sportpooltoday

“โฮนาส กูเตียร์เรซ” : นักฟุตบอลผู้ชนะมะเร็งและช่วยทีมรอดตกชั้นจนเป็นขวัญใจแฟน


"โฮนาส กูเตียร์เรซ" : นักฟุตบอลผู้ชนะมะเร็งและช่วยทีมรอดตกชั้นจนเป็นขวัญใจแฟน

เมื่อพูดถึงนักฟุตบอลที่โดดเด่นที่สุดของ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในช่วง 10 ปีหลัง โฮนาส กูเตียร์เรซ กองกลางชาวอาร์เจนตินาย่อมเป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งเอกลักษณ์ที่ทุกคนจดจำเขาได้ดีย่อมหนีไม่พ้น การสวมหน้ากากสไปเดอร์แมนหลังทำประตูได้

แต่ช่วงเวลาสำคัญของนักเตะรายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในวันที่เขารุ่งเรืองที่สุด เพราะในช่วงปี 2013-14 เขาต้องต่อสู้กับโรคมะเร็งอัณฑะที่ลุกลามใหญ่โต จนเจ้าตัวต้องหายจากสนามบอลยาวนานราวหนึ่งปี แถมยังต้องเสียอัณฑะหนึ่งข้างไปในการรักษา

แค่เอาชนะโรคมะเร็งได้ถือว่าแข็งแกร่งมากพออยู่แล้ว แต่สิ่งที่กูเตียร์เรซทำหลังจากนี้กลับยิ่งใหญ่กว่า เพราะในเกมสุดท้ายของฤดูกาลที่ชี้เป็นชี้ตายอนาคตของทีม นี่คือ “คัลท์ ฮีโร่” ที่ช่วยสโมสรเอาไว้ในวินาทีที่วิกฤติที่สุด จนกลายเป็นนักฟุตบอลในตำนานที่ยังคงนั่งอยู่ในดวงใจทูน อาร์มี่ ถึงทุกวันนี้

ติดตามเรื่องราวของเขาไปพร้อมกับ Main Stand ได้ที่นี่

ไอ้แมงมุมแห่งเซนต์ เจมส์ พาร์ค 

สำหรับแฟนบอลทีมอื่น โฮนาส กูเตียร์เรซ อาจไม่ใช่นักเตะที่โดดเด่นหรือถูกจดจำไปมากกว่านักเตะที่ชอบสวมหน้ากากไอ้แมงมุมหลังทำประตูได้ แต่สำหรับแฟนบอลนิวคาสเซิ่ล แข้งชาวอาร์เจนตินารายนี้ไม่ใช่นักเตะสุดเพี้ยน แต่เป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ได้รับความรัก และมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับทูน อาร์มี่ ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาก้าวสู่สนามเซนต์ เจมส์ พาร์ค

ย้ายเข้าสู่พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2008 โฮนาส กูเตียร์เรซ คือตัวรุกจอมขยันที่สร้างชื่อจนเป็นที่รู้จักขณะเล่นให้กับเรอัล มายอร์ก้า ในประเทศสเปน ผลงานที่เข้าตาของเขาส่งผลให้เจ้าตัวได้รับความสนใจจากหลายทีมในพรีเมียร์ลีกมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น พอร์ทสมัธ หรือแม้กระทั่ง ลิเวอร์พูล ที่เคยชักชวนกูเตียร์เรซเข้ามาทดสอบฝีเท้าตั้งแต่เขายังเป็นดาวรุ่ง

1แต่ท้ายที่สุด เจ้าของฉายา “สุนัขล่าเนื้อ” ย้ายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของนิวคาสเซิ่ล และเปิดตัวอย่างร้อนแรงด้วยการมีส่วนสำคัญช่วยให้ต้นสังกัดยันเสมอแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในนัดเปิดสนามฤดูกาล 2008-09 ผลงานของเขาในวันนั้นถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักเตะที่เปิดตัวร้อนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

กูเตียร์เรซจึงกลายเป็นที่รักของแฟนบอลนิวคาสเซิ่ล ภายในระยะเวลาเพียงไม่นาน เนื่องด้วยความทุ่มเทในสนามที่วิ่งโจมตีแนวรับคู่ต่อสู้ตลอดเวลา หรือนิสัยใจคอของเขาที่เป็นคนรักสนุกและพร้อมจะมอบรอยยิ้มให้กับคนอื่นเสมอ แฟนบอลทูน อาร์มี่ ทราบดีว่า กูเตียร์เรซ ไม่เคยขาดแคลนความรักในตัวเอง และพร้อมจะแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่นเสมอ

การสวมหน้ากากสไปเดอร์แมนหลังทำประตูได้ ย่อมเป็นหนึ่งในวิธีการแบ่งปันความสุขแก่แฟนบอลของกูเตียร์เรซ เขาทำมันจนเป็นเอกลักษณ์เมื่อครั้งยังค้าแข้งบนแผ่นดินสเปน และยังคงสานต่อวิธีการฉลองประตูนั้นในพรีเมียร์ลีก แม้กฎระเบียบของฟุตบอลอังกฤษจะเข้มงวดกว่ามาก จนทำให้ทุกครั้งที่เขาสวมหน้ากาก กูเตียร์เรซมักจะได้ใบเหลืองติดตัวมาเสมอ

2“ผมแค่อยากจะเพิ่มความสนุกให้กับเกมฟุตบอลอีกสักเล็กน้อย มันเริ่มหลังจากผมเข้าไปดูสไปเดอร์แมนในโรงหนัง แล้วพอหนังจบลง ผมได้คุยกับผู้ชายคนหนึ่งที่มาดูหนังพร้อมกับลูกสองคน ผมมองเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าพวกเขามีความสุขแค่ไหน ผมเลยสัญญากับพวกเขาว่า ครั้งหน้าถ้าผมทำประตูได้ ผมจะสวมหน้ากากสไปเดอร์แมน” กูเตียร์เรซพูดถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเขาสวมใส่หน้ากากไอ้แมงมุมฉลองการยิงประตู

“ทุกคนบอกว่าผมต้องสวมหน้ากากอีกนะหากทำประตูได้ แต่ปัญหาคือ พวกเขาเปลี่ยนกติกาใหม่ และถ้าผมสวมหน้ากากในตอนนี้ ผมก็อาจจะได้ใบเหลืองติดตัวมา แน่นอนว่าผมยังคงทำเป็นยิงใยแมงมุมออกจากข้อมือผมได้อยู่ แต่ผมไม่คิดว่าผมจะใส่หน้ากากได้บ่อยนัก เพราะมันจะทำให้ผมได้ใบเหลือง และนั่นเป็นเรื่องสำคัญมากเกินไป”

ถึงแม้จะไม่ได้สวมใส่หน้ากากสไปเดอร์แมนบ่อยเหมือนเคย กูเตียร์เรซยังคงเป็นนักเตะที่มีแนวคิดง่ายๆ คือทำทุกอย่างที่สร้างความสุขให้ตัวเองและคนอื่นเหมือนเคย โดยเขาตัดสินใจเลือกสกรีนเสื้อตัวเองด้วยชื่อต้นแทนจะเป็นนามสกุล เพียงเพราะแค่เขาหลงรักชื่อของตัวเอง หรือจะเป็นการเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือเยาวชนในเมืองนิวคาสเซิ่ลที่มีนิสัยต่อต้านสังคม ด้วยการนำเสียงเพลงเข้าไปอยู่ในหัวใจของพวกเขา

3กูเตียร์เรซจึงมีความผูกพันกับแฟนบอลนิวคาสเซิ่ลมากกว่าบทบาทยอดนักเตะในสนาม แต่ยังมีความผูกพันในฐานะของผู้ชายคนหนึ่งที่เดินทางมาจากแดนไกล เพื่อสร้างความสุขในกับแฟนบอลและผู้คนในเมืองที่ชีวิตทุกด้านผูกพันกับกีฬาฟุตบอล 

แต่ใครจะรู้เลยว่า บุคคลที่พร้อมแบ่งปันรอยยิ้มให้กับผู้อื่นอย่างกูเตียร์เรซ จะต้องเจอกับข่าวร้ายสำคัญ จนเกือบทำให้โลกฟุตบอลต้องมืดหม่นด้วยความเศร้าไปอีกนาน

การแข่งขันที่ยากที่สุดในชีวิต

ก่อนจะตรวจพบโรคมะเร็งอัณฑะ กูเตียร์เรซเคยป่วยด้วยโรคอัมพฤกษ์เมื่อเขายังคงเป็นเด็ก แต่เรื่องนี้เป็นความลับที่มีเพียงไม่กี่คนนักจะล่วงรู้ เพราะสิ่งหนึ่งที่ทำให้โรคร้ายดังกล่าวหายจากเจ้าตัวเป็นปลิดทิ้งคือ กีฬาฟุตบอล หรือจะกล่าวว่าเหตุผลที่กูเตียร์เรซกลายเป็นที่รักของแฟนบอลทั่วโลกอย่างทุกวันนี้ เพราะอาการป่วยในวัยเด็กของเขาคงไม่ผิดนัก

4“ผมถูกสั่งให้เล่นฟุตบอลเพื่อปกป้องร่างกายของผมเอง ตอนนั้นผมอายุ 3 ขวบและผมเริ่มป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ แม้ตอนนั้นผมจะยังเด็กเกินไปกว่าที่จะจดจำมันได้แน่ชัด แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจคือ ผมขยับด้านซ้ายของร่างกายตัวเองไม่ได้” 

“แพทย์บอกว่ามันไม่ได้ร้ายแรงอะไรนัก แต่มันก็ไม่ใช่อาการของคนปกติเหมือนกัน พวกเขายังบอกอีกว่ามันอาจกลับมาได้ในอนาคต และเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านั้น ผมจึงจำเป็นต้องจบมันในตอนนี้”

บางทีเรื่องราวในวัยเด็กของกูเตียร์เรซอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเลือกสวมใส่หน้ากากของซูเปอร์ฮีโร่ เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นวีรบุรุษที่ช่วยให้ตัวเองผ่านพ้นจากโรคร้ายมาได้แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่กูเตียร์เรซคิดจะส่งต่อความกล้าหาญแก่ผู้คนรอบข้างในฐานะนักฟุตบอล

โชคร้ายที่บุคคลผู้ต้องพึ่งพาความกล้าหาญนั้นมากที่สุดยังคงเป็นกูเตียร์เรซ เมื่อเขาตรวจพบว่าตัวเองกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งอัณฑะเมื่อปี 2013 ซึ่งการรักษาในเบื้องต้นเรียกได้ว่าหนักหนาเอาการ เพราะเจ้าตัวต้องตัดลูกอัณฑะด้านซ้ายของตนทิ้ง เพื่อไม่ให้เนื้อร้ายลุกลามไปมากกว่านี้

5“ผมเริ่มรู้สึกเจ็บหลังจากเข้าปะทะกับผู้เล่นในเกมที่เจอกับอาร์เซน่อล (พฤษภาคม 2013) หลังจากนั้นผมก็เริ่มสังเกตว่ามันเริ่มจะบวมขึ้น ผมจึงตัดสินใจไปอัลตราซาวด์และพวกเขาเจอเนื้องอกในตัวผม” 

“ทีมแพทย์บอกให้ผมเข้ารับการผ่าตัดทันทีในวันต่อมา ตอนแรกผมไม่เข้าใจนะ เลยถามกลับไปว่า มันเป็นมะเร็งเหรอ? พวกเขาตอบกลับมาว่า ใช่”

สถานการณ์ของกูเตียร์เรซไม่สู้ดีนัก เพราะเนื้อร้ายที่เติบโตในร่างกายของกูเตียร์เรซมีอันตรายเข้าขั้นรุนแรง และถึงแม้เขาจะผ่าตัดเพื่อนำอัณฑะข้างหนึ่งออกไปแล้ว การรักษาเพื่อกำจัดโรคมะเร็งของเขายังคงต้องดำเนินต่อไป เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่บริเวณไต ก่อนตรวจพบว่ามีต่อมน้ำเหลืองผิดปกติในบริเวณดังกล่าว กูเตียร์เรซจึงต้องเข้ารับการรักษาอย่างจริงจังผ่านวิธีการคีโม

แต่สิ่งที่อาจทำให้กูเตียร์เรซต้องรู้สึกเจ็บปวดมากกว่า คือความจริงที่เขาถูกนิวคาสเซิ่ลขับออกจากทีมอย่างไม่มีเยื่อใยเท่าใดนักในฤดูกาล 2013-14 เพราะหลังจากเจ้าตัวเข้ารับการรักษามะเร็งอัณฑะในช่วงครึ่งฤดูกาลแรกที่บ้านเกิด กูเตียร์เรซเดินทางกลับสู่อังกฤษเพื่อพบกับความจริงที่ว่า เขากำลังจะถูกส่งตัวไปเล่นให้กับนอริช ซิตี้ ในสัญญายืมตัว ด้วยเหตุผลที่บอกว่า “นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทั้ง 2 ฝ่าย”

“ผมเดินทางกลับมาสู่อังกฤษ ตอนนั้นทีมกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ดีมาก แต่โค้ชกลับบอกผมว่าทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้คือ ผมจำเป็นต้องหาสโมสรใหม่ ผมรู้สึกตกใจนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก 5 ปีแห่งความทุ่มเทที่ผมมอบให้สโมสรแห่งนี้” กูเตียร์เรซกล่าวถึงช่วงเวลาไม่สู้ดีครั้งหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเขากับนิวคาสเซิ่ล

6โชคดีที่กูเตียร์เรซได้รับอาการบาดเจ็บบริเวณน่องขณะเล่นให้กับนอริช เขาจึงตัดสินใจทุ่มเทเวลาให้กับการรักษาโรคมะเร็งอย่างเต็มที่ แน่นอนว่าเจ้าตัวปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับนานถึง 1 ปี ก่อนจะเปิดเผยอาการป่วยของตนสู่สาธารณะชนในเดือนกันยายนปี 2014 ซึ่งขณะนั้นเขากำลังจะเข้ารับการรักษาเพื่อให้หายขาดเป็นครั้งสุดท้าย และเตรียมตัวกลับคืนสุ่สนามฟุตบอลอีกครั้ง

“นี่คือการแข่งขันที่ยากที่สุดในชีวิตของผม แต่เหมือนกับทุกสิ่งที่สักวันหนึ่งต้องถึงจุดจบ ผมโชคดีที่เรื่องนี้มีจุดจบของมันเช่นเดียวกัน ผมจึงตัดสินใจบอกเล่าเรื่องราวนี้กับทุกคน เพราะผมคิดว่ามันคงช่วยเหลือผู้คนที่กำลังต่อสู้กับโรคมะเร็งได้อย่างดีเลยทีเดียว” กูเตียร์เรซ แบ่งปันแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นเหมือนกับที่เขาทำมาเสมอ

กลับมาในฐานะวีรบุรุษ

หลังหายจากสนามฟุตบอลยาวนานนับปี โฮนาส กูเตียร์เรซ กลับมาโลดแล่นในพรีเมียร์ลีกอีกครั้งเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2015 ในเกมที่นิวคาสเซิ่ลพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่แข่งแรกของเขาบนเวทีลูกหนังอังกฤษ 

และถึงแม้ผลลัพธ์ในเกมนี้จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของทัพสาลิกาดง แต่การลงสนามอีกครั้งของกูเตียร์เรซ พร้อมกับสวมปลอกแขนกัปตันทีมในเกมดังกล่าวเพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ ยังคงเป็นช่วงเวลาที่ทูน อาร์มี่ ไม่มีวันลืมเลือน

7น่าเสียดายที่ช่วงเวลาอันสวยงามไม่สามารถอยู่ได้นานไปมากกว่านี้ เพราะสถานการณ์ของนิวคาสเซิ่ลในฤดูกาล 2014-15 ไม่สู้ดีเอาเสียเลย เพราะหลังจากเกมที่พ่ายแพ้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นต้นมา พวกเขาแพ้อีก 7 เกมรวด และทำสถิติแพ้ 9 เกม เสมอ 1 เกม ไม่ชนะแม้แต่เกมเดียว ในช่วง 10 นัดสุดท้ายก่อนแมตช์เดย์ 38

นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด จึงร่วงหล่นจากอันดับ 11 มาอยู่ที่อันดับ 17 ของตาราง และถ้าหากพวกเขาไม่สามารถคว้าชัยชนะในเกมสุดท้ายที่ต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของเวสต์แฮม ยูไนเต็ด มีโอกาสสูงมากที่ทีมดังแห่งเซนต์ เจมส์ พาร์ค จะได้บอกลาพรีเมียร์ลีกอีกครั้งถัดจากปี 2009 ซึ่งโฮนาสเป็นสมาชิกในทีมชุดที่ตกชั้นครานั้นด้วย

ท่ามกลางแฟนบอลมากกว่า 52,000 คน ขุนพลนิวคาสเซิ่ลลงสนามนัดสุดท้ายของฤดูกาลเพื่อหนีรอดจากการตกชั้น โดยในเกมนี้ กูเตียร์เรซ กลับมาประจำการในตำแหน่งปีกซ้ายที่เขาถนัดที่สุดอีกครั้ง และเจ้าตัวได้ตอบแทนความเชื่อใจที่สโมสรมีต่อเขาด้วยการทำแอสซิสต์เปิดบอลให้มุสซ่า ซิสโซโก้ โขกประตูให้ทีมขึ้นนำในนาที 54 คลายความอึดอัดที่เผชิญหน้าตลอดครึ่งแรกได้สำเร็จ

ถึงอย่างนั้นสถานการณ์ของทีมยังคงไม่น่าไว้ใจ เพราะขึ้นชื่อว่านิวคาสเซิ่ลที่หาชัยชนะไม่เจอยาวนาน 10 นัด การถูกตีเสมอหรือโดนพลิกแซงขึ้นนำย่อมเกิดขึ้นได้ การแข่งขันจึงเข้มข้นจนถึงนาที 85 เมื่อนิวคาสเซิ่ลได้จังหวะสวนกลับ และเป็นกูเตียร์เรซที่รับบอลจากทางกราบซ้าย ก่อนยิงไกลจากนอกกรอบเขตโทษเป็นประตูตอกฝาโลงให้นิวคาสเซิ่ลเอาชนะเวสต์แฮม 2-0 ได้สำเร็จ

8แม้การฉลองประตูครั้งนี้จะไม่มีหน้ากากสไปเดอร์แมน แต่กูเตียร์เรซบ่งบอกความสำคัญของมันด้วยการวิ่งถอดเสื้อดีใจอย่างเต็มที่ โดยไม่สนว่าเจ้าตัวจะถูกใบเหลืองหรือใบอะไรหลังจากนี้ เพราะนี่คือการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของชายหนุ่มที่เมื่อปีก่อนยังต้องยืนหยัดต่อสู้กับโรคร้ายด้วยความกล้าหาญ แต่วันนี้เขาคือซูเปอร์ฮีโร่ตัวจริงของทูน อาร์มี่ ทั้งมวล

“สำหรับเกมสุดท้ายของฤดูกาล ผมคิดจริงๆว่านี่อาจเป็นเกมสุดท้ายของผมกับนิวคาสเซิ่ล ผมจึงพร้อมที่จะทุ่มเททุกอย่างให้กับทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจริงที่ผมไม่อยากให้นิวคาสเซิ่ลต้องตกชั้น การปรบมือที่ผมได้รับในเกมนั้นมันน่ามหัศจรรย์มากจริงๆ”

กูเตียร์เรซสังหรณ์ใจไม่ผิดเกี่ยวกับอนาคตของเขา เพราะหลังจากรับบทบาทฮีโร่ที่ช่วยให้ทีมรอดตกชั้นได้สำเร็จ เขาถูกนิวคาสเซิ่ลปล่อยตัวออกจากสโมสรแบบฟรีๆ ผ่านการแจ้งข่าวอย่างไม่ให้เกียรติทางโทรศัพท์ ก่อนจะพเนจรค้าแข้งให้กับสโมสรต่างๆอีกหลายทีม แต่ไม่มีทีมไหนเลยที่กูเตียร์เรซจะผูกพันเหมือนกับทีมดังแห่งเซนต์ เจมส์ พาร์ค

เมื่อกูเตียร์เรซแขวนสตั๊ดในปี 2021 เจ้าตัวได้ย้อนรำลึกถึงเรื่องราวการค้าแข้งของเขาที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทั้งความสัมพันธ์ที่ขึ้นลงของเขากับสโมรนิวคาสเซิ่ล และการต่อสู้กับโรคมะเร็งรายนานนับปี แต่สิ่งเดียวที่โดดเด่นชัดในความทรงจำของเขา คือสายสัมพันธ์อันงดงามจากแฟนบอลนิวคาสเซิ่ลที่ยกย่องเขาเป็นคัลท์ ฮีโร่ หรือขวัญใจแฟนบอลของสโมสรจนถึงทุกวันนี้

9“ผมรู้สึกเศร้าเมื่อต้องจากลานิวคาสเซิ่ล มันเป็นเรื่องยากที่ต้องโบกมือลาสโมสรแห่งนี้อันเป็นสถานที่ที่ผมรัก” 

“แต่เมื่อผมมองย้อนกลับไป ผมจดจำมันได้แต่เรื่องดีๆเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น แฟนบอล และข้อความอันน่าเหลือเชื่อที่แสดงถึงแรงสนับสนุนของพวกเขา สำหรับเรื่องนั้น ผมคงพูดได้เพียงแค่ว่า ขอบคุณมาก”

โฮนาส กูเตียร์เรซ ไม่ใช่นักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จอะไรมากมาย แถมยังต้องต่อสู้กับเรื่องราวร้ายๆ มากกว่าผู้เล่นรายอื่น แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาอาจมีค่าเกินกว่าที่ซูเปอร์สตาร์หลายคนเคยสัมผัส นั่นคือ ความรักและความผูกพันที่เขาได้รับจากแฟนบอลนิวคาสเซิ่ล ในฐานะฮีโร่ของสโมสรตราบจนทุกวันนี้