร่วมทีม ส่วนอีกคนก็สนุกกับการเล่น การไล่บี้คู่แข่ง การได้ดูตัวใหญ่ในสนาม ทำให้ใครมองเข้ามาและเห็นพวกเขาเป็นเหมือนกำแพงที่ใครก็ห้ามผ่าน … คุณสามารถเห็นอารมณ์ร่วมของทั้ง โบนุชชี่ และ คิเอลลินี่ ได้เสมอ พวกเขาตะโกนใส่หน้า ชนหมัด และกระโดดเอาอกชนกันตลอดแทบทุกเกม พวกเขาพยายามสัมผัสกันและกันและส่งต่อความเร่าร้อนให้ต่างฝ่ายต่างสนุกกับทุกวินาทีที่เกิดขึ้นในสนามแม้ทีมจะโดนคู่แข่งบุกกดดันแค่ไหนก็ตาม 

ยกตัวอย่างเช่นในปี 2014 ที่ ยูเวนตุส ชิงถ้วย โคปปา อิตาเลีย กับ โรม่า ในเกมนั้นมีเรื่องเล่าอีกครั้งจาก เฟอร์รารินี่  โดยเขาเล่าว่า คิเอลลินี่ และ โบนุชชี่ ได้กินกระเทียมไปคนละกลีบ และบอกว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนทหารโรมันจะกินกระเทียมเพื่อให้พวกเขาแข็งแรง แข็งแรง และตื่นตัว ซึ่งความจริงแล้วประโยชน์ของกระเทียมที่พวกเขากินในวันนั้นถูกนำไปใช้ประโยชน์อีกทาง “มันเป็นการหายใจและพ่นลมใส่หน้า แชร์วินโญ่ และ ฟรานเชสโก้ ต็อตติ เพื่อสร้างความน่ารำคาญ” และสุดท้ายในเกมนั้น ยูเวนตุส ชนะไป 3-2 และประตูชัยมาจากลูกยิงของโบนุชชี่นั่นเอง

เรื่องนี้อาจจะถูกมาบอกเล่าในแง่มุมของตลก ๆ แต่อันที่จริงฟุตบอล 1 เกมก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ว่าคุณกินกระเทียมก่อนเเข่งหรือไม่ แต่ความจริงคือเกมในวันนั้นบอกอะไรได้หนึ่งอย่างเกี่ยวกับพาร์ตเนอร์คู่นี้ นั่นคือพวกเขาไม่เคยปล่อยผ่านเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าสิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้กลายเป็นผู้ชนะ พวกเขาก็ยินดีจะทำมัน… 

หากจะหาใครสักคนที่เล่าถึงศิลปะเกมรับที่แสนลงตัวของทั้งคู่ได้ดีที่สุด เชื่อว่า อันเดรีย บาร์ซาญี่ คือคน ๆ นั้น โดย บาร์ซาญี่ ที่เล่นร่วมกับทั้งคู่มา 8 ปี สรุปที่มาของการเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีที่สุดของ คิเอลลินี่ และ โบนุชชี่ ไว้ว่า เมื่ออยู่นอกสนามพวกเขามีคาแร็กเตอร์ที่แตกต่างและขัดเเย้งกัน แต่เมื่อลงสนามทั้งคู่เป็นหนึ่งเดียวกันและใช้ความแตกต่างของตัวเองช่วยอุดรอยรั่วของอีกคนได้อย่างไร้ที่ติ

“คิเอลลินี่ คือตัวแทนของความดุดัน โบนุชชี่ คือผู้เชี่ยวชาญด้านจังหวะ … จอร์โจ้เป็นกองหลังที่ต้องการเข้าปะทะแบบถึงเนื้อถึงตัว เขาใช้สมองคิดและใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายขับเคลื่อนเพื่อปฏิเสธผู้เล่นฝั่งตรงข้าม ขณะที่ โบนุชชี่ นั้นเป็นกองหลังสมัยใหม่ อ่านเกมเก่ง เข้าใจสถานการณ์โดยรวม … แต่เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือความเป็นมืออาชีพ ความทุ่มเท และการเตรียมความพร้อมของร่างกายและจิตใจ … ทั้งหมดนี้แหละคือความลับอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา” บาร์ซาญี่ กล่าวสรุปได้อย่างครบความ 

ตอนนี้ตำนาน คิเอลลินี่ และ โบนุชชี่ ได้จบลงเเล้ว แต่ศิลปะแห่งเกมรับและการเข้าคู่ที่ทั้งสองคนได้สร้างไว้จะกลายเป็นตำนานที่แฟนบอลทุกคนนึกถึงอย่างแน่นอน นอกจากนี้มันยังเป็นเหมือนบทเรียนที่กองหลังทุกคนบนโลกนี้สามารถศึกษาและเอาไปใช้ได้ เพราะถ้าคุณเป็นหนึ่งเดียวกับคู่หูของคุณได้เมื่อไหร่ ชัยชนะ ความสำเร็จ และการถูกยกย่องก็จะตามมาอย่างแน่นอน