การมาเยือนแอนฟิลด์ ยังคงเป็นของสแลงสำหรับอาร์เซนอลต่อไปอีกหนึ่งฤดูกาล เมื่อพวกเขาสามารถออกนำไปก่อนสองประตู แต่กลับไม่สามารถเก็บสามคะแนนออกมาได้ ที่ต้องขอบคุณ อารอน แรมสเดล ที่เซฟพัลวันในช่วงท้ายเกมก่อนจบด้วยผลเสมอ 2-2 ในเกมนี้
ที่นี่แอนฟิลด์
กลายเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่อาร์เซนอลมาเยือนแอนฟิลด์ในเกมพรีเมียร์ ลีก และไม่สามารถกลับออกมาพร้อมกับชัยชนะเป็นฤดูกาลที่ 10 ติดต่อกัน หลังจากเคยคว้าชัยมาได้ครั้งล่าสุดในฤดูกาล 2012-2013 กับบรรยากาศในสนามแอนฟิลด์ที่ปลุกเร้าทีมเจ้าบ้านตลอด 90 นาที และเกือบทำให้พวกเขาคว้าชัยได้ในเกมนี้ แม้จะตามหลังไปก่อนถึงสองประตูก็ตาม
เกมเดือดระดับ 5 ดาว
เกมนี้บอกได้คำเดียวว่าหากแฟนบอลพลาดการรับชมสด ๆ ไปนี่คงเสียดายแย่ เพราะตลอด 90 นาทีแทบไม่มีเวลาให้หายใจหายคอเลย ด้วยรูปเกมที่ทีมเยือนต้องการ 3 คะแนนและเป็นบุกมานำ 0-2 แต่เจ้าบ้านไม่ยอมแพ้มีฮึดไล่ตีไข่แตกก่อนหมดครึ่งแรกไล่มาเป็น 1-2 ก่อนจะพับสนามบุกเข้าใส่คืนในครึ่งหลัง ซึ่งนักเตะ อาร์เซนอล ปั่นปวนลนลานชนิดที่ขอแค่ให้บอลอยู่ไกลพื้นที่อันตรายมากที่สุด ขณะที่ ลิเวอร์พูล ก็บุกเอา ๆ และได้จบเหน่ง ๆ หลายครั้ง ไม่คมบ้างติดเซฟบ้างลุ้นกันไปกันมาจนสุดท้ายตีเสมอได้สำเร็จช่วงท้ายเกมเป็น 2-2 แบ่งแต้มไปอย่างสุดมันส์ชนิดที่ลุ้นจนหัวใจจะวายกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว
อาร์เซนอลในวันที่ “เสียทรง”
แน่นอนว่านี่คือหนึ่งเกมที่แย่ที่สุดของอาร์เซนอลในฤดูกาลนี้ แม้จะมีคะแนนกลับออกไป แต่รูปเกมในครึ่งแรก กับ ครึ่งหลัง ต่างกันราวฟ้ากับเหว จากทีมที่กลายเป็นเกมรุกดุดัน กลายเป็นทีมที่ต้องหนักไปทางเล่นเกมรับ และยิ่งตอกย้ำชัดเจนเมื่อมีการเปลี่ยนตัว ยาคุบ คิวิออร์ แนวรับโปแลนด์ลงสนามนที่หวังจะรักษาสกอร์ไห้ได้ และสุดท้ายทุกอย่างก็พัง
เกมหนักปลุกชีพ หงส์แดง
สำหรับ 30 นาทีแรกฟอร์มของ ลิเวอร์พูล ในเกมนี้ห่วยแตกยิ่งกว่าทีมหนีตกชั้น โดนไล่บดไล่ต้อนอยู่ฝ่ายเดียวจนโดนนำไปก่อน 0-2 แบบไม่มีทรง กระทั่งรูปเกมที่อึดอัดบวกกับสกอร์ที่นำห่าง นั่นอาจเป็นปัจจัยให้ หงส์แดง เริ่มเล่นด้วยความอารมณ์โกรธและจริงจังมากขึ้น ซึ่งนั่นกลับกลายเป็นผลดีที่ทำให้รูปเกมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเข้าบอลได้อย่างดุดัน มีลูกแถม มีลูกตอด ปะทะด้วยความเกรียวกราด บวกเป็นบวก จนสามารถพลิกเกมเป็นฝ่ายข่มทีมเยือนคืนได้แบบหน้าตาเฉย และเมื่อประตูตีไข่แตกมาใจก็มา หลังจากนั้นเกมก็อยู่ในการควบคุมของพวกเขาจนจบ 90 นาที
ซาลาห์ พลาดจุดโทษ (อีกแล้ว)
แน่นอน โม ซาลาห์ ยังคงเป็นตัวความหวังอันดับ 1 ของ ลิเวอร์พูล ณ เวลานี้ แต่… แม้ว่าเจ้าตัวจะมีสกอร์ติดตัว แต่วันนี้ฟอร์มการจบสกอร์ของเขาน่าผิดหวังเสียเหลือเกินจากโอกาสจ่อ ๆ เหน่ง ๆ หลายต่อหลายครั้งที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้โดยเฉพาะลูกจุดโทษที่ยิงหลุดเสามุมเดิมมุมเดียวกับที่สังหารพลาดและแพ้ บอร์นมัธ ไปเมื่อกลางเดือนมีนาคม แถมลูกที่ยิงได้ก็โชคช่วยที่ เฮนเดอร์สัน ยิงผิดเหลี่ยมไปเข้าทาง กาเบรียล สะกัดบอลไปโดนเท้า ซาลาห์ เข้าประตูไป แน่นอนถ้าเขาคมกว่านี้สักหน่อยและเปลี่ยนโอกาสที่มีเป็นประตูได้ มันคงเป็นดับฝันคว้าแชมป์ของ ปืนใหญ่ ไปได้มากพอสมควรเลยทีเดียว
แรมส์เดล ช่วย อาร์เซนอล ยังอยู่ในเส้นทาง
นอกจาก กาเบรียล มาร์ติเนลลี หรือ กาเบรียล เชซุส ที่ฟอร์มโดดเด่นในเกมนี้ ยังมีอีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยนั่นคือ อารอน แรมส์เดล ที่วันนี้เซฟถุงมือแทบขาด โดยเจ้าตัวมีจังหวะบินปัดสวย ๆ ช่วยทีมไว้ได้อย่างน้อย 4 ครั้งสำคัญ ๆ โดยเฉพาะท้ายเกมที่โดนกดอย่างหนักอยู่ฝ่ายเดียวแต่เขาก็ยังคุมสติช่วยป้องกันลูกยาก ๆ ได้เกือบหมด แม้สุดท้ายทีมจะได้แค่ 1 คะแนนแต่การที่มือกาวชาวอังกฤษรายนี้ช่วยทีมไม่ให้พ่ายแพ้นั่นหมายความว่าพวกเขายังคงได้เปรียบอยู่เล็กน้อยบนเส้นทางไล่ล่าแชมป์ลีกที่ดูเหมือนจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอีกต่อไป
สถานการณ์ลุ้นแชมป์ที่หวาดเสียวขึ้นมาทันตา
1 คะแนนในเกมนี้ของ อาร์เซนอล ทำให้พวกเขานำห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 6 แต้มแต่ ปืนใหญ่ ลงแข่งมากกว่า 1 เกม นั่นหมายความว่าหาก ซิตี้ คว้าชัยในนัดตกค้างคะแนนจะตามแค่ 3 แต้มแต่ตอนนี้ เรือใบสีฟ้า มีผลต่างประตูได้-เสียที่ดีกว่า 5 ลูก ฉนั้นเกมตัดสินแชมป์จะไปอยู่ในวันที่ 27 เมษายนนี้ทันทีที่ อาร์เซนอล จะบุกไปเยือน เอติฮัด สเตเดี้ยม รังเหย้าของ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งนัดนั้นจะเรียกว่าเป็นนัดชิงชนะเลิศ พรีเมียร์ลีก เลยก็คงไม่ผิดนัก ซึ่งข้อได้เปรียบของ ปืนใหญ่ เล็ก ๆ คือ เรือใบ ยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ เอฟเอ คัพ โดยเฉพาะบอลยุโรปที่เป็นถ้วยที่ เป๊ป ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก บางทีนั่นอาจทำให้พวกเขาเหนื่อยล้าหรืออาจจำเป็นพักนักเตะบางเกมจนสะดุดขาตัวเองบ้างก็เป็นได้…