ภาพการฉลองแชมป์ลีกเอิงของ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ไม่ใช่สิ่งใหม่เลยสำหรับแฟนบอลทั่วโลก ทว่าในฤดูกาล 2021-22 ได้เกิดบางสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้เห็นกันบ่อย ๆ
เมื่อแฟนบอลของ เปแอสเช พร้อมใจโห่กันเสียงดังลั่นสนามในวันที่พวกเขาชูถ้วยแชมป์ แถมนักเตะเบอร์ 1 ของทีมก็ยียวนกวนประสาทแฟนบอลกลับแบบไม่สะทกสะท้าน
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ดันมาอยู่ในยุคของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ที่ฉลองแชมป์ลีกครั้งแรกของเขาแบบที่ตัวเองไม่เคยจะคาดคิด
จากแชมป์ที่ควรภาคภูมิใจ กลับกลายเป็นภาพการดีใจแบบเขิน ๆ ที่ไม่ควรเป็น … เกิดอะไรขึ้นกับ 1 ปีเศษของ โปเช็ตติโน่ กับเปแอสเช
ติดตามได้ที่ Main Stand
กระดุมเม็ดแรก
ทันทีที่กลุ่มทุน Qatar Sports Investments เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร ปารีส แซงต์ แชร์กแมง เป้าหมายของทีมนี้ก็ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่การแย่งแชมป์ลีกในประเทศฝรั่งเศสอีกแล้ว เพราะจุดหมายปลายทางที่พวกเขาตั้งไว้คือการเปลี่ยนให้ทีมจากเมืองหลวงทีมนี้กลายเป็นสโมสรฟุตบอลที่เก่งกาจที่สุดในโลก
ไม่ต้องย้อนอะไรให้มากความ นับตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมาที่มีการเปลี่ยนเจ้าของทีม เปแอสเช กลายเป็นทีมที่เขย่าทุกตลาดซื้อขาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายกับนักเตะที่ไม่น่าเป็นไปได้อย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ไล่เรียงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงยุคที่พวกเขาถูกเรียกว่า “3 ราชา” อย่าง เนย์มาร์, คีลิยัน เอ็มบัปเป้ และ ลิโอเนล เมสซี่ ปัจจุบันผ่านมา 11 ปี เปแอสเช ใช้เงินกับนักเตะไปทั้งหมดแตะหลัก 1,000 ล้านยูโรไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตามขุมกำลังที่แข็งแกร่งก็ใช่ว่าจะการันตีแชมป์ เพราะทีมฟุตบอลที่จะประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดล้วนต้องเป็นทีมที่ “ทุกคนในองค์กร” มีเป้าหมายเดียวกัน มองสิ่งเดียวกัน และลงมือทำอย่างจริงจังทุกภาคส่วน
เปแอสเช มีเกือบครบทุกอย่างทั้ง บอร์ดบริหารที่พร้อมทุ่มไม่อั้น, ระบบอคาเดมีที่มีคุณภาพ, นักเตะชุดใหญ่ที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้วว่าเก่งจริง รวมถึงโค้ชมือดีที่สามารถควบคุมเหล่าสตาร์ให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ … เพียงแต่ว่าโค้ชคุณสมบัติดังกล่าวไม่ค่อยจะอยู่กับทีมยืดนัก เพราะที่นี่ไม่มีที่ว่างให้ความผิดพลาด และแทบไม่มีเวลาให้คุณได้เรียนรู้แบบค่อย ๆ เริ่มนับ 1 เหมือนที่อื่น
โค้ชที่นี่ถูกตั้งความหวังไว้ที่ผลลัพธ์มากกว่าวิธีการ หากคุณไม่สามารถทำให้ทีมกลายเป็นแชมป์ในรายการเพชรยอดมงกุฎอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ก็ไม่มีการการันตีว่าคุณจะได้นั่งเก้าอี้ตัวเดิมในฤดูกาลถัดไป
ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งในโค้ชที่มีบารมี ความสำเร็จ และกำลังจะกลายเป็นโค้ชคนแรกที่กวาดแชมป์ลีกสูงสุดใน 5 ลีกดังของยุโรป (พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, ลา ลีกา สเปน, บุนเดสลีกา เยอรมนี, เซเรีย อา อิตาลี, ลีกเอิง ฝรั่งเศส) อย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ ซึ่งเล่าย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เขาคุมทัพเปแอสเชว่า แม้ในตอนนั้นทีมไม่ได้มีนักเตะอย่าง เนย์มาร์ เอ็มบัปเป้ และ เมสซี่ เหมือนในทุกวันนี้ แต่เป้าของทีมก็ยังสูงมากและกดดันกันแทบจะทุกวินาที จนเขาเองก็ไม่ชอบใจจริตการทำงานแบบนั้น
อันเชล็อตติ เล่าว่าเขาชอบโปรเจ็กต์ของเปแอสเชในตอนแรกมาก ก่อนที่เขาจะเข้ามาและพยายามเปลี่ยนแปลงทีมในหลายด้าน ด้วยประสบการณ์ระดับแชมเปี้ยนแบบที่เขามี ทั้งเรื่องการซ้อม เรื่องอาหารการกิน และเรื่องอื่น ๆ
แต่เมื่อทีมกำลังจะไปได้สวย เขากลับถูกบอร์ดบริหารกดดันต่อหน้าว่า “หากไม่ชนะ ปอร์โต้ เพื่อคว้าแชมป์กลุ่มในแชมเปี้ยนส์ลีก เขาจะถูกไล่ออก” เมื่อได้ยินแบบนั้น อันเชล็อตติ คิดได้ทันทีว่ามันเป็นการไม่ให้เกียรติกันอย่างแรง สุดท้ายเขาขอลาออกเองไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ทันทีที่คว้าแชมป์ลีกเอิง ฤดูกาล 2012-13 และทีมตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายถ้วยใหญ่ของยุโรป แม้สโมสรจะพยายามรั้งเขาไว้ก็ตาม
หลังจากยุค อันเชล็อตติ เปแอสเชก็ลองโค้ชมือดีหลายคน และไม่มีใครพาทีมไปไกลถึงเป้าหมายที่พวกเขาตั้งไว้จริง ๆ เสียที เต็มที่ที่ใกล้ที่สุดคือยุคของ โธมัส ทูเคิ่ล ที่เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2020 ก่อนแพ้ให้กับ บาเยิร์น มิวนิค 0-1 และหลังจากนั้นสโมสรก็ไล่คนที่พาทีมเข้าใกล้ที่สุดอย่าง ทูเคิ่ล ออกจากตำแหน่งภายในเวลาไม่กี่เดือน
เปแอสเช เป็นทีมรวยก็จริง แต่สิ่งที่พวกเขาขาดไปคือ DNA และคาแร็กเตอร์ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือการวางโครงสร้างทีมอย่างชัดเจนว่าทีมจะต้องเล่นแบบไหน ใช้นักเตะอย่างไร ใช้โค้ชที่เด่นเรื่องอะไร เมื่อไร้แนวทางมันก็ยากที่จะหาคนที่เหมาะกับงานนั้นจริง ๆ ได้ซึ่งส่วนนี้สำคัญมาก ยกตัวอย่างเช่นทีมอย่าง ลิเวอร์พูล ที่ได้ เยอร์เกน คล็อปป์ มาคุมทีม และเมื่อ คล็อปป์ เข้ามา ทีมก็ค่อย ๆ ซ่อมค่อย ๆ สร้างทีมตามคำขอของกุนซือ จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาอันสมควร ความชัดเจนในแนวทางของ คล็อปป์ ก็ทำให้พวกเขาสร้างทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรได้
แต่ที่ เปแอสเช ทุกอย่างเหมือนการด้นสดและมีการเปลี่ยนแผนการทำทีมแทบจะทุกฤดูกาล พวกเขามีแค่เป้าหมายแต่กลับไม่มีวิธีการ กล่าวคือเป็นการอยากได้ถ้วยแชมเปี้ยนลีกแต่ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทีมที่จะเป็นแชมป์ในรายการนี้ได้ต้องสมบูรณ์แบบตั้งแต่หน้าบ้านถึงหลังบ้าน … เราอยากให้คุณลองหลับตาและนึกภาพพร้อมกับอธิบายออกมาว่าในมุมมองของคุณ เปแอสเช เป็นฟุตบอลสไตล์ไหน ?
เชื่อว่าหลายคนก็ยังตอบได้ไม่เต็มปาก เพราะนอกจากจะถูกจำในฐานะทีมรวมดาราค่าตัวแสนล้านแล้ว เปแอสเชแทบไม่มีทรงบอลที่เป็นเครื่องหมายการค้าเหมือนที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา สร้างให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, คล็อปป์ ทำกับ ลิเวอร์พูล, ดิเอโก ซิเมโอเน ทำที่ แอตเลติโก มาดริด เลย
เมื่อกระดุมเม็ดแรกผิด พวกเขาก็ทำผิดต่อกันเรื่อยมา จนกระทั่งมาถึงยุคคนปัจจุบันที่เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สถานการณ์ทีมแย่ที่สุดตั้งแต่มีการเปลี่ยนเจ้าของ ด้วยเหตุการณ์เช่นการที่แฟนบอลรุมโห่นักเตะตัวเอง, ข่าวการแบ่งพรรคแบ่งพวกในทีม, นักเตะไม่เชื่อใจโค้ช, โค้ชไม่ได้รับการยอมรับจากผู้บริหาร … และคนที่เข้ามารับช่วงเวลาอันหนักหน่วงนี้คือ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กุนซือที่เพิ่งพาทีมคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาลล่าสุด แต่กลับต้องฉลองแชมป์ด้วยความว่างเปล่า เพราะแฟนบอลกลุ่มใหญ่เดินออกจากสนาม
ภาพของ โปเช็ตติโน่ กับแชมป์ลีกครั้งแรกในชีวิตของเขาช่างดูว่างเปล่า และสิ่งเหล่านี้สะท้อนการทำงานตลอด 1 ปีที่ของเขาอย่างแท้จริง และถ้าจะยกตัวอย่างความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมันก็ช่างมากมายเหลือเกิน
เลือกเพราะดีกรี
หลังจากปลด โธมัส ทูเคิ่ล ในช่วงกลางฤดูกาล 2020-21 ด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครยืนยัน มีแต่เพียงการส่งสัญญาว่าเป็นการเด้งที่ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมรับกับสถานการณ์นี้อย่างเต็มใจแบบ Win Win กันทั้งคู่ โดยปัญหาลึก ๆ คาดว่ามาจากการไม่ลงรอยกันระหว่าง ทูเคิ่ล กับ เลโอนาร์โด ผู้อำนวยการสโมสรนั่นเอง
“ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์สำหรับทูเคิ่ล เรารู้สึกว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อนำแรงผลักดันใหม่ ๆ มาสู่ฤดูกาลใหม่ของเรา เรารู้เรื่องนี้ดีและเขาก็รู้ด้วยว่ามันยากต่อการต่อสัญญาเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล” นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ ประธานสโมสร เปแอสเช กล่าวหลังปลดกุนซือคนเดียวของสโมสรที่พาทีมเข้าไปถึงรอบชิงแชมเปี้ยนส์ลีก
เมื่อปลดทูเคิ่ล ในตลาด ณ เวลานั้นก็เหลือแค่ 2 คนเท่านั้นที่เป็นมือดี มีดีกรีเข้าถึงรอบชิงแชมเปี้ยนส์ลีก และที่สำคัญยังว่างงานอยู่ ได้แก่ โปเช็ตติโน่ ที่เคยพา ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ เข้าชิงเมื่อปี 2019 กับ ลิเวอร์พูล และ มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี ที่เคยพา ยูเวนตุส เข้าชิงกับ บาร์เซโลน่า ในปี 2015 กับ เรอัล มาดริด ในปี 2017 และอย่างที่เรารู้กันเปแอสเชเลือก โปเช็ตติโน่ ผู้เคยเป็นอดีตนักเตะที่แฟนบอลของทีมให้ความเคารพในระดับหนึ่ง
นี่ไม่ใช่การเลือกที่แย่เลยหากมองจากตอนนั้น (2 มกราคม 2021) เพราะหาก เปแอสเช ต้องการสร้างสิ่งที่เรียกว่า DNA หรือคาแร็กเตอร์ของสโมสรนั้น โปเช็ตติโน่ เองก็น่าจะเป็นคนที่มีวิธีการเล่นของตัวเองชัดเจนเหมือนกัน และเป็นโมเดิร์นฟุตบอลในแบบที่หลายคนเคยให้ความชื่นชมเป็นอย่างมากตอนเขาคุมทีมสเปอร์ส
“ทุกคนรู้กันดีว่า โปเช็ตติโน่ เป็นโค้ชที่ให้นักเตะซ้อมหนักมาก และเน้นเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการพยายามร่วมกันอย่างสามัคคี ผู้เล่นทุกคนจะต้องพร้อมเสียสละเพื่อส่วนรวม” Charlie Eccleshare นักเขียนของ The Athletic บรรยายถึงดีกรีและความเหมาะสมของโปเช็ตติโน่ เมื่อ 1 ปีก่อน
โปเช็ตติโน่ เป็นโค้ชผู้เลือกนักเตะที่ใช่มาสู่ทีมได้เสมอ และยังดึงศักยภาพสูงสุดของนักเตะแต่ละคนออกมาได้เป็นอย่างดี แฮร์รี่ เคน ครบเครื่องและเข้าขารู้ใจกับ ซน ฮึง มิน ก็มีจุดเริ่มต้นในยุคของเขา, คริสเตียน อีริคเซ่น กลายเป็นเพลย์เมกเกอร์ที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก ณ ช่วงเวลาหนึ่ง, เดเล่ อัลลี นักเตะโนเนมจาก เอ็มเค ดอนส์ สู่การเป็นตัวหลักของทีมชาติอังกฤษ นอกจากนี้ยังได้นักเตะอย่าง เอริก ดายเออร์, วิคเตอร์ วานยามา, โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์ และอีกหลายคนที่ โปเช็ตติโน่ ดึงมาร่วมทีมในราคาที่ไม่แพงแต่ตอบโจทย์ และสร้างสเปอร์สให้เป็นทีมที่เล่นเกมรุกได้สนุกดุดัน
นอกจากเรื่องเหล่านี้ โปเช็ตติโน่ ก็ไม่ใช่หน้าใหม่สำหรับเปแอสเช เพราะเขาอยู่กับทีมนี้สมัยเป็นนักเตะและใช้เวลา 3 ปีพร้อมกับเป็นขวัญใจของแฟนบอลคนอื่น ๆ อย่าง เจย์ เจย์ โอโคชา และ โรนัลดินโญ่ และยิ่งเป็นช่วงเวลาที่เทรนด์การเอาอดีตนักเตะของตัวเองมาเป็นโค้ชได้รับความนิยมด้วยแล้วก็ถือว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เปแอสเชจะให้โอกาส โปเช็ตติโน่ มาขับเคลือนทีมให้มีแพชชั่นและสร้างความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน … ทว่าคนที่ใช่อย่าง โปเช็ตติโน่ กลายคนที่เป็นมาผิดเวลาไปหน่อย
เจอไม้งามเมื่อขวานบิ่น
สื่อหลายเจ้าพยายามจะบอกว่า โปเช็ตติโน่ คือคนที่ล้มเหลว แต่ความจริงเป็นแบบนั้นจริงหรือ ?
เขาเข้ามาคุมทีมกลางฤดูกาล 2020-21 แม้จะพลาดแชมป์ลีกเอิง แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ เปแอสเช ยุคเปลี่ยนเจ้าของพลาดแชมป์ลีก (คาร์โล อันเชล็อตติ ยังเคยพลาดมาแล้วเมื่อฤดูกาล 2011-12) และจงอย่าลืมว่าพวกเขาเล็งไปที่เป้าใหญ่อย่าง แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นอันดับแรก ส่วนรายการอื่น ๆ เหมือนเบี้ยบ้ายรายทางที่จะเอาเมื่อไหร่ก็ได้
โปเช็ตติโน่ ใช้เวลาแค่ 5 เดือนพาเปแอสเชไปถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แม้จะแพ้แต่ก็แพ้ให้กับทีมที่เป็นสโมสรระดับท็อป 1-3 ของโลกอย่าง แมนฯ ซิตี้ ที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า วางระบบจนลงตัวแล้ว ซึ่งการแพ้ทีมอย่าง แมนฯ ซิตี้ ในเวลานั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
ประเด็นคือเขายังต้องการเวลาในการทำทีม การสร้างทีมสปิริตแบบที่แฟน ๆ เปแอสเชอยากจะเห็น แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อจบฤดูกาล 2020-21 บอร์ดบริหารเปแอสเชก็เดินตลาดแบบซ้ำรอยเดิม นั่นคือการซื้อตัวนักเตะโดยไม่ถามโค้ช…
เซร์คิโอ รามอส, จานลุยจิ ดอนนารุมม่า, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม และแน่นอนที่สุดคือ ลิโอเนล เมสซี่ ไม่มีใครปฏิเสธว่าทั้งหมดคือนักเตะที่ดี นักเตะเหล่านี้ล้วนผ่านความสำเร็จมาแล้วทั้งนั้น แต่ที่สุดแล้วก็ดูเป็นคำตอบที่ยังไม่ใช่ สิ่งที่ยืนยันได้คือฟอร์มของทุกคนที่กล่าวมาในซีซั่นนี้ ดอนนารุมม่า และ ไวจ์นัลดุม ไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงได้, ลิโอเนล เมสซี่ โดนแฟนบอลของตัวเองโห่เพราะไม่พอใจที่เล่นเหมือนไม่เต็มที่ ไม่ขยัน ขาดแพชชั่น ทิ้งหัวใจไว้ที่บาร์เซโลน่าทีมเก่า ขณะที่ เซร์คิโอ รามอส เจ็บแทบจะทั้งปีทำให้ทีมต้องแบกค่าเหนื่อยมหาศาลโดยไม่ได้ใช้งาน
ทั้งหมดคืองานยากของ โปเช็ตติโน่ ที่ไม่ได้มีสไตล์การทำทีมด้วยนักเตะแบบกาลาคติกอส เขาเป็นโค้ชที่เชื่อมั่นในระบบทีมมากกว่าหากมองจากผลงานตั้งแต่กับ เอสปันญอล, เซาธ์แฮมป์ตัน และ สเปอร์ส แต่ที่ เปแอสเช ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นความรู้สึกเหมือนการจับปูใส่กระด้ง เมื่อต้องบริหารเวลาลงเล่นให้กับเหล่าสตาร์เพียงเพราะความเกรงใจหรือเพราะการพยายามรักษาบรรยากาศในทีม ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วสิทธิ์ขาดทั้งหมดควรเป็นของเขา และนักเตะก็ต้องเคารพการตัดสินใจของโค้ชด้วย
โปเช็ตติโน่ เจอปัญหาการบริหารสตาร์อย่างจังเบอร์ เขาเคยถูก เมสซี่ เมินไม่จับมือด้วยเพราะเปลี่ยนตัวเขาออกจากสนามหลังเจ้าตัวเล่นได้ไม่ค่อยดีนัก ไม่นานจากเหตุการณ์ดังกล่าว โปเช็ตติโน่ ให้สัมภาษณ์เชิงตัดพ้อว่า
“เราจำเป็นต้องตัดสินใจให้ดีที่สุดทั้งก่อนและระหว่างการแข่งขัน ทุกคนต้องระลึกเสมอว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทีม ผมมีนักเตะดี ๆ หลายคน ในทีมของเราน่าจะมีถึง 35 คนเลย และบางครั้งการตัดสินใจของผู้จัดการทีมก็เป็นแบบนี้ มันอาจจะทำอะไรให้นักเตะในทีมไม่พอใจบ้าง แต่ผมก็ถามเขาแล้ว และ เมสซี่ ก็บอกว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร” โปเช็ตติโน่ กล่าว
นักเตะล้นทีมและเป็นนักเตะที่ตัวเองไม่ได้เลือกคืองานระดับ “ยากนรกแตก” ของกุนซือทุกคน โปเช็ตติโน่ พยายามประคับประคองทีมนี้อย่างสุดความสามารถ พวกเขาทวงแชมป์ลีกได้แต่ก็ต้องแพ้ให้กับ เรอัล มาดริด ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และในเกมกับ มาดริด นั้นเองเกิดปรากฏการณ์ “การเหลืออด” ของแฟนบอลเปแอสเชเกิดขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มแฟนบอลอุลตร้าที่สุดจะทนกับนักเตะที่ “ไม่ได้เห็นแก่ทีม” และทำตัวตามสบายจนเกินไปจากการโดนโอ๋ของเหล่าผู้บริหาร
แม้เป้าการโห่หลัก ๆ จะเป็นการโห่ใส่นักเตะอย่าง เมสซี่ และ เนย์มาร์ แต่จริง ๆ แล้วแฟนบอลของเปแอสเชหมายถึง “ทั้งทีม” พวกเขารู้สึกว่าทีมที่พวกเขารักโดนเย้ยหยันในฐานะทีมเศรษฐีที่ไร้ซึ่งรากเหง้า
“เรารู้ว่าเราเป็นหนี้ อัล เคไลฟี่ แต่ชัดเจนว่าเขาเป็นคนที่ไม่เหมาะสมสำหรับงานนี้อีกต่อไป สโมสรต้องการการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่อย่างสมบูรณ์ในทุกระดับ และเราต้องการการปรากฏตัวของประธานที่สนามทุก ๆ เกม” คำแถลงการณ์ของแฟนบอลฝากตรงไปถึงประธานใหญ่
แม้กระทั่งอดีตนักเตะที่แฟนบอลของทีมรักที่สุดอย่าง โรนัลดินโญ่ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์ว่า แฟนบอลมีสิทธิ์ที่จะโห่ใส่นักเตะในทีม เพราะพวกเขาทนกับช่วงเวลาที่รู้สึกว่านักเตะในทีมบางกลุ่มไม่ได้เห็นถึงความรักที่พวกเขามีต่อสโมสรเลย
เห็นได้ชัดว่าสโมสรแห่งนี้อาจจะไม่ได้มีปัญหาในแง่ของความสำเร็จ แต่เป็นปัญหาที่ทุกคนที่มีส่วนร่วมกับสโมสรหันหน้ากันไปคนละทิศคนละทางตั้งแต่ผู้บริหารไปจนถึงแฟนบอล และมันคือสาเหตุที่ทำให้ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ฉลองแชมป์ลีกแชมป์แรกในอาชีพโค้ชของเขาท่ามกลางเสียงโห่ของแฟนบอลของทีมตัวเอง
เพราะทุกคนรู้ดีว่าสำหรับ เปแอสเช กับแชมป์ลีก “ใครคุมก็แชมป์” นั่นทำให้ โปเช็ตติโน่ ได้เครดิตกับแชมป์นี้น้อยมาก ถึงขั้นที่ว่าทันทีที่มีข่าวฉลองแชมป์สโมสรก็จะปลดเขาออกจากตำแหน่งและเอา อันโตนิโอ คอนเต้ เข้ามาคุมทีมแทน
ซึ่งต่อให้ คอนเต้ มาจริงก็ไม่รู้ว่าปัญหาของเปแอสเชจะถูกแก้ไขหรือไม่ เพราะในวันที่นักเตะในทีมฉลองแชมป์แล้วถูกแฟนบอลโห่ เนย์มาร์ ที่เป็นเป้าหลักก็ยังให้สัมภาษณ์ตอกแฟนบอลแบบกวน ๆ กลับว่า
“ผมขอร้องให้แฟนบอลเลิกตะโกนโห่ใส่นักเตะทีมตัวเองเสียที ถ้าไม่หยุดคุณจะต้องเหนื่อยมากแน่ ๆ เพราะผมยังมีสัญญาเหลืออีก 3 ปีที่นี่ พวกคุณมี 2 ทางเลือกคือ เลิกโห่ หรือไม่ก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเอาอากาศเข้าปอดเยอะ ๆ” การตอบกลับของ เนย์มาร์ ชัดเจนเหลือเกินว่าปัญหาในทีม ๆ นี้มีมากเหลือเกิน
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นผิดที่ผิดเวลาไปหมด หาก เปแอสเช สร้างทีมแบบมีโครงสร้างที่แท้จริง พัฒนาจากหนึ่ง อดทนรอให้ทีมได้ค่อย ๆ สร้างจนเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง การได้โค้ชอย่าง โปเช็ตติโน่ จะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมาก แต่สิ่งที่เป็นอยู่คือการที่มีสตาร์เต็มทีมและเป็นการบริหารทีมที่นักเตะแทบจะใหญ่กว่าโค้ช นั่นจึงทำให้โค้ชผู้ไม่เคยมีแชมป์อย่างเขาต้องฉลองแชมป์แบบเหงา ๆ และมีโอกาสที่จะไม่ได้สานงานที่ตัวเองเริ่มไว้