ถือเป็นข่าวที่น่าจับตาไม่น้อย เมื่อมีการเปิดเผยว่า ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ฟุตบอลยูโร จะเพิ่มจำนวนทีมในการแข่งขันรอบสุดท้ายเป็น 32 ทีม ทั้งที่พวกเขาเพิ่งปรับรูปแบบการแข่งขันเป็น 24 ทีม เมื่อปี 2016 หรือเพียง 6 ปีก่อน
การปรับเปลี่ยนที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในไม่ช้า ย่อมส่งผลต่อวงการฟุตบอลยุโรปอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นการเปิดโอกาสให้ชาติเกินครึ่งของยุโรปได้เข้ามามีส่วนกับฟุตบอลชิงแชมป์ทวีป ซึ่งผลตอบรับจากแฟนบอลแตกออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน
Main Stand จะพาไปดูว่าใครได้ใครเสีย ถ้าฟุตบอลยูโรเพิ่มทีมรอบสุดท้ายเป็น 32 ทีม และแฟนบอลทั่วโลกจะได้ประโยชน์อะไรหากความเปลี่่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจริง
ความเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แผนการเพิ่มจำนวนทีมเข้าร่วมฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปของ สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ UEFA เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2021 หรือหลังจากการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 สิ้นสุดลง โดยภารกิจต่อไปของฝ่ายจัดการแข่งขันคือการค้นหาประเทศที่จะมารับบทบาทเป็นเจ้าภาพฟุตบอลยูโร 2028 ซึ่งกระบวนการนี้จะสิ้นสุดลงในช่วงปลายปี 2023
เนื่องจากเวลาที่เหลือมากถึง 2 ปี กว่าแฟนบอลทั่วโลกจะได้รู้ว่าประเทศใดจะได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลยูโร 2028 ทาง UEFA จึงใช้โอกาสหยิบยกการเพิ่มจำนวนทีมในฟุตบอลยูโรจาก 24 ทีมเป็น 32 ทีม ขึ้นมาพิจารณา แม้ว่าพวกเขาจะเพิ่งเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันจาก 16 ทีมมาเป็น 24 ทีม เมื่อการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 ที่ผ่านมา
กระแสการเพิ่มจำนวนทีมของฟุตบอลยูโรไม่ได้สร้างความแปลกใจให้แก่แฟนฟุตบอลทั่วโลกเท่าไรนัก เนื่องจากเมื่อหันไปยังการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง ฟุตบอลโลก ทาง FIFA ก็ได้ผลักดันจนเกิดการเพิ่มจำนวนทีมจาก 32 ทีม เป็น 48 ทีมได้สำเร็จเรียบร้อยมาตั้งแต่ปี 2017 และจะเริ่มต้นการใช้รูปแบบการแข่งขันนี้อย่างเป็นทางการในฟุตบอลโลก 2026 ที่ประเทศแคนาดา, สหรัฐอเมริกา และ เม็กซิโก ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ
นี่จึงถือเป็นสัญญาณสำคัญที่ทำให้ฟุตบอลยูโรต้องปรับตัว เพื่อรักษาความยิ่งใหญ่ในฐานะทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลนานาชาติอันดับ 2 ของโลกเอาไว้ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ข่าวนี้ถูกเปิดเผยสู่สาธารณชนทันทีที่การแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 สิ้นสุดลง เพราะ UEFA ต้องการให้ประเทศที่สนใจจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันยูโร 2028 เข้าใจถึงความสามารถในการรองรับการแข่งขันฟุตบอลซึ่งมีผู้เข้าร่วมแข่งขันมากถึง 32 ทีม
ถึงแม้ UEFA จะแสดงความตั้งใจชัดเจนว่าต้องการเพิ่มทีมในฟุตบอลยูโร พวกเขายังแบ่งรับแบ่งสู้และมักจะกลับคำในประเด็นนี้บ่อยครั้ง โดยในเดือนมกราคม ปี 2022 ทาง UEFA ได้ส่งคำแถลงแก่หนังสือพิมพ์ Irish Examiner เพื่อปฏิเสธข่าวลือที่บอกว่าพวกเขาล็อกเป้าให้ สหราชอาณาจักร และ ไอร์แลนด์ เป็นเจ้าภาพฟุตบอลยูโร 2028 และยืนยันว่าการพูดคุยเพื่อเพิ่มทีมในฟุตบอลยูโรยังไม่เคยเกิดขึ้น
“เรายังไม่มีการหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มทีมในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2028 เป็น 32 ทีม ขณะนี้มีเพียงการกำหนดแนวทางของประเทศที่จะเข้ามารับหน้าที่เจ้าภาพฟุตบอลยูโร 2028 เท่านั้น ซึ่งเราได้เผยแพร่ออกไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว (ระบุชัดเจนว่าเป็นทัวร์นาเมนต์ 24 ทีม)”
แต่เพียงหนึ่งเดือนถัดมาหลังจากคำแถลงนี้ มีการยืนยันออกมาจากสื่ออย่าง Daily Mail ว่า UEFA จะเพิ่มจำนวนทีมในการแข่งขันฟุตบอลยูโรเป็น 32 ทีม และ สหราชอาณาจักร กับ ไอร์แลนด์ จะได้เป็นเจ้าภาพของการแข่งขันอย่างแน่นอน โดยรายงานกล่าวว่า UEFA มีการพูดคุยกับชาติสมาชิกทั้งหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงการพูดคุยกับสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ หรือ PFA เพื่อหาข้อสรุปให้เกิดขึ้นได้เร็วที่สุด
แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่จากทิศทางของกระแสข่าวที่ผ่านมาดูเหมือนว่าการประกาศเพิ่มทีมเข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลยูโรเป็น 32 ทีมจะเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้ ซึ่งแน่นอนว่าหากความเปลี่ยนแปลงนี้มาถึงจริงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของฟุตบอลยุโรปย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โอกาสในการปรับโครงสร้างเพื่อความสนุกที่มากขึ้น
ประเด็นที่ผู้คนสนใจมากเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของฟุตบอลยูโรจาก 24 ทีม สู่ 32 ทีม คือเรื่องการปรับโครงสร้างการแข่งขัน เพราะมีแฟนฟุตบอลจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่า การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปไม่สนุกเหมือนแต่ก่อน นับตั้งแต่เปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันสู่ระบบ 24 ทีม
มีหลายคนวิจารณ์ว่าฟุตบอลในระดับทัวร์นาเมนต์แบบ 24 ทีม เป็นรูปแบบการแข่งขันฟุตบอลที่ห่วยแตกที่สุดตลอดกาล โดยส่วนใหญ่วิจารณ์ไปยังการแข่งขันรอบแรกของฟุตบอลยูโร ซึ่งจะหาทีมตกรอบเพียง 8 จาก 24 ทีม เนื่องจากทีมอันดับสามที่ดีที่สุดจะมีโอกาสเข้ารอบมากถึง 4 ทีม
ด้วยเหตุนี้ การแข่งขัน 36 นัดที่เกิดขึ้นในรอบแรกจึงไม่ได้มีความเข้มข้นมากอย่างที่ควรจะเป็น มีตัวอย่างมากมายที่แสดงให้เห็นในฟุตบอลยูโร 2020 ที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่นการแข่งขันนัดสุดท้ายของกลุ่ม D ระหว่าง สาธารณรัฐเช็ก กับ อังกฤษ ที่ไม่ส่งผลต่อการเข้ารอบของทั้งคู่ ซึ่งหากเป็นการแข่งขันระบบ 16 หรือ 32 ทีม นี่จะเป็นเกมที่สำคัญมาก เพราะท้ายที่สุดเช็กจะแพ้อังกฤษ 0-1 แล้วตกไปอยู่อันดับ 3 ของกลุ่ม ต้องตกรอบไปตามระเบียบ
แต่ไม่ใช่กับฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ 24 ทีม สาธารณรัฐเช็ก ผ่านเข้ารอบไปได้ในฐานะอันดับ 3 ที่ดีที่สุดแบบไม่มีอะไรต้องกังวล เนื่องจากการแข่งขันในกลุ่ม B และ C ซึ่งเกิดขึ้นไปก่อนหน้ามีสองทีมที่จบอันดับ 3 ด้วยคะแนนที่น้อยกว่าเช็ก นั่นจึงเป็นการการันตีว่าต่อให้พวกเขาแพ้อังกฤษ 0-10 เช็กก็ยังจะได้เข้ารอบต่อไปอยู่ดี
การหาทีมตกรอบแรกเพียง 8 จาก 24 ทีม ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการแข่งขันที่ “มอบรางวัลให้กับแต่ละทีมมากเกินไป ทั้งที่ยืนอยู่บนความเสี่ยงเพียงน้อยนิด” มีหลายครั้งที่เราเห็นบางทีมพยายามจะเล่นเพื่อเอาผลเสมอมาไว้ในมือ แทนจะเปิดหน้าแลกเพื่อคว้าชัยชนะ เนื่องจากฟุตบอลยูโรแบบ 24 ทีม การเสมอทุกนัดในรอบแรกก็สามารถช่วยให้เขาก้าวไปเป็นแชมป์ได้ในบั้นปลายเช่นกัน เหมือนกับที่โปรตุเกสทำมาแล้วในปี 2016
การแข่งขันฟุตบอลยูโรในรูปแบบ 32 ทีม จึงมีความน่าสนใจกว่ามาก โดยทาง The New York Times แสดงความเห็นว่าสิ่งที่ขาดหายไปในฟุตบอลยูโรขณะนี้คือ “ความดราม่า” เนื่องจากการแข่งขันฟุตบอลยูโรในขณะนี้ การเก็บ 3 แต้มหลังคว้าชัยชนะไม่ได้มีคุณค่าเหมือนเมื่อก่อน ขณะเดียวกันความพ่ายแพ้หรือ 0 แต้ม ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ทีมใดตกรอบแบบที่เคยเป็น
ไม่มีใครอยากเห็น ฝรั่งเศส, เยอรมัน และ โปรตุเกส ถูกจับมาอยู่กลุ่มเดียวกันในรอบแรก เพียงเพื่อสุดท้ายพวกเขาจะกอดคอกันเข้ารอบทั้งสามทีม ฟุตบอลกลุ่ม F ของยูโร 2020 จึงแทบจะเป็นการแข่งขันที่ไร้ความหมาย และทีมที่สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมมากที่สุดคือ ฮังการี ซึ่งท้ายที่สุดเป็นทีมเดียวที่ตกรอบ
การปรับเปลี่ยนจำนวนทีมของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปจาก 24 ทีม เป็น 32 ทีม จึงถือเป็นข่าวดีของแฟนฟุตบอลทั่วโลก เพราะนี่จะเป็นการกลับมาของรูปแบบการแข่งขันที่เรียบง่าย เข้าใจได้ และสนุกมากยิ่งขึ้น ซึ่งสำหรับแฟนฟุตบอลจอตู้ชาวไทย นี่อาจเป็นประโยชน์ที่เราเห็นชัดมากที่สุดหากรูปแบบการแข่งขันฟุตบอลยูโรเปลี่ยนแปลงจริง
ฟุตบอลยุโรปที่ทุกชาติสามารถมีส่วนร่วม
สำหรับฟุตบอลในทวีปอื่น การเพิ่มชาติเข้าร่วมแข่งขันเป็น 32 ทีมจะหมายถึงการแข่งขันที่สนุกมากขึ้น แต่สำหรับแฟนบอลในยุโรปเรื่องนี้มีความหมายมากกว่านั้น เพราะนี่จะหมายถึงโอกาสของประเทศเกินกว่าครึ่งในยุโรปที่จะมีโอกาสเข้าเป็นส่วนร่วมของรายการฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีป
ในปัจจุบัน UEFA มีชาติสมาชิกทั้งหมด 55 ประเทศ ซึ่งหากการแข่งขันฟุตบอลยูโรถูกปรับเป็นระบบ 32 ทีม เท่ากับว่า ชาติเกินครึ่งหนึ่งในทวีปยุโรปจะมีส่วนร่วมกับการแข่งขัน โดยจะมีเพียง 23 ชาติเท่านั้นที่ถูกคัดออก ซึ่งหากมองไปยังประวัติศาสตร์ของฟุตบอลนานาชาติรายการใหญ่อย่าง ฟุตบอลโลก หรือ ฟุตบอลยูโร นี่จะเป็นครั้งแรกที่ทีมเข้ารอบสุดท้ายมีจำนวนมากกว่าทีมที่ตกรอบหรือไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน
ความเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมส่งผลดีไปยังหลายชาติที่มีศักยภาพพอจะเล่นในฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ใหญ่และเป็นที่รู้จักในสายตาแฟนฟุตบอลทั่วโลก เช่น เซอร์เบีย, นอร์เวย์, โรมาเนีย, ไอร์แลนด์, กรีซ หรือ บอสเนีย ซึ่งทั้งหมดเป็นประเทศที่แฟนบอลชาวไทยรู้จักเป็นอย่างกันดี แต่ทีมเหล่านี้ต่างพลาดตั๋วลุยยูโร 2020 และมีหลายทีมที่พลาดการเข้าสู่ฟุตบอลยูโรมาแล้วหลายครั้งติดต่อกัน แม้จะมีการขยายจำนวนทีมเป็น 24 ทีมแล้วก็ตาม
ลองจินตนาการถึงฟุตบอลยูโรที่ชาติชั้นนำอย่าง อิตาลี, เยอรมัน, ฝรั่งเศส, อังกฤษ, สเปน, เนเธอร์แลนด์, โปรตุเกส, เดนมาร์ก, สาธารณรัฐเช็ก, เบลเยียม, สวิตเซอร์แลนด์, โครเอเชีย, เวลส์, สกอตแลนด์, สวีเดน, เซอร์เบีย, นอร์เวย์, โรมาเนีย, ไอร์แลนด์, กรีซ, บอสเนีย, ไอร์แลนด์เหนือ และ ไอซ์แลนด์ เข้าแข่งขันกันอย่างพร้อมหน้า โดยไม่มีทีมใดพลาดแม้แต่ชาติเดียว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่จะเป็นการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทวีปยุโรปเคยมีมา
ความฝันที่แฟนฟุตบอลในยุโรปต้องการเห็นนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในระบบ 24 ทีม แต่สามารถเป็นจริงได้ในระบบ 32 ทีม เมื่อบวกกับความจริงที่พวกเขาจะเพิ่มการแข่งขันอีกแค่ 12 นัดจากของเดิมที่มีอยู่ในปัจจุบัน มันจึงเป็นการขยายขนาดของทัวร์นาเมนต์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้แก่แต่ละชาติในยุโรปได้อย่างมหาศาล
ขณะนี้ UEFA ได้ผลักดันไอเดียของยูฟ่า เนชันส์ ลีก จนเป็นรูปเป็นร่าง เพื่อสร้างความรู้สึกว่าทุกชาติในยุโรปสามารถร่วมเข้าแข่งขันฟุตบอลรายการเดียวกันได้ บางทีนี่อาจเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วหากพวกเขาจะเดินหน้าสร้างการแข่งขันที่ทุกชาติในยุโรปไม่เพียงสามารถมีส่วนร่วมได้จริง แต่ยังเป็นการแข่งขันที่มีคุณค่าและมีความหมายให้แฟนบอลทุกคนได้จดจำ
หรือความสำคัญจะอยู่เพียงแค่เรื่องของเงิน?
ถึงการเพิ่มจำนวนทีมจาก 24 ทีมเป็น 32 ทีม ของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปจะสร้างผลดีแก่แฟนฟุตบอลอย่างทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็นแฟนฟุตบอลในพื้นที่หรือแฟนฟุตบอลทั่วโลก แต่ใช่ว่าทุกคนจะแฮปปี้กับความเปลี่ยนแปลงนี้
เพราะในทางกลับกัน การการันตีว่าชาติเกินครึ่งในยุโรปจะได้เข้าร่วมแข่งขันจะเป็นการลดความสำคัญของรอบคัดเลือกอย่างน่าใจหาย ซึ่งเมื่อมองจากมุมของแฟนบอลจากประเทศใหญ่ เช่น อังกฤษ หรือ เยอรมัน ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ส่งผลดีอะไรต่อพวกเขาเลย
มีคำถามเกิดขึ้นว่า ฟุตบอลยูโร จะกลายเป็นเพียงทัวร์นาเมนต์โชว์ตัวของฟุตบอลยุโรปหรือไม่? เนื่องจากความหมายของรอบคัดเลือกซึ่งเป็นการคัดกรองทีมที่ดีที่สุดสู่การแข่งขันได้ถูกลดทอนลงไป ซึ่งจะหมายถึงการปล่อยให้ชาติที่อาจมีชื่อเป็นที่รู้จักในวงกว้างแต่คุณภาพของทีมขณะนั้นไม่ถึงมาตรฐานเข้าไปสู่การแข่งขันรอบสุดท้าย ซึ่งจะส่งผลกับคุณภาพของการแข่งขันที่ไม่ส่งผลดีต่อทั้งแฟนบอลและนักเตะ
“เรื่องนี้จะทำร้ายคุณภาพของการแข่งขัน เด็กรุ่นใหม่จะไม่ได้เห็นความยอดเยี่ยมจากไอดอลของพวกเขา นั่นคือความจริงที่ต้องยอมรับ แน่นอนว่ามันอาจจะส่งผลดีในระยะสั้น โดยเฉพาะเรื่องเงิน แต่ในระยะยาวนี่จะเป็นการทำร้ายวงการฟุตบอล” มาเฮต้า โมลานโก้ ซีอีโอของ PFA กล่าว
ถ้าความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำร้ายฟุตบอลยุโรปจริง แล้วผลตอบแทนในระยะสั้นมันคุ้มค่าแค่ไหน? คำตอบของเรื่องนี้ชัดอยู่แล้ว เมื่อกลับไปมองรายได้ของการแข่งขันฟุตบอลยูโรที่เติบโตขึ้นหลังเปลี่ยนจำนวนทีมจาก 16 เป็น 24 ทีม โดยการแข่งขันยูโร 2016 สร้างรายได้กลับมาสู่ฟุตบอลยุโรปได้มากถึง 1.93 พันล้านยูโร ซึ่งเติบโตขึ้นจากเดิม 40 เปอร์เซ็นต์
รายได้ส่วนนี้ที่ UEFA ได้มาจะถูกจัดสรรให้แก่ชาติสมาชิกทั้งหมดใน UEFA ซึ่งขณะนี้เงินที่ชาติในยุโรปได้จาก UEFA มากกว่าที่พวกเขาได้จาก FIFA เกินสองเท่า จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหากชาติในยุโรปจะไฟเขียวการเพิ่มทีมในฟุตบอลยูโรเป็น 32 ทีม เพราะนั่นหมายถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นไปอีก
ขณะนี้เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการหาเงินเข้าสู่คลังของแต่ละประเทศในยุโรปเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน หรือผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งหมดต่างส่งผลต่อเศรษฐกิจของยุโรปอย่างใหญ่หลวง นี่จึงเป็นเรื่องสำคัญหากฟุตบอลจะสามารถสร้างรายได้มาทดแทนจากส่วนนี้ได้
การขยายฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเป็น 32 ทีม ยังช่วยเพิ่มโอกาสที่ประเทศในทวีปจะได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในอนาคต ซึ่งจะหมายถึงรายได้มหาศาลที่จะเข้ามาในอนาคตเช่นกัน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ UEFA เลือกเยอรมันและสหราชอาณาจักรเป็นเจ้าภาพฟุตบอลยูโร นั่นก็เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่ามหาอำนาจของยุโรปพร้อมและแข็งแกร่งพอที่จะรับบทบาทเจ้าภาพฟุตบอลโลก
แผนการเพิ่มจำนวนทีมในฟุตบอลยูโรเป็น 32 ทีมจึงอาจไม่มีใจความสำคัญที่มากไปกว่าการการันตีผลกำไรมหาศาลจากค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด และการทำการตลาดสู่แฟนฟุตบอลหน้าใหม่ทั่วโลก ซึ่งอาจกลับมาทำร้ายคุณภาพของตัวเองในอนาคต
แต่เมื่อมองไปยังเศรษฐกิจของยุโรปในปัจจุบัน นี่อาจเป็นความเปลี่ยนแปลงที่สมควรเกิดขึ้น และมันอาจจะมีค่าต่อชีวิตของผู้คนในพื้นที่มากกว่าความสนุกของฟุตบอล