ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน มี 2 กองหน้าดาวรุ่งจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ที่สามารถสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่ววงการฟุตบอลยุโรป คนหนึ่งน่าจะรู้จักกันดี เพราะเขาคือ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ดาวยิงระดับตำนานชาวสวีเดน
ในขณะที่อีกคนหนึ่ง เขาได้รับการคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นยอดศูนย์หน้าของโลก จากฝีเท้าที่โดดเด่นไม่แพ้กัน แถมยังมีอายุน้อยว่า ซลาตัน ถึง 2 ปี ชื่อของเขาคือ มิโด้
อย่างไรก็ดี เขากลับไปไม่ถึงจุดนั้น เกิดอะไรขึ้นกับแข้งที่เคยถูกขนานนามว่า “ราชาแห่งไคโร” รายนี้? ติดตามไปพร้อมกับ Main Stand
ราชาแห่งไคโร
อาเหม็ด ฮอสซัม ฮุสเซน อับเดลฮามี หรือที่เรียกสั้นๆว่า มิโด้ เกิดและเติบโตที่กรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์ อันที่จริงเขาเป็นแข้งที่น่าจับตามาตั้งแต่วัยละอ่อน หลังยิงประตูได้ทันทีตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ลงสนามให้ ซามาเล็ค ยอดทีมในลีกสูงสุดในฤดูกาล 1999 ด้วยวัยเพียง 16 ปี
ฝีเท้าที่โดดเด่น ทำให้เขาได้รับความสนใจจากสโมสรในต่างประเทศ และในปีต่อมา เขาก็ได้ย้ายไปอยู่กับ เกงค์ ทีมจากลีกเบลเยียม ก่อนจะตอบแทนสโมสรด้วยการยิงไปถึง 11 ประตูจาก 21 นัดในลีก
และมันไม่ได้หยุดแค่นั้น เมื่อผลงานของเขาไปเข้าตาแมวมองของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ทีมจากเนเธอร์แลนด์ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการปั้นเด็ก จนทำให้เขาได้เข้ามาเล่นในถิ่นอัมสเตอร์ดัม อารีนา ในปี 2001 ปีเดียวกันกับเด็กหนุ่มร่างโย่งจากสวีเดนที่ชื่อว่า ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เข้ามาสู่ทีม
“ทุกคนประทับใจในตัวเขา (มิโด้) แมวมอง, เจ้าหน้าที่เทคนิค ทุกคนที่เคยเห็นเขาเล่นคิดว่าเขามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม” ลีโอ บีฮัคเกอร์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของอาแจ็กซ์ กล่าวกับ Vice
และดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น เมื่อ มิโด้ ที่อายุน้อยกว่า ทำผลงานแซงหน้า ซลาตัน ด้วยการซัดไปถึง 12 ประตูจาก 24 นัด (ซลาตันยิง 6 ประตูจาก 24 นัด) โดยเฉพาะ 9 นัดสุดท้ายที่เขายิงไปถึง 10 ประตู พร้อมช่วยให้อาแจ็กซ์คว้าแชมป์ลีกและฟุตบอลถ้วย จนได้รับฉายาจากแฟนบอลว่า “ราชาแห่งไคโร”
และการเชิดชูก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในสนาม เมื่อได้รับการยอมรับจากฟุตบอลยุโรป ทำให้ มิโด้ ที่เป็นเหมือนสตาร์ของอียิปต์อยู่แล้วได้รับการยกย่องขึ้นไปอีก ทุกครั้งที่กลับมาที่ประเทศ เขามักจะถูกห้อมล้อมไปด้วยกองทัพนักข่าวและแฟนบอลไม่ต่างจากดาราฮอลลีวูด
ความดังของเขายังวัดได้จากการปรากฏตัวอยู่ในหน้าบันเทิงของสื่อแทบลอยด์ระดับประเทศอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ตอนอายุ 20 ปี งานแต่งงานของเขายังถูกถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศอียิปต์ พร้อมทำลายสถิติด้วยยอดผู้ชมสูงสุดในปีดังกล่าว
“มิโด้ คือสิ่งที่คนตามท้องถนนในอาหรับนึกถึง มิโด้ กลายเป็นคำที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายชาวอาหรับพากันพูดถึง สำหรับชาวอียิปต์ เขาเป็นเหมือนสิ่งที่ มาราโดนา เป็นในอาร์เจนตินา และบางทีอาจจะมากกว่านั้น” Guardian สื่ออังกฤษเขียนถึงตัวเขาเมื่อปี 2003
อย่างไรก็ดี สถานะดังกล่าวก็เป็นเหมือนดาบสองคมสำหรับเขา
ทะนงในชื่อเสียง
เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลที่ 2 ดูเหมือนว่าชีวิตของมิโด้กับอาแจ็กซ์ยังคงหอมหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า โดยเฉพาะในช่วงต้นซีซั่นที่ดาวยิงจากอียิปต์กระซวกตาข่ายคู่แข่งไปได้ถึง 9 ประตูจาก 16 นัด หรือเฉลี่ย 2 นัดต่อประตู
ทว่าทุกสิ่งก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเข้าสู่เดือนกันยายน 2002 เมื่อเขาออกมาให้ข่าวว่าอยากจะย้ายออกจากทีมในช่วงตลาดนักเตะหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง
แม้ว่าในตอนนั้น มิโด้ จะทำผลงานได้อย่างเปรี้ยงปร้าง ด้วยการทำไป 2 ประตูกับ 2 แอสซิสต์ แต่การออกมาพูดแบบนี้ แสดงถึงความไม่เป็นมืออาชีพ และทำให้เขาถูกแบนและปรับเงินจากสโมสร
แต่นั่นเป็นแค่ระเบิดลูกแรก เมื่อหลังจากนั้น มิโด้ดูเหมือนจะขาดความทุ่มเท แถมยังแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนเมื่อต้องเป็นตัวสำรอง ทำให้ถึงเขาจะทำประตูได้ เขาก็ยังถูกตำหนิจาก โรนัลด์ คูมัน กุนซือของทีมในตอนนั้น
“ในประเทศของตัวเอง เขาอาจจะถูกมองว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่เขาควรตระหนักว่ายังมีหลายสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้และระลึกถึงความหมายของการเล่นให้กับสโมสรอย่างอาแจ็กซ์” คูมัน กล่าว
“ถ้าผมให้เขาอยู่ตรงม้านั่งสำรอง เขาก็จะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้รับการเคารพ”
และฟางเส้นสุดท้ายก็มาขาดลงในช่วงต้นปี 2003 เมื่อ มิโด้ ทะเลาะกับ ซลาตัน จนถึงขั้นขว้างกรรไกรใส่กองหน้าชาวสวีเดน ผลจากการวิวาทครั้งนั้นทำให้เขาถูกลงโทษทางวินัยด้วยการถูกลดชั้นลงไปเล่นในทีมสำรอง
ความเอือมระอากับพฤติกรรมที่นอกลู่นอกทางและไลฟ์สไตล์แบบซูเปอร์สตาร์ ทำให้ในที่สุดอาแจ็กซ์ก็หมดความอดทน ในเดือนมีนาคม 2003 เขาจึงถูกปล่อยตัวไปให้ เซลต้า บีโก้ ยืมตัว ก่อนจะขายขาดให้แก่ โอลิมปิก มาร์กเซย ด้วยราคาสูงถึง 12 ล้านยูโร ในฤดูกาล 2003-2004 และทำให้เขากลายเป็นนักเตะอียิปต์ที่มีค่าตัวแพงที่สุดในตอนนั้น
แต่สุดท้ายเขาก็อยู่กับทีมได้ไม่นาน เมื่อในอีกหนึ่งปีให้หลัง มิโด้ ถูกขายไปให้ โรม่า ด้วยราคาที่ต่ำกว่าครึ่งและแทบไม่เข้าใกล้กับคำว่าประสบความสำเร็จกับทีมใดเลย
และเมื่อเวลาผ่านไป ดูเหมือนว่าเขาจะกู่ไม่กลับอีกเลย
ตอกย้ำความเป็นแบดบอย
อันที่จริง มิโด้ เกือบจะหักพวงมาลัยพาชีวิตหนีจากโค้งแห่งความพินาศมาได้ตอนย้ายไปเล่นให้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ในฤดูกาล 2005-2006 หลังยิง 2 ประตูในนัดประเดิมสนามที่พบกับพอร์ทสมัธ และยิงไปถึง 11 ประตูจาก 27 นัดในซีซั่นต่อมา จนกลายเป็นขวัญใจคนใหม่ในถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลน
“การได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วกับทุกสโมสรที่ผมลงเล่นเป็นเพราะบุคลิกของผม ผมเข้าไปในห้องแต่งตัวด้วยความมั่นใจมาก และมันก็ช่วยผมได้มาก” มิโด้ กล่าวกับ The Set Pieces
ทว่าการกลับไปเล่นให้ทีมชาติในศึกแอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ 2006 ที่อียิปต์เป็นเจ้าภาพในช่วงต้นปีนั้นกลับทำให้ภาพลักษณ์ของ “เด็กเกเร” ของ มิโด้ ได้รับการตอกย้ำอีกครั้ง
ในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว มิโด้ ประเดิมสนามได้อย่างยอดเยี่ยม หลังยิงประตูได้ทันทีตั้งแต่นัดแรกในเกมพบกับ ลิเบีย และมีส่วนช่วยให้ทีมบ้านเกิดทะลุถึงรอบน็อกเอาต์ได้สำเร็จ
แต่ในเกมรอบรองชนะเลิศที่พบกับ เซเนกัล มิโด้ กลับเล่นไม่ออก และถูก ฮัสซัน เชฮาตา กุนซือของทีมเปลี่ยนตัวออกจากสนาม ด้วยความไม่พอใจเขาจึงเข้าไปต่อว่า เชฮาตา อย่างหนัก ถึงขั้นเรียกโค้ชว่า “ไอโง่”
“ผมโกรธมากที่เชฮาตาเปลี่ยนตัวผมออก ผมไม่ได้เล่นแย่ขนาดนั้น ถ้าผมได้อยู่ต่อ ผมน่าจะทำประตูได้ ผมอยากขอโทษแฟนบอล แต่ผมจะไม่ขอโทษเชฮาตา” มิโด้ ย้อนความหลัง
ตลกร้ายที่ อาร์เมอร์ ซากี คนที่ เชฮาตา เปลี่ยนตัวลงไปแทน มิโด้ กลายเป็นผู้ซัดประตูชัยพาอียิปต์เข้าชิงชนะเลิศได้สำเร็จ แถมยังไปไกลถึงการคว้าแชมป์หลังเอาชนะการดวลจุดโทษกับ ไอวอรี่ โคสต์ 4-2
ท่ามกลางความชื่นมื่นของคนในประเทศ กลายเป็น มิโด้ ที่ต้องชอกช้ำ เขาถูกแบนจากทีมชาตินานถึง 6 เดือนจากพฤติกรรมในศึกชิงแชมป์ทวีป แม้ว่าหลังจากนั้น เขาจะได้กลับมาลงเล่นให้ทีมชาติ แต่เขาก็ไม่เคยถูกเรียกใช้ในทัวร์นาเมนต์เมเจอร์ใหญ่อย่างแอฟคอนอีกเลย
นอกจากนี้ เหตุการณ์สุดอื้อฉาวครั้งนั้นดูเหมือนจะส่งผลต่อฟอร์มการเล่นระดับสโมสร มิโด้ เปลี่ยนเป็นคนละคนในฤดูกาลต่อมา เขาทำได้เพียงแค่ประตูเดียวตลอดการลงสนาม 12 เกม
ขณะเดียวกัน เขายังไปพูดดูถูก โซล แคมป์เบลล์ อดีตตำนานของสเปอร์สว่าเป็น “กองหลังที่ผ่านง่ายที่สุด” จน มาร์ติน โยล กุนซือของสเปอร์สในตอนนั้นโกรธในระดับควันออกหู
“ผมได้คุยกับมิโด้แล้ว และเขาก็รู้แล้วว่านี่ไม่ใช่ความเห็นที่จะใช้กับเพื่อนร่วมทีมคนอื่น” โยล กล่าวกับ Sky Sports
“โซลยังคงได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากจากแฟนบอลของเรา ความเห็นของมิโด้ไม่เพียงแค่ดูหมิ่นเท่านั้น แต่ยังขาดความรับผิดชอบอีกด้วย”
ท้ายที่สุดเขาก็ถูกขายไปให้ มิดเดิลสโบรห์ และใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการรักษาอาการบาดเจ็บ โดยได้ลงสนามเพียงแค่ 25 นัดตลอด 2 ฤดูกาลในถิ่นริเวอร์ไซด์ ก่อนจะร่วงตกชั้นไปพร้อมกับทีมในซีซั่น 2008-2009
“ผมพลาดครั้งใหญ่ที่ออกจากสเปอร์สไปมิดเดิลสโบรห์ ผมอดทนไม่มากพอที่จะได้ลงเล่น และทำให้ผมไม่ได้เล่นอีกต่อไป” มิโด้ บอกกับ The Set Pieces
หลังจากนั้น มิโด้ ก็กลายเป็นแข้งพเนจรอย่างสมบูรณ์ เขาถูกปล่อยให้ วีแกน และ เวสต์แฮม ยืมตัวไปใช้งาน รวมถึงได้กลับไปเล่นให้กับสโมสรเก่าอย่าง ซามาเล็ค และ อาแจ็กซ์ ในช่วงสั้นๆ ก่อนจะแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 30 ปี โดยลงเล่นให้กับ บาร์นสลีย์ สโมสรในลีกรองของอังกฤษเป็นทีมสุดท้าย
อย่างไรก็ดี นั่นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของความบ้าระห่ำครั้งใหม่ของเขา
เกือบตายก่อน 40 ปี
มิโด้ ห่างหายจากวงการฟุตบอลไปได้ไม่นาน เขาก็ได้งานใหม่ที่ยังคงเกี่ยวข้องกับเกมลูกหนัง นั่นคือการเป็นนักวิเคราะห์เกม พรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้กับช่องในภูมิภาคอาหรับ
มันเป็นงานที่เขาทำได้ดีและถูกจริต การได้อยู่ในจอโทรทัศน์เป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบมาตลอด ทว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาชอบไม่แพ้กันนั่นคือ การเป็นโค้ช และเขาเองก็มีใบอนุญาตระดับ เอ ไลเซนส์ ที่ได้มาตอนไปลงคอร์สอบรมกับสมาคมฟุตบอลเวลส์หลังแขวนสตั๊ด
“มาร์กแซล เดอไซญี่ ที่กำลังทำงานให้ beIn Sports บอกผมให้ไปเรียนโค้ชที่เวลส์ และบอกว่ามันเป็นสิ่งดีที่สุดสำหรับผมที่จะได้รับการศึกษาที่ดี และมันก็ไม่ผิดเลย” มิโด้ บอกกับ Guardian
ปี 2014 มิโด้ ก็ได้ประเดิมการคุมทีมเป็นครั้งแรก หลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเฮดโค้ชของ ซามาเล็ค อดีตทีมเก่าของเขาด้วยวัยเพียง 30 ปี ก่อนจะพาทีมคว้าอันดับ 3 ในอียิปต์ พรีเมียร์ลีก และคว้าแชมป์อียิปต์ได้ทันที
ด้วยวัยที่มากขึ้น ทำให้ มิโด้ ดูเติบโตขึ้น จากนั้นเขาก็ได้คุมทีมอีกมากมาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึง ลีเซร์ ในลีกเบลเยียม และ อัล เวห์ดา ในลีกซาอุดีอาระเบีย
อย่างไรก็ดี ขณะที่ชีวิตหลังเลิกเล่นของ มิโด้ กำลังไปได้สวย เขาก็ดันมีปัญหาใหม่ขึ้นมา และเป็นอีกครั้งที่ต้นเหตุมาจากสไตล์การใช้ชีวิตของเขา นั่นคือ “ภาวะอ้วนเกินไป”
หลังแขวนสตั๊ด มิโด้ กินในสิ่งที่อยากกิน ทำในสิ่งที่อยากทำ และมันก็ทำให้น้ำหนักตัวของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนขึ้นไปถึง 150 กิโลกรัมภายในปี 2017 ในตอนแรก เขาไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ แต่การไปเที่ยวครั้งหนึ่งกับกลุ่มเพื่อนก็ทำให้เขาเปลี่ยนความคิด
“ผมเคยหนัก 150 กิโลกรัม และถึงขั้นเดินไปได้ไม่ไกลกว่า 30 หลา” มิโด้ กล่าวกับ Guardian เมื่อปี 2018
“ผมเริ่มปวดหลัง ข้อพับ และ หัวเข่า ผมจำได้ว่าตอนที่ลงเรือที่อียิปต์เมื่อ 5 เดือนก่อน วันนั้นคือจุดเปลี่ยนของชีวิต”
“ผมเดินเข้าไปบนเกาะ ผมไปกับเพื่อน 3 คน และอยู่ห่างจากท้ายเกาะ 300 หลา ทรายมันหนักมาก และแดดก็จัดมาก ผมบอกพวกเขาว่า -ผมเดินไม่ไหว- ผมนั่งพักอยู่ 30 นาที ผมเพิ่งอายุ 34 ปี ช่วงเวลานั้นตบหน้าผมอย่างแรง”
หลังจากทริปนั้น เขาไปหาหมอทันที ก่อนจะพบว่าตัวเองเป็นเบาหวานและคอเลสเตอรอลสูง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือหากเขาไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง หมอบอกว่าเขาอาจจะตายก่อนอายุ 40 ปี
“2 วันต่อมา ผมไปหาหมอ เขาให้ผมตรวจ ตอนที่ผลออกมาหมอเริ่มพูดกับผม ผมรู้ว่าผมต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาบอกผมว่าคอเลสเตอรอลของผมอยู่ที่ 320 ซึ่งค่าเฉลี่ยสูงสุดของคนปกติจะอยู่ที่แค่ 200” มิโด้ กล่าวต่อ
“เขาบอกว่าผมเป็นเบาหวาน หมอพูดตามตรงว่าถ้าผมยังใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป มีโอกาสมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ที่ผมจะตายก่อนอายุ 40 เขาพูดว่า -คุณจะตาย-“
และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ มิโด้ คิดว่าจะใช้ชีวิตตามใจตัวเองไม่ได้อีกแล้ว
ตัวตนที่เปลี่ยนไป
คำพูดของหมอทำให้เขาตื่นจากภวังค์ ก่อนหน้านี้เขาใช้ชีวิตตามเสียงของหัวใจมาตลอด และนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ประสบความสำเร็จในฐานะนักเตะ แต่ครั้งนี้ไม่ได้แล้ว เพราะเขากำลังจะตาย คำว่า “คุณจะตาย” ของหมอยังคงดังก้องอยู่ในหัว
เขาจึงเริ่มคิดใหม่และให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินและการออกกำลังกาย เขางดของทอด น้ำตาล และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
“ผมเปลี่ยนแปลงสไตล์การใช้ชีวิตทั้งหมดไปแล้ว ผมไม่กินคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ดี ผมไม่กินของทอดเลย ผมไม่กินเนื้อแดง ผมไม่ใช้เกลือหรือน้ำตาล” มิโด้ กล่าวกับ Guardian
“ผมออกกำลังกาย ว่ายน้ำ เล่นสควอช เล่นฟุตบอล และยกเวตแบบง่ายๆ ถ้ามองเป็นเปอร์เซ็นต์ 70 เปอร์เซ็นต์คือสิ่งที่คุณกินและอีก 30 เปอร์เซ็นต์คือการออกกำลังกาย ถ้าคุณอยากจะลดน้ำหนักมันขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณจะเอาใส่ปาก”
ภายในระยะเวลา 5 เดือน มิโด้ สามารถลดน้ำหนักไปได้ถึง 37 กิโลกรัม และสามารถลงเล่นในเกมรวมดาราของฟีฟ่าเมื่อปี 2018 ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเดินแทบจะไม่ไหว และค่อยๆกลายเป็นคนที่มีสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ปัจจุบัน มิโด้ ยังคงฟิตและดูดี และเพิ่งจะผ่านวันเกิดครบรอบ 39 ปีไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เขาบอกว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนแล้ว ไม่มีอีกแล้ว มิโด้ ที่เคยใช้ชีวิตตามใจตัวเอง
“มันเป็นเรื่องจริงที่ตอนที่ผมเป็นวัยรุ่น ผมมีปัญหากับโค้ชบางคน ผมเป็นเด็กที่จัดการได้ยาก ผมคิดแค่เรื่องของตัวเอง ผมเห็นแก่ตัว และถ้าไม่มันเวิร์กกับผม การตัดสินใจแรกของผมคือหนีไปที่อื่น” มิโด้ ยอมรับ
“ผมเปลี่ยนทัศนคติของตัวเองทุกอย่างและเรียนรู้จากความผิดพลาด ผมทำงานมามากเพื่อที่จะกลายเป็นโค้ชที่ดี และตอนนี้ผมก็ได้รับการศึกษาที่ดีมาแล้ว”
จริงอยู่ที่เขาอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในฐานะนักเตะ แต่ใช่ว่าเขาจะล้มเหลวกับชีวิตหลังจากนั้น เหมือนที่เคยมีคำกล่าวว่า “อดีตเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่อนาคตสร้างได้” และ มิโด้ ก็กำลังทำให้เห็น