“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ผงาดคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ 2021-22 ไปครองได้สำเร็จ เมื่อเป็นฝ่ายดวลจุดโทษเอาชนะ “สิงห์บลูส์” เชลซี 6-5 หลังในเวลา 120 นาที ไม่สามารถทำอะไรกันได้ เมื่อวันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
ความเป็นไปของเกม
ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ออกสตาร์ทได้อย่างมีชีวิตชีวาตั้งแต่เสียงนกหวีดเริ่มเกม ฟุตบอลของพวกเขาน่าตื่นตาตื่นใจเช่นเคยโดยเฉพาะบอลที่เน้นโจมตีพื้นที่ระหว่าง รีซ เจมส์ และ เทรฟโวห์ ชาโลบาห์ โดยมี หลุยส์ ดิอาซ เป็นเป้าหมายที่แดนสุดท้าย พวกเขาลงเอยด้วยการเป็นฝ่ายที่มีสัดส่วนการครอบครองบอลที่เหนือกว่าในครึ่งแรกแต่ไม่สามารถส่งบอลสู่ก้นตาข่ายผ่านมือ เมนดี้ ได้จากการยิงทิ้งยิงขว้างของเหล่าแข้งแนวรุก ขณะที่ 45 นาทีหลังรูปเกมกลายจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทัพ สิงโตน้ำเงินคราม เดินหน้าขโยกเข้าใส่อย่างต่อเนื่องในช่วงต้น แต่ความยอดเยี่ยมของ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ก็ทำให้สกอร์ยังคงเท่ากันที่ 0-0 กระทั่งโมเมนตัมของเกมเปลี่ยนไปเมื่อเข้าสู่ 15 นาทีสุดท้าย ทีมของ คล็อปป์ กลับมาเป็นฝ่ายไล่บี้โดยจบสกอร์ชนเสาถึง 2 ครั้งติดกันจาก ดิอาซ และ ร็อบโบ้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีประตูเกิดขึ้น ทำให้ต้องไปต่อเวลาพิเศษออก ซึ่งต่างฝ่ายต่างเล่นกันแบบรัดกุมชนิดที่ไม่บุกกันทั้งคู่จนต้องไปดวลจุดโทษตัดสินในที่สุด
Chelsea v Liverpool: The Emirates FA Cup Final / Matthew Ashton – AMA/GettyImages
หลุยส์ ดิอาซ การเซ็นสัญญาแห่งฤดูกาลของ หงส์แดง
ดิอาซ ออกจากสนามด้วยสถิติความพยายามจบสกอร์ 6 ครั้ง มากที่สุดในสนาม น่าเสียดายที่เทพีแห่งโชคไม่เข้าข้างบอลที่ออกจากเท้าของดาวเตะชาว โคลอมเบีย เขากลายเป็นแข้งที่วูบวาบที่สุดของ หงส์แดง หรือให้ใกล้กับความเป็นจริงมากกว่านั้นคือโดดเด่นมากที่สุดในบรรดาแนวรุกของทั้งสองทีมวันนี้เลยก็ว่าได้
Chelsea v Liverpool: The Emirates FA Cup Final / Chris Brunskill/Fantasista/GettyImagesอาการเดี้ยงของ โม ซาลาห์ กับ ฟาน ไดค์
สิ่งสุดท้ายที่ เดอะค็อป ไม่อยากให้เกิดขึ้นคือการต้องเห็นแข้งคีย์แมนของพวกเขาได้รับบาดเจ็บในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ โค้งสุดท้ายของฤดูกาลแบบนี้เมื่อการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ยังไม่สิ้นสุด ขณะที่เกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับ เรอัล มาดริด รออยู่สิ้นเดือนนี้ โม ซาลาห์ เดี้ยงจนไม่สามารถเล่นต่อไหวตั้งแต่ช่วงกลางครึ่งแรกจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม ขณะที่ ฟาน ไดค์ ถูกเปลี่ยนตัวออกเมื่อเกมจบ 90 นาที ขณะที่ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ไม่แน่ชัดนักว่าถูกอาการเจ็บเล่นงานหรือไม่ โดยสภาพร่างกายของทั้ง 3 คนยังต้องรอการอัพเดทต่อไป
Chelsea v Liverpool: The Emirates FA Cup Final / Robin Jones/GettyImagesเชลซี กับสถิติใหม่ เอฟเอ คัพ
ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ ส่งผลให้ เชลซี ทำสถิติเป็นเป็นสโมสรแรกที่เข้าชิงติดต่อกัน 3 ฤดูกาลและพลาดแชมป์ไปทั้งหมด นับตั้งแต่ปี 2020 ยุคของ แฟรงค์ แลมพาร์ด พวกเขาพ่ายต่อ อาร์เซนอล ไป 2-1 ถัดมาปีที่แล้วก็โดน เลสเตอร์ ซิตี้ พลิกล็อคชนะจากประตูชัยของ ยูริ ติเลอมองส์ 1-0 และในปีนี้ที่พ่าย ลิเวอร์พูล ในการดวลจุดโทษชี้ขาด คว้าอันดับที่สอง 3 ปีติดต่อกันได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เอฟเอ คัพ
Chelsea v Liverpool: The Emirates FA Cup Final / Marc Atkins/GettyImagesเกมรุก เชลซี ขาดจุดเปลี่ยน
อันที่จริงต้องบอกว่าวันนี้ เชลซี เองก็สร้างโอกาสสวย ๆ ได้หลายครั้ง แต่น่าเสียดายที่ที่พวกเขาไม่สามารถฉกฉวยโอกาสเหล่านั้นเอาไว้ได้เลย นอกจากนี้ก็ค่อนข้างชัดเจนว่ากำลังสำรองบนม้านั่งในปีนี้แทบไม่มีใครที่มีคุณภาพมากพอจะสามารถลงมาเป็นตัวเปลี่ยนเกมได้ใน โดยเฉพาะตำแหน่งสำคัญ ๆ อย่าง วิงแบ็ค หรือแม้แต่สามแนวรุก น่าเสียดายที่วันนี้ ไค ฮาเวิร์ตซ์ ดันมาเจ็บเสียก่อน มิฉนั้นเราอาจจะได้เห็นเขาลงมาเป็นตัวพลิกเกมในช่วงท้าย ซึ่งนี่จะเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้กลุ่มทุนชุดใหม่ ต้องรีบสะสางทันทีทันใดในซัมเมอร์นี้ หากต้องการจะพาทีมกลับสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง
Chelsea v Liverpool: The Emirates FA Cup Final / Marc Atkins/GettyImagesจุดโทษไหม ?
หนึ่งในจังหวะปัญหาที่แม้แต่ผู้บรรยายภาษาอังกฤษยังมองว่าค้านสายตานั่นคือจังหวะที่ ฮาคิม ซิเยค กำลังจะเข้าถึงบอลในกรอบเขตโทษแต่ถูก อิบราฮิมา โคนาเต้ เข้ามากระแทกจากด้านหลังปลิวล้มลงไป ซึ่งผู้ตัดสิน เคร็ก พอว์สัน ตัดสินใจปล่อยให้เกมดำเนินต่อไป แต่หากมาดูภาพช้ามันก็มีน้ำหนักมากพอเช่นเดียวกัน เพระาถึงแม้จะใช้ไหล่ แต่จังหวะนั้น ซิเยค เตรียมจะเข้าชาร์จที่บอลได้ก่อนและ โคนาเต้ เองก็ไม่ได้มีเจตนาเล่นที่บอล จนผู้บรรยายถึงกับวิเคราะห์ว่าถ้าไม่ใช่นัดชิงชนะเลิศลูกนี้น่าจะได้จุดโทษแน่นอน
Chelsea v Liverpool: The Emirates FA Cup Final / Chris Brunskill/Fantasista/GettyImages