sportpooltoday

ทุบสถิติ 2 ครั้งรวด : การขอขึ้นเงินเดือนแบบไม่ต้องพูดของ “รอย คีน”


ทุบสถิติ 2 ครั้งรวด : การขอขึ้นเงินเดือนแบบไม่ต้องพูดของ "รอย คีน"

ย้อนกลับไปก่อนยุค 2000s นักเตะระดับหัวแถวของพรีเมียร์ลีกกว่าจะได้ค่าเหนื่อยแตะ 3-4 หมื่นปอนด์ต่อสัปดาห์ ก็ต้องพยายามเรียกร้องและกดดันสโมสรอย่างหนัก เพราะมันเป็นจำนวนเงินที่เยอะเกินว่าที่จะมีทีมไหนอนุมัติผ่านได้ง่าย ๆ

อย่างไรก็ตามมีนักเตะที่ไม่ได้อยู่ในระดับ “สตาร์ลูกหนัง” ในแบบที่คนไม่ดูฟุตบอลก็ยังรู้จัก แต่สามารถสร้างรายรับจากเรื่องของฟุตบอลเพียว ๆ ได้เหยียบ 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์เป็นคนแรกในเกาะอังกฤษ คน ๆ นั้นคือ รอย คีน สุดยอดกัปตันอันดับ 1 ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 

เราจะย้อนเวลากลับไปในวันที่ แมนฯ ยูไนเต็ด และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อยู่ในสถานะ “ยอมจ่ายทุกราคา” เพื่อนักเตะคนนี้

รอย คีน ขอขึ้นเงินเดือนแบบไหน ทำไมเขาจึงได้ในสิ่งที่เขาต้องการเสมอ ? ติดตามได้ที่ Main Stand

เริ่มด้วยใจ ใช่เงินทอง 

หนึ่งสิ่งที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดกุนซือผู้สร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บอกกล่าวผ่านสารคดีเรื่อง Sir Alex Ferguson: Never Give In เสมอคือ เบื้องหลังความสำเร็จของนักเตะที่เป็นลูกทีมของเขานั้นเกิดขึ้นตั้งแต่การเลือกนักเตะเข้าสู่ทีม 

เฟอร์กี้ เล่าว่ากว่าที่เขาจะเลือกนักเตะแต่ละคนเขาตั้งใจเลือกและใช้เกณฑ์การตัดสินหลายอย่างมาก ตั้งแต่การเข้าถึงปูมหลังและตัวตนของนักเตะคนนั้น ๆ หนึ่งในนักเตะที่เฟอร์กี้ชอบที่สุดคือนักเตะที่ปูมหลังมาจากความเป็นชนชั้นแรงงาน เพราะพวกเขาจะเป็นคนที่มีใจสู้ มีหัวจิตหัวใจของผู้ชนะ รวมถึงเป็นคนที่จะใช้โอกาสที่ตัวเองได้รับอย่างคุ้มค่าที่สุด 

 

“ฟุตบอลคือเรื่องของชีวิต พื้นเพของเราคือสิ่งสำคัญ นักฟุตบอลทุกคนมีตัวตนของตัวเอง” เซอร์อเล็กซ์ กล่าวในสารคดี 

ด้วยสาเหตุนี้เองทำให้ปี 1993 เฟอร์กี้ ได้ร้องขอบอร์ดบริหารอนุมัติเงินก้อนโตที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษในตอนนั้นที่ 3.75 ล้านปอนด์นำไปการซื้อตัว รอย คีน มิดฟิลด์ของ นอตติงแฮม ฟอเรสต์

คีน เติบโตในครอบครัวชนชั้นแรงงานชาวไอริช พ่อของเขาเป็นพนักงานของโรงงานกลั่นเบียร์ Murphy’s Irish Stout และต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเลี้ยงลูกชายให้เติบโต ตลอดจนส่งเสริมให้เป็นนักกีฬา โดย คีน เอาจริงเอาจังกับกีฬาชกมวยเป็นอย่างแรก เขาเคยชกบนเวทีมาตรฐานมา 4 ไฟต์ ก่อนที่จะหันมาเอาดีทางด้านฟุตบอล ก่อนได้สัญญากับสโมสรกึ่งอาชีพอย่าง Cobh Ramblers ก่อนที่เขาจะถูกตำนานกุนซือของ นอตติงแฮม ฟอเรสต์ อย่าง ไบรอัน คลัฟ ดึงตัวมาร่วมทีมในฤดูกาล 1990-91 

เฟอร์กี้ ติดตามคีนมาตั้งแต่ปี 1990 ที่ ฟอเรสต์ ของ คีน บุกมาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ของเขาได้ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในเกมนั้น คีน ที่ยังเป็นดาวรุ่งโนเนมเล่นด้วยความกล้าหาญ ไล่อัดไล่บวกกับนักเตะของแมนฯ ยูไนเต็ด ได้อย่างสนุก และนั่นทำให้ เฟอร์กี้ สั่งให้แมวมองของทีมติดตามนักเตะคนนี้อย่างใกล้ชิดมาตลอด

 

จนกระทั่งปี 1993 มีเหตุให้ เฟอร์กี้ ต้องเร่งเครื่องเพื่อคว้า คีน มาให้ได้ เพราะ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ที่นำทัพโดยกุนซือ เคนนี่ ดัลกลิช กำลังอยากได้ คีน ไปเสริมทัพ หลังจากได้งบประมาณก้อนโตมาจาก แจ็ค วอล์กเกอร์ เจ้าของสโมสรที่พร้อมสร้างทีมเพื่อการเป็นแชมป์ 

คีน ในวัย 21 ปีเข้าพบกับ ดัลกลิช แล้ว และในตอนนั้นคีนไม่ได้มีเอเยนต์เป็นของตัวเอง มีการเจรจาเริ่มขึ้นและคีนขอเงินค่าเหนื่อยไปปีละ 500,000 ปอนด์ จากแบล็คเบิร์น ตัวของดัลกลิชเองก็ชอบคีนมาก และเรียกร้องให้สโมสรมอบสิ่งที่คีนต้องการ แต่สโมสรกลับต่อรองให้เหลือปีละ 400,000 ปอนด์ต่อปี … ซึ่งแน่นอนสำหรับนักเตะอายุ 21 ปี ค่าเหนื่อยเท่านี้ถือว่าไม่น้อย คีนเกือบจะตกลงกับแบล็คเบิร์นอยู่แล้ว แต่เมื่อข่าวนี้ไปถึง เฟอร์กี้ การกระชากตัวที่เปลี่ยนประวัติศาสร์ของแมนฯ ยูไนเต็ด ก็เริ่มขึ้น 

เฟอร์กี้ นัดคีนมาพบและมารับคีนเองถึงสนามบินแมนเชสเตอร์ ทั้งคู่เล่นสนุกเกอร์พร้อมคุยเรื่องธุรกิจและตัวเลขไปพร้อม ๆ กัน แต่ละเฟรมที่ผ่านไปทำให้คีนยิ่งชอบเฟอร์กี้มากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ตอนแรกใจเขาจะลอยไปที่ดัลกลิชและแบล็คเบิร์นแล้วก็ตาม

“ผมชอบเขาในทันที” คีน กล่าวถึงการคุยกับ เฟอร์กี้ ครั้งแรก “นี่คือชายที่มีอิมแพ็กต์มาก ๆ ในแต่ละคำพูดของเขา เขาเป็นคนที่ตลกและเต็มไปด้วยความมั่นใจ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังหิวกระหายและอยากจะได้ถ้วยแชมป์มาก”

 

การอ้างอิงจาก The Guardian บอกว่า เฟอร์กี้ ไม่ได้โอ๋และบอกคีนว่าสโมสรจะประเคนทุกอย่างให้อย่างที่เขาต้องการ แต่เขาเล่าถึงโปรเจ็กต์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด หลังจากนี้ว่า “ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคุณยูไนเต็ดก็จะครองความยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษอยู่ดี แต่ถ้าทีมของเรามีคุณ … เชื่อเถอะว่าเราจะไปไกลถึงการเป็นแชมป์ยุโรปได้แน่” เท่านั้นเอง รอย คีน ก็กลายเป็นนักเตะของ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยค่าเหนื่อยที่น้อยกว่าที่ทาง แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส เสนอถึง 25%  

“ผมรับตอนอยู่กับ ฟอเรสต์ อยู่ที่ปีละ 250,000 ปอนด์ ซึ่งผมก็ว่ามันก็เจ๋งมากแล้ว แต่ แบล็คเบิร์น เสนอให้ผมถึง 4 แสน ผมเกือบจะตกลงกับพวกเขาอยู่แล้วเชียว แต่ เฟอร์กี้ มาเล่าเรื่องโปรเจ็กต์การสร้างทีมที่โดนใจประทับจิตผมสุด ๆ สุดท้ายผมจึงเซ็นสัญญากับพวกเขา ด้วยข้อเสนอปีละ 3 แสนปอนด์” อดีตกัปตันของแมนฯ ยูไนเต็ด กล่าว 

คีน ไม่ได้มองเรื่องเงินเป็นอย่างแรก เขามองตัวเองว่าจะไปได้ไกลมากขึ้นเมื่อมาอยู่ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ค่าเหนื่อยเริ่มต้นของเขาเมื่อปี 1993 อยู่ที่ 300,000 ปอนด์ต่อ 1 ปี แต่หลังจากนั้นเขากำลังจะกลายเป็นนักเตะคนแรกในวงการฟุตบอลอังกฤษที่ได้รับค่าเหนื่อย “สัปดาห์ละ” ปริ่ม ๆ ที่หลัก 100,000 ปอนด์ 

ยอดอาชา ย่อมมีพยศ

เราคงไม่ต้องอธิบายเรื่องความยิ่งใหญ่ของ คีน ที่หลังจากนั้นเขาเข้ามาและเป็นส่วนสำคัญของยุคสมัยที่ประสบความสำเร็จที่สุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยเฉพาะการพาทีมคว้า ทริปเปิลแชมป์ ในปี 1999  

อย่างไรก็ตามเบื้องหลังการไต่ขึ้นมาจากนักเตะธรรมดาสู่กองกลางกัปตันทีมคือ คีน เป็นคนที่มีคาแร็กเตอร์แข็งกร้าวแบบที่ใครก็ไม่สามารถควบคุมได้ง่าย ๆ หลังยุค 90s เป็นต้นมานักเตะหลายคนที่จะถูกแฟนบอลจดจำได้นั้นไม่ใช่เรื่องของฝีเท้าอย่างเดียว แต่ต้องมีคาแร็กเตอร์ที่โดดเด่น เป็นสุภาพบุรุษลูกหนัง หรือเป็นมิตรกับแฟนบอล ยกตัวอย่างเช่น เดวิด เบ็คแฮม แต่ คีน นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง 

ตลอดหลายปีกับ ยูไนเต็ด คีน สร้างวีรกรรมมากมาย เช่น การด่า ริโอ เฟอร์ดินานด์ กองหลังของทีมที่มัวแต่จ่ายบอลออกข้างทั้ง ๆ ที่แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่ต้องการชัยชนะจึงไม่ควรเล่นเพลย์เซฟ, การต่อยกับ ปีเตอร์ ชไมเคิล ในการทัวร์พรีซีซั่นที่ฮ่องกง, การด่าแฟนบอลในโอลด์ แทรฟฟอร์ด ว่าไม่ได้ตั้งใจมาเชียร์บอลแต่เหมือนตั้งใจมาเที่ยวและกินแซนด์วิชกุ้งมากกว่า นอกจากนี้ยังอีกมากมายเท่าที่หลายคนจะนึกออก 

คีน ไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองเขาอย่างไร ไม่สนใจว่าสิ่งที่เขาพูดจะทำให้เพื่อนร่วมทีมเคืองเขาแค่ไหน เพราะเขามั่นใจว่าสิ่งที่เขาพูดและทำคือสิ่งที่จำเป็นหากคุณอยากอยากเป็นนักเตะและทำให้ทีมดีขึ้น คีน เป็นแบบนั้นเสมอ กระทั่งกับ เฟอร์กี้ คนที่ซื้อตัวเขามาเขาก็พร้อมจะเถียงเช่นกันหากคิดว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง

 

“ผมรัก รอย คีน นะ ผมคิดว่าผมเข้ากับเขาได้ดีในระดับหนึ่ง สิ่งที่ผมเห็นมาตลอดจากตัวเขาคือ นอกจากพ่อของเขาผมก็ไม่เห็นเขาจะกลัวใครสักคน คีน ไม่เคยยอมถอยให้ใครง่าย ๆ เลย” 

“รอย เป็นคนที่ตั้งมาตรฐานกับทุกเรื่องไว้สูงมาก ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเองแต่เพื่อทุก ๆ คน และในทุก ๆ วันผมเองก็เห็นใจนักเตะรุ่นน้องหลายคนเวลาเจอ รอย คีน ด่าหรือจ้ำจี้จำไช ไม่ใช่แค่เด็ก ๆ เท่านั้นที่ คีน กล้าด้วย จะใครก็ช่างเขาไฟต์ได้หมด สิ่งที่คุณเห็น รอย คีน ในการถ่ายทอดสดก็คือสิ่งที่เขาเป็นจริง ๆ ในห้องแต่งตัวนั่นแหละ” เดวิด เมย์ อดีตนักเตะของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของคีนเล่าเรื่องในอดีต

คีน เป็นนักเตะที่ไม่สามารถควบคุมได้ง่าย ๆ แต่ก็เป็นนักเตะที่ทีมขาดไม่ได้เช่นกัน เฟอร์กี้ รู้เรื่องนี้ดี แม้คนทั่วไปจะมองแมนฯ ยูไนเต็ด ยุคนั้นว่ามีดาวเด่นอย่าง เบ็คแฮม, ไรอัน กิ๊กส์, ดไวท์ ยอร์ค หรือ แอนดี้ โคล แต่สำหรับ เฟอร์กี้ คนที่ทำให้ทีมยังคงรักษามาตรฐาน มีสมดุลเกมรุกเกมรับ มีความเป็นผู้ชนะ และเล่นด้วยความกระตือรือร้นก็คือ รอย คีน ผู้เป็นกัปตันทีม ดังนั้นทุกครั้งที่ คีน สัญญาเหลือ 1-2 ปี สโมสรจะต้องรีบเข้ามาคุยเรื่องสัญญาใหม่กับเขาทันที และตลอดการต่อสัญญากับทีม 2 ครั้ง รอย คีน ได้รับข้อเสนอแบบที่เขาต้องการทุกครั้ง 

นับตั้งแต่ปี 1993 ที่ย้ายมา คีน อยู่อย่างมดงานเสมอ จนกระทั่งเขาได้รับปลอกแขนกัปตันทีม และพาทีมกวาดแชมป์สร้างตำนานไว้มากมาย ก็ถึงเวลาที่ คีน คิดว่าเขาควรจะได้ในสิ่งที่เขาควรได้ จากผลงานและการทำงานหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมา 

หลังจากปี 1999 ที่ช่วยให้ทีมคว้าคว้าทริปเปิลแชมป์มาได้ คีน ก็เริ่มเรียกร้องค่าเหนื่อยในแบบที่ไม่มีนักเตะในเกาะอังกฤษคนไหนกล้าเรียกร้อง กัปตันของ แมนฯ ยูไนเต็ด ขอค่าเหนื่อยที่ 50,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ และถ้าหากเขาได้รับสัญญาฉบับนี้ เขาจะแซงหน้า เดวิด เบ็คแฮม ที่แทบจะเป็นไอคอนของสโมสรและวงการฟุตบอลอังกฤษที่ได้รับค่าเหนื่อยราว 45,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ทันที 

สำหรับทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง การจะมอบสัญญาให้กับนักเตะแต่ละครั้งเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมีเรื่องของเพดานค่าเหนื่อย เรื่องความรู้สึกของเพื่อนร่วมทีมมาเกี่ยวข้องด้วย แม้กระทั่งทุกวันนี้เราก็คงได้ยินข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ เช่น นักเตะของ แมนฯ ยูไนเต็ด ยุคปัจจุบันไม่พอใจที่สโมสรจะยื่นข้อเสนอสัญญาฉบับใหม่ให้ ปอล ป็อกบา ด้วยตัวเลขมากที่สุดในทีม หรือฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่แม้กระทั่งสัญญาฉบับใหม่ของนักเตะที่ดีที่สุดอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็ยังไม่คืบหน้า เพราะทีมเป็นห่วงเรื่องสมดุลต่าง ๆ เป็นต้น 

แต่ย้อนกลับไปเมื่อฤดูกาล 1999-2000 เริ่มขึ้น สโมสร แมนฯ ยูไนเต็ด พร้อมทุบทุกเพดานเพื่อรักษานักเตะอย่าง รอย คีน เอาไว้กับทีมต่อไป

ค่าของคนอยู่ที่ผลของาน 

ไมเคิล เคนเนดี เอเยนต์ของคีนเล่าว่า ตอนนั้นคีนเป็นนักเตะที่เนื้อหอมแบบสุด ๆ หลังจากระเบิดฟอร์มสุดยอดในฤดูกาล 1998-99 คีนได้รับการติดต่อจากทีมในอิตาลี ทั้ง ยูเวนตุส และ อินเตอร์ มิลาน เนื้อหาใจความคือหากปล่อยให้ถึงเดือนมกราคม ปี 2000 สัญญาของคีนจะเหลือแค่ 6 เดือน และเขาสามารถคุยกับทีมไหนก็ได้เพื่อย้ายทีม และถ้าคีนย้ายทีมด้วยค่าตัวฟรี เขาจะได้ค่าเหนื่อยและเงินกินเปล่าจากค่าเซ็นสัญญาอย่างมากแบบสะใจเลยทีเดียว 

คีน ไม่ต้องออกมาพูดและเรียกร้องผ่านสื่อหรือแม้กระทั่งการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในสนามเลยด้วยซ้ำ เขายังเล่นดีเหมือนเดิม เป็นผู้นำของทีมเหมือนเดิม รักษามาตรฐานระดับสูงต่อไปได้ไม่มีปัญหา ขนาดที่ว่า เฟอร์กี้ เองที่ต้องออกมาบอกผ่านสื่อว่า “ผมอยากจะเก็บนักเตะที่สำคัญที่สุดในทีมเอาไว้ และพร้อมจะคุยแบบลงลึกกับ มาร์ติน เอ็ดเวิร์ดส์ ประธานสโมสรเกี่ยวกับเรื่องนี้” 

“เอ็ดเวิร์ดส์ กลัวว่าหากต้องจ่ายค่าเหนื่อยให้คีนระดับที่แพงที่สุดในพรีเมียร์ลีก นักเตะในทีมอย่าง เบ็คแฮม, กิ๊กส์ และ โคล จะเคาะประตูห้องของเขาเพื่อเรียกร้องค่าจ้างที่เท่าเทียมกัน เพราะสตาร์ของแมนฯ ยูไนเต็ด หลายคนมีเงื่อนไขสัญญาระบุไว้ว่าจะไม่มีนักเตะคนอื่นในทีมที่จะได้ค่าเหนื่อยมากกว่าเขา” สำนักข่าวอย่าง The Independent บรรยายการต่อสัญญาของคีนที่ได้รับค่าเหนื่อย 52,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ เมื่อปี 2000 ไว้เช่นนั้น 

และอย่างที่เรารู้กัน ที่แมนฯ ยูไนเต็ด การตัดสินของ เฟอร์กี้ ถือเป็นอันสิ้นสุด ถ้าเขาบอกว่าใครสำคัญ คน ๆ นั้นก็ต้องสำคัญกับทีมจริง ๆ ดังนั้นหลังเริ่มฤดูกาล 1999-2000 คีนก็กลายเป็นนักเตะคนแรกที่ได้รับสัญญาระดับครึ่งแสนในวงการฟุตบอลอังกฤษ แมนฯ ยูไนเต็ด ยอมทุบเพดานเพื่อกัปตันของพวกเขา … แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น 

หลังเข้าสู่ยุค 2000s เป็นต้นมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของถ้วยรางวัลและรายได้นอกสนามจนองค์กรใหญ่ขึ้นมากภายในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งช่วงดังกล่าวคาบเกี่ยวกับข่าวใหญ่ที่สั่นสะเทือนสโมสร นั่นคือการประกาศวางมือของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในปี 2002  

แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนัก เฟอร์กี้ ก็เปลี่ยนใจกลับมาคุมทีมอีกครั้ง ภายใต้โปรเจ็กต์ใหม่ที่เขาเรียกว่า “Rebuilding and transition” ที่บ่งบอกถึงการสร้างทีมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง 

แม้ชื่อโปรเจ็กต์จะพูดถึงการสร้างใหม่ แต่นักเตะหน้าเก่าที่กำลังเข้าสู่ช่วงท้ายอาชีพอย่าง รอย คีน ยังคงเป็นคนสำคัญของ เฟอร์กี้ เสมอ … และในปี 2002 เป็นอีกครั้งที่ เฟอร์กี้ ออกตัวให้สโมสรให้ค่าเหนื่อยของคีนตามที่เขาต้องการ และนั่นหมายถึงจำนวนเงินเกือบ 2 เท่าของสัญญาฉบับเก่าที่คีนเพิ่งเซ็นไปเมื่อ 2 ปีก่อน … และสัญญาฉบับนี้จะทำให้คีนเป็นนักเตะคนแรกที่ได้รับค่าเหนื่อยปริ่ม ๆ แตะหลักแสนบนเกาะอังกฤษ 

เรื่องดังกล่าวกลายเป็นที่วิจารณ์กันอย่างมากว่า คีน กำลังขอสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับผลงาน สำนักข่าวอย่าง BBC ทำโพลล์สำรวจความเห็นจากแฟนบอลทั่วเกาะอังกฤษในหัวข้อว่า “90,000 ปอนด์กับ รอย คีน ?” ซึ่งนี่คือคอมเมนต์ของแฟน ๆ ส่วนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย 

“หากมีนักเตะสักคนที่เหมาะกับเงินระดับนั้น บนโลกนี้คงมีแค่ ซีดาน และ ริวัลโด้ นักเตะพวกนี้บันดาลผลการแข่งขันให้กับทีมได้ ตัว คีน เองก็เป็นนักเตะที่ดีนะ แต่ได้แค่ในระดับพรีเมียร์ลีกเท่านั้นแหละ” 

ยังมีอีกหลายเสียงวิจารณ์ที่ไม่เห็นด้วย แต่อย่าลืมว่าที่นี่คือแมนฯ  ยูไนเต็ด คนที่มีสิทธิ์ฟันธงคือ เฟอร์กี้ ว่ายังต้องการคีนหรือไม่ หากนักเตะต้องการค่าเหนื่อยระดับแตะหลักแสนปอนด์ต่อสัปดาห์ และคำตอบของ เฟอร์กี้ คือ “ทำไมจะไม่ได้ ?” โดยผู้เขียนคอลัมน์ Sports Talk ของ BBC ระบุว่า “หลังการต่อสัญญาเป็นผู้จัดการทีมออกไปอีกสามปี เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็กระตือรือร้นที่จะเก็บหนึ่งในผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลที่สุดของเขาเอาไว้” 

สุดท้ายค่าเหนื่อยเหยียบ ๆ 1 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ก็ถูกเสนอให้คีน เขาได้เงินจำนวนนี้ก่อนนักเตะแถวหน้าของลีกทั้งหลาย แม้เงินก้อนดังกล่าวจะดูไม่ค่อยคุ้มนักหากเทียบกับผลงานของทีมในช่วงหลังปี 2002 เนื่องจากทีมมีสภาพแย่ลง และ คีน ก็เริ่มมีปากเสียงกับ เฟอร์กี้ และแฟนบอลมากขึ้น จนถึงขั้นถูกยกเลิกสัญญาก่อนที่เขาจะย้ายไปอยู่กับ กลาสโกว์ เซลติก ในปี 2005 

แต่หากเราจะบอกว่าการต่อสัญญานี้ไม่คุ้มก็คงจะไม่ถูกนัก นับตั้งแต่ปี 1993 ที่ คีน ได้ย้ายเข้ามาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนถึงวันที่เขาย้ายออกไป เขาทำทุกอย่างเพื่อให้สโมสรนี้กลายเป็นทีมหัวแถวของโลก เขาได้รับค่าเหนื่อยน้อยกว่านักเตะคนอื่น ๆ และหลุดท็อป 5 นักเตะค่าจ้างแพงของทีมมาตลอดในช่วง 7 ปีแรก ซึ่งที่สุดแล้วเมื่อวันที่สิ่งต่าง ๆ ที่เขาทำ ทำให้สโมรแห่งนี้ก้าวหน้าในแง่ของถ้วยรางวัลและการเงินนอกสนาม ก็ถึงเวลาที่เขาควรได้รับสิ่งหล่านั้นกลับมาบ้าง และมันก็ถือว่ามันสมเหตุสมผลไม่น้อยกับฐานะของสโมสรที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

คีน ไม่เคยออกมาเรียกร้องและกดดันผ่านสื่อเลยสักครั้งสำหรับการขอขึ้นค่าเหนื่อย ไม่แม้กระทั่งการพยายามประชดประชัน เขายอมลดค่าเหนื่อยตั้งแต่วันแรกที่ย้ายมาอยู่กับทีมด้วยซ้ำ 

แต่สาเหตุที่เขาได้รับข้อเสนอตามที่เขาต้องการเสมอ และเป็นค่าเหนื่อยในขั้น “สูงสุด” คือการทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด นอกจากนี้หลาย ๆ ครั้งก็ยังเป็นการทำเกินหน้าที่ เพราะทุก ๆ สิ่งที่คีนทำคือการพยายามทำให้ทีมเป็นทีมที่แกร่งขึ้น ทำให้เพื่อนร่วมทีมของเขาเป็นนักเตะที่เก่งขึ้น เมื่อมี คีน อยู่ในสนาม แมนฯ ยูไนเต็ด จะกลายเป็นทีมที่เล่นด้วยความดุดัน มีพลัง และใส่เต็มกราฟ แบบที่แฟนของแมนฯ ยูไนเต็ด หลายคนน่าจะเข้าใจกันดีโดยไม่ต้องอธิบายเยอะ … และ เฟอร์กี้ รักนักเตะแบบนี้เสมอต่อให้คอนโทรลยากแค่ไหนก็ตาม และเรื่องแบบนี้มีแต่คนที่อยู่ใกล้ชิดเท่านั้นที่จะรู้ 

“ผมเห็นหลายคนพูดถึง รอย คีน ในฐานะความแน่วแน่มุ่งมั่น แต่ผมไม่ค่อยได้ยินใครพูดเลยนะว่าเขาเป็นนักเตะที่เก่งแค่ไหน เขาเก่งมากกว่าที่คนอื่น ๆ คิดเยอะ โดยเฉพาะหลังจากปี 1997 หลังบาดเจ็บที่เข่า คีน ก็เปลี่ยนสไตล์กลายมาเป็นผู้บังคับบัญชาในแดนกลางมากกว่าการบู๊ล้างผลาญเหมือนเดิม คนอย่าง รอย คิดเรื่องทีมมากว่าตัวเอง นั่นเป็นเหตุผลที่ ยูเวนตุส โทรหาเขา” 

“เขาคนเป็นประเภทที่ทำให้คุณเสียสมดุลได้ทันทีหากจิตคุณไม่แข็งพอ หนึ่งนาทีก่อนเขาอาจจะหัวเราะกับคุณ แต่หลังจากนั้นเขาอาจจะด่าคุณแบบไม่ไว้หน้า ผมคิดว่านั่นอาจจะเป็นวิธีที่คีนใช้รักษาระยะห่างระหว่างเขากับคนอื่น ๆ แต่ถ้าคุณสามารถข้ามไปได้และทำให้เขารู้ว่าคุณจะอยู่และสู้เคียงข้างเขา รอย จะตอบแทนความภักดีให้คุณเป็น 10 เท่าของที่คุณให้ไป” 

มาร์ค บอสนิช อดีตนายทวารของแมนฯ ยูไนเต็ด กล่าวถึง รอย คีน ไว้อย่างตรงความ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ตัวแสบอย่างคีน ได้รับค่าเหนื่อยในแบบที่สตาร์ยุคนั้นได้แต่ฝั่นถึง…