sportpooltoday

ไม่เท่.. แต่เถื่อน : ทำไมฟุตบอลเกมรับอัดหนักจึงไม่มีที่ยืนในโลกลูกหนังสมัยใหม่?


ไม่เท่.. แต่เถื่อน : ทำไมฟุตบอลเกมรับอัดหนักจึงไม่มีที่ยืนในโลกลูกหนังสมัยใหม่?

“ฟุตบอลที่หนักหน่วง ฟุตบอลแทคติกแบบสงครามประสาทของ แอตเลติโก มาดริด ส่งผลดีและผลเสียมหาศาลแก่พวกเขาในตอนนี้ แน่นอนว่าถ้าคุณจะเล่นฟุตบอลแบบนี้ คุณก็หนีคำวิจารณ์ไม่ได้หรอก”

เดฟ แฟร์แรร์ ผู้บรรยายฟุตบอลชื่อดัง กล่าวถึงแอตเลติโก มาดริด ทีมฟุตบอลจากสเปนที่กำลังขึ้นชื่อและถูกวิจารณ์จากแฟนบอลทั่วโลก ถึงการเล่นหนัก เต็มไปด้วยลูกตุกติก และไม่มีน้ำใจนักกีฬา ที่ไม่เป็นที่ถูกใจของคอลูกหนังทั่วโลกในยุคปัจจุบัน

แน่นอนว่าการเล่นหนักและใช้แทคติกสกปรกไม่ใช่เรื่องผิดสำหรับการเล่นฟุตบอล และไม่เคยเป็นเรื่องผิดตามกฎกติกา แถมยังช่วยให้ทัพตราหมีประสบความสำเร็จจนคว้าแชมป์ลา ลีกา เหนือสองทีมยักษ์ใหญ่ของสเปน ทั้ง เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า มาได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้แทคติกแบบนี้จะช่วยให้แอตฯ มาดริด เป็นแชมป์ แต่ในอีกด้านหนึ่ง สโมสรแห่งนี้ก็ต้องยอมรับความเกลียดชังที่เข้ามากับการใช้แทคติกที่ไม่ได้รับการยอมรับจากแฟนบอลยุคใหม่อีกต่อไป และแฟนลูกหนังรุ่นใหม่ก็ไม่ได้มองการเล่นแบบนี้เป็น “แทคติกฟุตบอลเล่นหนัก” แต่มองเป็น “การเล่นฟุตบอลแบบป่าเถื่อน ไร้น้ำใจนักกีฬา” ที่ไม่มีใครอยากชื่นชมอีกต่อไป

ไม่ใช่แค่ แอตฯ มาดริด ทีมเดียวที่ถูกวิจารณ์ แต่ทุกทีมฟุตบอลบนโลกที่ยังคงเล่นหนัก เน้นการเตะคนตามแทคติก เล่นโดยมีลูกตุกติกแบบพยายามยั่วอารมณ์ฝ่ายตรงข้าม จะไม่ได้รับการยอมรับอีกต่อไป 

อะไรคือสิ่งที่แปรเปลี่ยนความคิดของแฟนฟุตบอลยุคใหม่ให้มาต่อต้านการเล่นฟุตบอลสายหนักหน่วง รวมถึงแทคติกตุกติก จนไม่มีที่ยืนได้อย่างไร? ติดตามไปพร้อมกับเรา

การปฏิวัติในวงการฟุตบอลสเปน 

หากจะหาจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น คงต้องย้อนไปในเดือนพฤษภาคมปี 2008 กับเหตุการณ์ที่สโมสรบาร์เซโลน่า ประกาศแต่งตั้งโค้ชหนุ่มอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของสโมสร

1หลังจากนั้นไม่นาน เป๊ป ก็แสดงให้เห็นถึงฟุตบอลที่สวยงามชนิดที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน ด้วยการต่อบอลจากเท้าสู่เท้าที่เหมือนไม่มีวันจบสิ้น จากฝีเท้าของสุดยอดนักเตะสายเทคนิค ไม่ว่าจะเป็นจากแนวรับอย่าง เคราร์ด ปิเก้ มาจนถึงกองกลางอย่าง ชาบี เอร์นานเดซ, เซร์คิโอ บุสเกตส์ และ อันเดรส อิเนียสต้า จนถึงตัวรุกคนสำคัญอย่าง ลิโอเนล เมสซี่

ฟุตบอลของเป๊ปไม่ได้แค่สวยงามอย่างเดียว แต่ยังทรงประสิทธิภาพอย่างมาก ด้วยแทคติกของเขา เราได้เห็น เมสซี่, ชาบี และ อิเนียสต้า กลายเป็นสุดยอดนักเตะของโลกโดยที่ไม่ต้องมีเรื่องของสรีระมาเกี่ยวข้อง แต่เป็นความสามารถด้านเทคนิค มันสมอง และไอคิวในการเล่นฟุตบอลล้วนๆ 

2ประกอบกับการคว้า 3 แชมป์ใหญ่ในปีเดียว ทั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, ลา ลีกา และ โคปา เดล เรย์ ของบาร์เซโลน่า ในฤดูกาล 2008-09 มันคือการปักหมุดหมายว่าฟุตบอลสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยแทคติกที่โฟกัสเรื่องของฟุตบอลล้วนๆ ไม่ต้องมีการเล่นตุกติก เกมจิตวิทยา ขณะที่นักฟุตบอลก็ไม่จำเป็นต้องโหด ต้องดุดัน แต่ใช้เทคนิคความสามารถเฉพาะตัวและมีการเล่นที่สวยงามก็สามารถเอาชนะได้เหมือนกัน

ขณะเดียวกัน ไม่ใช่ว่าเป๊ปจะไม่สนใจเรื่องการเข้าปะทะ แต่แทคติก ติกิ-ตากา ของกุนซือรายนี้ขึ้นชื่อเป็นอย่างมากเรื่องการแย่งบอลกลับคืนมาให้เร็วที่สุด จากกฎของเป๊ปที่บอกว่าต้องแย่งบอลคืนกลับมาให้ได้ภายใน 5 วินาทีเท่านั้น 

แต่ผู้จัดการทีมรายนี้ได้แสดงให้เห็นว่าการแย่งบอลและการเข้าปะทะไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง ไม่ต้องเสียบเปิดปุ่มใส่กัน แต่สามารถดึงเทคนิค ชั้นเชิง และการยืนตำแหน่งที่เหนือกว่ามาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบเพื่อช่วงชิงบอลคืนกลับมา

3พูดง่ายๆคือ เป๊ป กวาร์ดิโอลา และบาร์เซโลน่าของเขาได้ปูทางเอาไว้ว่าการเล่นฟุตบอลคือการเล่นแค่กับลูกฟุตบอลเท่านั้น แทคติค “ติกิ-ตากา” ของเป๊ปให้ความสำคัญทุกอย่างกับแค่ลูกฟุตบอล ทั้งการครองบอล การแย่งบอล และการเคลื่อนที่เพื่อหาลูกฟุตบอล 

แต่ไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่แทคติกของเป๊ปบอกเอาไว้ว่าเราต้องอัดนักเตะฝ่ายตรงข้ามให้หนัก ต้องยั่วยุอารมณ์คู่แข่งให้เสียสมาธิ เขาไม่เคยสนใจเรื่องนั้นแม้แต่นิดเดียว และความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับบาร์เซโลน่าคือหลักฐานชั้นดีที่บอกว่า ทีมฟุตบอลสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่โดยไม่ต้องพึ่งการเล่นหนักหรือลูกตุกติกในสนามเลย

“ผมว่าตอนนั้นเราเล่นฟุตบอลที่โคตรสุดยอดเลย ผมรู้สึกว่าเราโคตรไร้เทียมทานและพร้อมจะออกไปคว้าแชมป์ทุกถ้วย” อันเดรส อิเนียสต้า กล่าวถึงทีมบาร์เซโลน่าชุดที่เปลี่ยนโลกฟุตบอลไปตลอดกาล

สิ่งที่เป๊ปได้สร้างรากฐานขึ้นได้รับการต่อยอดอย่างรวดเร็วโดยทีมชาติสเปน ชุดลุยฟุตบอลโลก 2010 ซึ่งมีแกนหลักมาจากทีมบาร์เซโลน่าของเป๊ป และสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ด้วยการได้แชมป์จากการแข่งขันครั้งนั้น ด้วยการเสียประตูแค่ 2 ประตูตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ 

4

5สเปนคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งนั้นด้วยการเล่นฟุตบอลที่สวยงามไม่แพ้กับบาร์เซโลน่า จนสร้างแฟนคลับของทีมชาติสเปนไปทั่วโลก

ความงดงามของฟุตบอลสเปนเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจน ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์สำคัญในรอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลโลก จากการที่ ไนเจล เด ยอง กองกลางฮาร์ดแมนสายโหดของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ กระโดดถีบอก ชาบี อลอนโซ ยอดกองกลางของสเปนแล้วไม่โดนใบแดง 

ภาพที่แฟนฟุตบอลเห็นกันจนชินตาภาพนี้คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แฟนบอลทั่วโลกเริ่มไม่ต้อนรับการเล่นฟุตบอลแบบหนักหน่วงอีกต่อไป พร้อมมองว่าวิธีการแบบนี้เป็นความป่าเถื่อนที่ไม่จำเป็น เพราะในขณะที่นักเตะเนเธอร์แลนด์ถีบอกเพื่อนร่วมอาชีพ สเปนแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกได้ด้วยการเล่นฟุตบอลที่สวยงามโดยไม่ต้องทำให้ใครเจ็บตัว

6“คูณดูที่จังหวะกระโดดถีบในฟุตบอลโลก 2010 สิ (ไนเจล เด ยอง กระโดดถีบอก ชาบี อลอนโซ และไม่โดนใบแดง) กับดูสิ่งที่เป็ป กวาร์ดิโอลา ทำที่บาร์เซโลนา ผมมองว่านี่คือจุดสุดท้ายที่บอกว่าฟุตบอลแบบฮาร์ดแมนจะไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป”

“ผมคิดว่านี่คือเรื่องที่ทุกคนเข้าใจได้นะ ในเมื่อความสนุกของเกมเปลี่ยนไป เราก็ต้องหาทางปกป้องมันไว้ ทุกวันนี้ฟุตบอลเป็นเรื่องของทักษะ ไม่ใช่ความแข็งแกร่ง” ไคล์ มาร์ติโน นักวิจารณ์ฟุตบอลกล่าว

ดุดันแต่ไม่ทำร้ายใครแบบเยอรมัน

การปฏิวัติของวงการลูกหนังไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสเปนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันเกิดขึ้นไปพร้อมๆกันที่เยอรมัน หลังจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมดังจากลีกสูงสุดเมืองเบียร์ประกาศตั้งโค้ชหนุ่มที่ชื่อ เยอร์เกน คล็อปป์ มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่

7ปรัชญาของ คล็อปป์ ไม่ได้ต่างจาก เป๊ป นั่นคือการให้ความสำคัญที่การแย่งบอลคืนกลับมาให้ไวที่สุดหลังจากที่เสียบอล แต่ฟุตบอลที่ถูกเรียกกันว่า “เกเกนเพรสซิ่ง” ของคล็อปป์จะให้ความสำคัญกับการแย่งบอลคืนกลับมาให้มากที่สุด และนี่คือหัวใจของการเล่นรูปแบบนี้

คล็อปป์ใส่ความดุดันเข้าไปในนักเตะของเขา ผู้เล่นทุกคนจะต้องเปี่ยมด้วยพลังงานและความกระหายในการวิ่งไล่บีบคู่แข่งทุกพื้นที่ของสนาม เพื่อกดดันแย่งลูกบอลคืนกลับมาให้ได้

แต่ความ “ดุดัน” ที่เราพูดถึงกับระบบของคล็อปป์ ไม่ใช่การให้ลูกทีมวิ่งไล่เตะคู่แข่งไปทั่วสนามเหมือนกับการเล่นในแบบฟุตบอลโบราณ แต่เป็นการไล่กดดันโดยไม่ต้องใช้การปะทะแต่เป็นการบีบพื้นที่ให้คู่ต่อสู้เล่นได้อย่างยากลำบาก จนสุดท้ายนักเตะคู่แข่งจะจ่ายบอลเสียกันเองจนคืนบอลกลับมาให้ทีมของคล็อปป์ โดยไม่ต้องพึ่งการเข้าปะทะหรือการสกัดอันหนักหน่วงเพื่อแย่งฟุตบอลคืนกลับมา

8

9“เกเกนเพรสซิ่ง ช่วยทำให้เราได้บอลกลับมาในพื้นที่หน้าประตูของคู่แข่ง ซึ่งเรามีโอกาสได้ประตูทันทีหลังจากแย่งบอลกลับคืนมาได้ด้วยการจ่ายบอลเพียงครั้งเดียว” เยอร์เกน คล็อปป์ อธิบายถึงแทคติคของเขา

คล็อปป์ประกาศศักดาฟุตบอลเกเกนเพรสซิ่งของเขาอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการพาดอร์ทมุนด์จากทีมระดับกลางตารางโผล่พรวดมาคว้าแชมป์บุนเดสลีกา เหนือ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2011 และ 2012 ได้อย่างยิ่งใหญ่ พร้อมกับเป็นการปักธงให้โลกลูกหนังให้เห็นว่า ฟุตบอลที่แข็งแกร่ง ดุดัน และประสบความสำเร็จในยุคใหม่เป็นเช่นไร มันเป็นรูปแบบฟุตบอลที่ไม่ต้องพึ่งพาการเข้าปะทะที่หนักหน่วงหรือการมีแทคติกนอกเกมเลย 

ที่เยอรมันนั้น การเล่นด้วยการเน้นฟุตบอลเพรสซิ่งที่ไม่ได้ใช้การปะทะ แต่ใช้การบีบกดดันเพื่อให้นักเตะคู่แข่งจ่ายบอลเสียพบได้อย่างแพร่หลายในช่วงต้นยุค 2010s โดยเฉพาะกับ บาเยิร์น มิวนิค ของ จุปป์ ไฮย์เกส และ ชาลเก้ 04 ของ ราล์ฟ รังนิก 

ซึ่งทั้งสองสโมสรก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยชาลเก้ของรังนิกคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยของเยอรมันในปี 2011 และเข้าสู่รอบรองชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ในปีเดียวกัน

10ขณะที่ บาเยิร์น มิวนิค กวาด 3 แชมป์ ในฤดูกาล 2012-13 ด้วยการคว้าทั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, บุนเดสลีกา และ เดเอฟเบ โพคาล แถมคู่แข่งในเกมนัดชิงฟุตบอลยูซีแอลก็คือ ดอร์ทมุนด์ ของ เยอร์เกน คล็อปป์ อีกด้วย

วงการลูกหนังเยอรมันได้แสดงภาพให้ทั้งโลกได้เห็นว่า คุณไม่จำเป็นต้องเล่นฟุตบอลสวยงามแบบฝั่งสเปนก็ได้ โดยที่ยังคงสามารถรักษาความดุดันในการเล่นฟุตบอลไว้ได้เช่นเดิม 

แต่ความดุดันในฟุตบอลยุคใหม่ไม่ใช่การไล่เตะขาคน หากแต่เป็นการเพรสซิ่งอย่างมีระบบผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างเข้มข้น การเคลื่อนที่ซึ่งต้องประสานงานกันด้วยทีมเวิร์กที่ยอดเยี่ยมเพื่อชิงบอลของคู่แข่งกลับมา โดยไม่จำเป็นต้องไปเตะขาใครเลยด้วยซ้ำ 

ดังนั้นแล้ว จากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งในสเปนและเยอรมัน จะเห็นได้ว่า ฟุตบอลเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับแทคติกที่โฟกัสแค่กับการเล่นกับฟุตบอลเท่านั้น ไม่ต้องมาหาวิธีการเล่นตุกติกหรือเกมจิตวิทยากับคู่แข่งมาใช้แต่อย่างใด 

11นี่คือการเปลี่ยนให้ฟุตบอลหันมาโฟกัสที่การต่อสู้ด้วยเรื่องของฟุตบอลและแทคติกล้วนๆ ถ้าทีมไหนมีแทคติกที่ดีกว่า มีวิธีการเล่นที่ดึงศักยภาพของนักเตะออกมาได้ดีกว่า คุณก็สมควรเป็นผู้ชนะแค่นั้นจบ 

หมดยุคของการไล่เตะทีมคู่แข่งจนเล่นไม่ไหว นอนถ่วงเวลาอย่างไร้ศักดิ์ศรี หรือเล่นแบบใช้อารมณ์เข้ากดดันคู่แข่งและผู้ตัดสิน ไม่มีใครอยากดุฟุตบอลแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อที่ สเปน และ เยอรมัน ซึ่งยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเกมลูกหนังในแต่ละช่วงเวลาได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ฟุตบอลสามารถประสบความสำเร็จได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งลูกตุกติกแบบนั้น

การปะทะที่เกาะอังกฤษ

หากจะแปรเปลี่ยนค่านิยมของแฟนฟุตบอลทั่วโลก ลีกฟุตบอลที่ส่งผลต่ออิทธิพลของแฟนบอลได้มากที่สุดคือ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวถึงความไม่พอใจกับการใช้แทคติกที่ไม่ขาวสะอาดนอกสนามมาพักใหญ่

12เชลซี คือหนึ่งในทีมที่เคยขึ้นชื่ออย่างมากในการกดดันกรรมการด้วยการให้นักเตะแทบทุกคนในสนามวิ่งไปล้อมกดดันกรรมการเมื่อมีการตัดสินที่ไม่ถูกใจ เพื่อให้ผู้ตัดสินเกิดความหวั่นเกรงและไม่กล้าที่จะเป่าให้เชลซีเสียผลประโยชน์ในการแข่งขัน

แน่นอนว่าช่วงปี 2014-2015 ที่เชลซีกดดันผู้ตัดสินด้วยแนวทางนี้ก็มีความกังวลจำนวนมากว่าจะเป็นภาพไม่ดีของฟุตบอลยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับแทคติกเชิงจิตวิทยาน้อยลง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพแบบนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆในพรีเมียร์ลีกช่วงนั้น และเชลซีก็ยังคงเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากในแนวทางของพวกเขาอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม เมื่อ เป๊ป กวาร์ดิโอลา มารับงานเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามด้วย เยอร์เกน คล็อปป์ ที่ก้าวมาเป็นนายใหญ่คนใหม่ของลิเวอร์พูล ทุกอย่างก็ค่อยๆเปลี่ยนไป 

13เมื่อถึงวันที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของเป๊ป กวาร์ดิโอลา และ ลิเวอร์พูล ของเยอร์เกน คล็อปป์ อยู่ในจุดที่พร้อมจะแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีก (และถ้วยอื่นๆ) ทั้งสองทีมและโค้ชทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายแบบไม่มีใครยอมใคร โดยเฉพาะเกมที่ทีมเรือใบสีฟ้าและหงส์แดงพบกันทีไร คุณภาพของเกมการแข่งขันก็จะสนุกดุเดือดสมราคาการรอคอยของแฟนๆ 

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ แทบทุกเกมที่ทั้งสองฝ่ายพบกัน ทั้งสองทีมสู้กันด้วยแทคติกและคุณภาพของทีมล้วนๆ ไม่มีการเปิดสงครามน้ำลายระหว่างผู้จัดการทีมทั้งสองคน ไม่มีการต่อสู้ด้วยลูกตุกติกมากมายในสนามเหมือนที่เราเคยเห็นจากการปะทะกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล ในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ อาร์แซน เวงเกอร์ 

การต่อสู้กันในสนามอย่างตรงไปตรงมาและให้ทีมที่ดีที่สุดเป็นผู้ชนะ คือสิ่งที่ แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล เลือกทำและยอมรับอย่างเต็มใจ สุดท้ายเราจึงได้เห็นการเคารพกันระหว่างผู้จัดการทีมและนักเตะของทั้งสองทีมโดยไม่ต้องมีดราม่าระหว่างกัน พวกเขาสามารถกอดและจับมือกันได้อย่างเต็มใจเมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง

ทั้ง เป๊ป และ คล็อปป์ ได้เปลี่ยนภาพว่า ต่อให้เป็นทีมคู่ปรับกันจนต้องมาลุ้นแชมป์กันเข้มข้นจนนัดสุดท้ายก็ไม่จำเป็นจะต้องงัดความเกลียดชังมาใช้ ไม่ต้องใช้แทคติกสกปรกเพื่อเอาชนะคู่แข่ง ทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะยอมรับหากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แล้วไปว่ากันใหม่ฤดูกาลหน้า 

14เพราะสุดท้ายทั้ง เป๊ป และ คล็อปป์ ต่างให้ความสำคัญเพียงแค่ว่า พวกเขาทำเต็มที่หรือยังในสนามแข่งขัน เล่นได้ดีพอหรือยัง ถ้าทำเต็มที่แล้ว เล่นได้ดีที่สุดแล้ว แต่ไม่ดีพอที่จะเป็นแชมป์ ก็ไม่มีอะไรให้เสียใจ และพวกเขาไม่ขอทำอะไรมากไปกว่านี้ ต่อให้พวกเขาเปิดสงครามประสาทและเพิ่มลูกตุกติกลงไปในสนามแข่งแล้วอาจได้เป็นแชมป์ พวกเขาก็จะไม่ทำ

ในเมื่อสองผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกลูกหนังยุคปัจจุบันกับสองทีมที่ดีที่สุดในลีกที่โด่งดังที่สุดแสดงให้เห็นแล้วว่า การต่อสู้เพื่อเป็นแชมป์ในเกมลูกหนังยุคใหม่แค่ต่อสู้กันในเกมฟุตบอลก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งที่ไม่ขาวสะอาดเพื่อชัยชนะ แต่เราสามารถเป็นผู้แพ้ที่ดีได้ และสามารถภูมิใจกับการเล่นที่ดีภายใต้ปรัชญาฟุตบอลที่ยึดมั่น 

สิ่งที่คล็อปป์, เป๊ป และผู้จัดการทีมหลายๆคนได้สร้างขึ้นมา คือการเปลี่ยนภาพให้แฟนบอลหันมาโฟกัสกับการเล่นฟุตบอลที่สวยงามและเป็นสุภาพบุรุษมากขึ้น มากกว่าจะภูมิใจกับชัยชนะที่ไม่ขาวสะอาด และไม่มีใครอยากเห็นสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไปในวงการฟุตบอลยุคปัจจุบัน

15มีอีกหลายวิธีที่จะคว้าชัยชนะในเกมฟุตบอลโดยไม่ต้องพึ่งพาการปะทะที่หนักหน่วงเสี่ยงอันตราย การนอนถ่วงเวลา หรือลูกตุกติกต่างๆ ซึ่งได้มีการพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าสามารถทำได้จริง 

บางทีอาจถึงเวลาแล้วที่โลกฟุตบอลจะต้องทิ้งความไม่ขาวสะอาดในเกม หันมาสู้กันแค่เรื่องแทคติกในสนาม และยอมรับการเป็นผู้แพ้อย่างสง่างาม คงเป็นสิ่งที่ดีกว่าการเป็นผู้ชนะที่โลกรังเกียจ