โชเซ่ มูรินโญ่ ประสบความสำเร็จแค่ไหนใครก็รู้ เขาเป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย คว้าแชมป์ลีกของประเทศอิตาลี, สเปน และ อังกฤษ มาแล้ว ซึ่งเป็นถ้วยใหญ่ๆทั้งนั้น
ทว่าการได้แชมป์ถ้วยเล็กๆ ของรายการเกิดใหม่อย่าง ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก กลับเป็นรายการแรกที่ทำให้เขาต้องร้องไห้ด้วยความตื้นตัน และเรื่องนี้มีเหตุผลที่เป็นเช่นนั้น
11 เดือนที่ โรม่า เกิดอะไรขึ้นกับ มูรินโญ่? เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองไปแค่ไหน? และเขามองโลกเปลี่ยนไปอย่างไรในฐานะเฮดโค้ชคนหนึ่ง?
ติดตามได้ที่ Main Stand
กุนซือตกยุค?
ก่อนที่ โชเซ่ มูรินโญ่ จะรับงานคุมทีมโรม่า และพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ได้ เครดิตในฐานะของยอดกุนซือของเขาตกหล่นไปจากมาตรฐานเดิมพอสมควร ด้วยผลงานความล้มเหลวกับ 3 ปีที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และอีกเกือบๆ 1 ปีกับ สเปอร์ส.. เรียกง่ายๆก็คือ กูรูฟุตบอลหลายคนถึงกับบอกว่า มูรินโญ่ นั้นตกยุคไปเรียบร้อยแล้วสำหรับฟุตบอลยุคปัจจุบัน
วิธีการเล่นที่เน้นผลลัพธ์มากกว่าความสวยงามของมูรินโญ่ที่โดดเด่นเรื่องฟุตบอลตีหัวเข้าบ้านที่แม่นยำ เคยเป็นวิธีที่ดีและใช้ได้ผลในช่วง 10 ปีที่แล้ว ทว่าปัจจุบัน เทรนด์ของโลกฟุตบอลได้เปลี่ยนไป วิธีการเล่นแบบกดคู่ต่อสู้ตั้งแต่ในแดนตรงข้ามคือสิ่งที่กุนซือ “ตัวท็อป” ของโลกอย่าง เยอร์เกน คล็อปป์, เป๊ป กวาร์ดิโอลา, ฮันซี่ ฟลิค หรือแม้กระทั่ง คาร์โล อันเชล็อตติ ที่แสดงออกมาให้เห็นว่ามันเป็นวิธีการที่ทำให้ทีมมีโอกาสชนะได้มากกว่า
นอกจากวิธีการในสนามแล้ว การปกครองคนก็เป็นอีก 1 ข้อสงสัยที่ มูรินโญ่ โดนใครหลายคนตั้งคำถาม 4 ทีมที่เขาคุมก่อนจะมาถึง โรม่า อย่าง เรอัล มาดริด, เชลซี, แมนฯ ยูไนเต็ด และ สเปอร์ส เขาเจอกับปัญหาเรื่องการสูญเสียห้องแต่งตัวทุกครั้ง และมีข่าวฉาวเรื่องนักเตะต่อต้านเขา นอกจากนี้ ยังมีการตั้งสมมติฐานว่าการตั้งตัวเป็น “เจ้านาย” มากกว่า “ผู้นำ” ของเขา ที่สะท้อนผ่านการวิจารณ์นักเตะผ่านสื่อแบบซึ่งๆหน้าคือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
มูรินโญ่ vs อิเกร์ กาซิยาส ที่ เรอัล มาดริด, มูรินโญ่ กับ หมอเอวา คาเนโร่ ที่ เชลซี, มูรินโญ่ กับ ลุค ชอว์, อองโตนี่ มาร์กซิยาล และ ปอล ป็อกบา ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด รวมถึง มูรินโญ่ กับ ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล่ ที่ สเปอร์ส นี่คือรายชื่อคู่กรณีที่ผ่านมาในช่วง 10 ปีหลังของ มูรินโญ่ ผ่านแต่ละงานของเขา
เขากำลังเป็นกุนซือตกรุ่น และการรับงานกับโรม่าก็เป็นการแสดงออกแบบกลายๆว่า จากกุนซือตัวท็อปที่ทีมใหญ่ๆต้องการตัว ตอนนี้กลายเป็นเป้าหมายของทีมระดับกลางค่อนบนของตาราง เรียกได้ว่า ถ้าจัดเกรดของทีมที่เขาคุมและจัดเกรดความน่าเชื่อถือของเขา ณ เวลานั้นคงต้องยอมรับว่า มูรินโญ่ลดเกรดตัวเองลงมาเป็นกุนซือระดับเกรด B เป็นที่เรียบร้อย นั่นคือสิ่งที่หลายคนคิด และขอยอมรับตรงๆว่า ผู้เขียนเองก็เคยตัดสินมูรินโญ่แบบนั้นในวันที่เขารับงานกับโรม่าใหม่ๆ
แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ บางทีเราอาจจะต้องมองเขาใหม่และหาเหตุผลว่า ทำไมมูรินโญ่จึงกลับมาสู่พาดหัวข่าวหน้า 1 ได้อีกครั้งในฐานะกุนซือที่พาทีมเป็นแชมป์ยุโรป และครองสถิติเข้าชิงฟุตบอลยุโรป 5 ครั้งได้แชมป์ทั้งหมด 5 ครั้ง
เรื่องนี้มีคำตอบ..
เริ่มต้นใหม่
สถานะของ มูรินโญ่ ในพรีเมียร์ลีกถูกจดจำในฐานะเบอร์รองไปเรียบร้อยจากการมาถึงและผลัดกันครอบครองแชมป์ของ เป๊ป และ คล็อปป์ กับ แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล สื่อในอังกฤษเองก็มักจะเห็นมูรินโญ่เป็นเหยื่อมากกว่าในแง่มุมของการยกย่อง แต่กลับกัน ที่อิตาลี ภาพจำของเขาคือหนึ่งในกุนซือที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งในวงการฟุตบอล เซเรีย อา จากผลงาน 3 แชมป์กับ อินเตอร์ มิลาน ในปี 2010 ที่สื่อและแฟนบอลที่นั่นไม่เคยเห็นมูรินโญ่ล้มไม่เป็นท่าเหมือนกับตอนที่เขาพลาดกับช่วงเวลาที่อังกฤษ
ดีน โจนส์ คอลัมนิสต์ของ Eurosport เขียนบทความเกี่ยวกับการกลับมาที่เซเรีย อา อีกครั้งของมูรินโญ่ว่า มันคือการตัดสินใจที่เขาจะคืนความสดชื่นในการทำงานและกลับสู่ที่ที่เขารู้สึกสบายใจ หลังจากหนักหน่วงมาหลายปี
“สื่อในอิตาลีให้ความสำคัญกับมูรินโญ่มาก นักเตะ แฟนบอล และทีมสตาฟฟ์โค้ชของโรม่าตื่นเต้นและรอที่จะร่วมงานกับเขาแทบทั้งนั้น และมูรินโญ่เองก็รู้ดีว่า เมื่อเขามาที่อิตาลี ความรู้สึกของเขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนละเรื่องกับที่อังกฤษ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้สำหรับมูรินโญ่คือ เขาจะได้รับโอกาสสำคัญ โอกาสที่เขาจะหนีจากความผิดหวังและได้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่สมควรได้รับ ไม่มีการตัดสินก่อนเวลาอันควร ไม่มีการโยนความคาดหวังเหนือกว่าทรัพยากรที่เขามี” ดีน โจนส์ ว่าไว้เช่นนั้นในบทความ
ขณะที่อีกด้าน ฝั่งสโมสรโรม่า พวกเขาอยากจะได้ มูรินโญ่ จริงๆตั้งแต่แรก ไม่ได้มองมูรินโญ่ในฐานะมวยแทนแต่อย่างใด ค่าจ้างที่โรม่าจ้าง มูรินโญ่ ว่ากันว่าแทบไม่ต่างกับตอนที่สเปอร์สจ้างเขาเลย (15 ล้านปอนด์ต่อ 1 ปี เป็นอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีกรองจาก เป๊ป กวาร์ดิโอลา ณ เวลานั้น) นอกจากนี้ “ฟรีดกิน กรุ๊ป” เจ้าของสโมสรที่เข้ามาเทคโอเวอร์ทีมในช่วงปี 2020 ก็ยืนยันว่า การได้ตัวมูรินโญ่มาจะเป็นก้าวสำคัญของสโมสร หลังทีมไม่เคยคว้าแชมป์ใดได้เลยนับตั้งแต่ปี 2007
การแต่งตั้ง มูรินโญ่ เป็นกุนซือทำให้ ฟาบิโอ คาเปลโล่ อดีตเฮดโค้ชที่เคยพาโรม่าคว้าแชมป์ เซเรีย อา ยกย่องว่าเป็นการเลือกที่ดีที่สุดเท่าที่ทีมจะทำได้ คาเปลโล่รู้ดีว่าแฟนบอลโรม่ารอความสำเร็จมานานและเหนื่อยหน่ายกับปัญหาความขัดแย้งภายในที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีหลัง สิ่งที่โค้ชคนปัจจุบันของโรม่าต้องมีคือ “ประสบการณ์” การรับมือกับแรงกดดันของกองเชียร์ และกล้าพอที่ยืนหยัดบนแนวทางของตัวเอง
“นี่คือการแต่งตั้งที่น่าประทับใจที่สุดของสโมสรแห่งนี้ในรอบหลายปี การมาของมูรินโญ่คือการจุดประกายความกระตือรือร้นของโรม่าทันที จากนี้ไป ผมคิดว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่ว่าใครในสโมสรนี้ก็ไม่มีข้อแก้ตัวอีกแล้ว โรม่ามีโค้ชเบอร์ 1 เป็นโค้ชระดับสมองเพชรที่มีประสบการณ์”
“ผมเชื่อว่าเราไม่สามารถตัดสินเขาได้จากการที่เขาโดนไล่ออก 3 ครั้งใน 3 งานหลังสุด คอยดูผลลัพธ์หลังจากนี้ก็แล้วกัน เขาเป็นคนที่มีสติปัญญาและหัวไวเอาเรื่อง สิ่งที่จะชี้ขาดครั้งนี้คือไฟความปรารถนาในตัวเขานี่แหละ เขาอยากจะกลับมาเป็นพระเอกแบบสุดๆในตอนนี้ ผมคิดว่าเป็นแบบนั้น” คาเปลโล่ กล่าว
เมื่อ มูรินโญ่ รับงานและเปิดตัว แฟนบอลแห่มารอรับเขาหน้าทางเข้าสโมสร หลังการสัมภาษณ์ เขากลายเป็นกุนซือสุดป๊อปปูลาร์ของแฟนบอลและสื่อ ชนิดที่ว่าแค่การขี่รถมอเตอร์ไซค์เวสป้ารอบแคมป์เก็บตัวสโมสรก็กลายเป็นข่าวหน้า 1 ได้แล้ว
นักเตะในทีม โรม่า เองก็เช่นกัน พวกเขาหลายคนเป็นนักเตะที่ไม่ได้เป็นแข้งเบอร์ใหญ่ ไม่เคยได้มีความสำเร็จอะไรในระดับสโมสร พวกเขาแค่อยากจะได้สัมผัสช่วงเวลาแบบนั้นสักครั้ง ซึ่งนักเตะแบบนี้แหละคือนักเตะในแบบที่เหมาะกับบุคลิกและวิธีการของมูรินโญ่ในเวลานี้สุดๆ เขาต้องการใครสักคนที่รับฟังคำสั่งของเขา เชื่อมั่น และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
“เมื่อคุณฝึกซ้อมภายใต้การนำทัพของมูรินโญ่ เขาจะทำให้คุณที่เป็นนักเตะธรรมดาๆเชื่อว่าตัวเองเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก เขาเหมือนกับเป็นนักมายากล” ฮูลิโอ เซซาร์ ผู้รักษาประตูอินเตอร์ชุด 3 แชมป์ที่แจ้งเกิดในยุคมูรินโญ่ กล่าวหลังจากที่เจ้านายเก่าของเขามารับงานที่โรม่า
“เขามีวิธีเข้าไปอยู่ในความคิดของคุณในแบบของเขา เขาจะกดดันคุณแน่นอนถ้าเขาเชื่อในตัวคุณ เขาจะทำให้คุณโกรธนิดหน่อย และจากนั้นเป็นหน้าที่ของคุณแล้วว่าจะพยายามก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นเพื่อเจอโลกอีกใบหรือไม่”
วิธีที่เซซาร์บอกก็คือวิธีเดียวกับที่มูรินโญ่ใช้ในการคุมทีมโรม่า เพียงแต่ว่าเขาเองก็เรียนรู้ในฐานะกุนซือที่โดนไล่ออกและล้มเหลวกับงานในระยะหลัง เขาไมได้ด่านักเตะออกสื่อเหมือนที่เคย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองปรับตัวมาสู่โลกฟุตบอลยุคใหม่หรือว่านักเตะของเขาเชื่อมั่นในการสอนของกุนซืออย่างเขากันแน่ แต่ที่แน่ๆ นักเตะของโรม่าไม่ได้มีข่าว ล้มแคมป์ ล้างห้องแต่งตัว และประกาศตัวต่อต้านเขาเลยแม้แต่คนเดียว
หากจะถามว่าเพราะอะไรงานของเขาที่นี่จึงดูไม่มีปัญหามากเหมือนกับในอดีต แฟนบอลรักเขา บอร์ดบริหารไม่กดดัน นักเตะเชื่อมั่นและเชื่อฟัง นับถือเขาเป็นเจ้านายจริงๆ มูรินโญ่ไม่เคยบอกเรื่องนี้ในช่วงที่รับงานใหม่ๆ แต่เขาเปิดเผยเอาเมื่อถึงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล 2021-22 ว่าทั้งหมดเกิดขึ้นจากการที่เขายอมรับข้อเสียของตัวเอง เรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต และมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเขายังเป็นคนที่อยากประสบความสำเร็จอยู่ ไม่ใช่กุนซือจอมกินค่าฉีกสัญญาเหมือนที่สื่อตั้งฉายาให้
“ในมุมมองของผม ผมคิดว่าตัวเองมีความเป็นโค้ชมากกว่าที่ผมเคยเป็นเมื่อ 10 หรือ 20 ปีที่แล้ว ผมพบความจริงที่ว่า ถ้าโค้ชคนหนึ่งไม่ยอมพัฒนาตัวเอง นั่นหมายความว่าเขาคนนั้นได้สูญเสียแพชชั่นและแรงจูงใจไปหมดแล้ว น่าแปลกที่อาชีพโค้ชอย่างเรามีความแตกต่างกับอาชีพนักเตะ สำหรับงานโค้ช อายุไม่เคยสำคัญ มันขึ้นอยู่กับความคิดและประสบการณ์ คุณเรียนรู้จากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วมากแค่ไหน คุณก็จะเป็นโค้ชที่ดีมากขึ้นเท่านั้น” มูรินโญ่ กล่าวหลังเกมที่ทีมเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ในรอบตัดเชือก ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก และเหลืออีกก้าวเดียวสู่การเป็นแชมป์ของสโมสร
น้ำตาแห่งความหมาย
การเรียนรู้ที่มูรินโญ่ว่ามาคืออะไร? หากเรามองย้อนไปที่ตัวเขาตลอดอาชีพโค้ชอันยาวนานก่อนหน้านี้ มูรินโญ่เป็นโค้ชที่เก่งเรื่องวาทะศิลป์ มีศิลปะในการพูดในเชิงท้าทาย เหยียดหยาม แซวคน และยกย่องตัวเองในแบบที่เนียนๆ จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน ฝีปากเป็นสิ่งที่เขายังคงรักษาไว้ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ เขาสร้างความบันเทิงแบบนั้นก็ต่อเมื่ออยู่ในงานแถลงข่าวเท่านั้น แต่เขาจะไม่สาวไส้ให้กากินและจะไม่หวงคำชมให้กับลูกทีมแบบที่เคยเป็นอีกแล้ว
ทุกอย่างคือสิ่งที่มูรินโญ่เรียกว่า “สุนทรียภาพแห่งชีวิต” คือทำงานให้สนุก มอบความสำคัญให้กับคนที่ทำงานด้วย และที่ขาดไปไม่ได้เลย คือการมองไปยังสิ่งที่สำคัญที่สุดของฟุตบอล นั่นคือ “แฟนบอลให้อะไรแก่ทีมบ้าง และพวกเขาควรได้รับอะไรตอบแทนกลับไป”
มูรินโญ่ทำให้นักเตะในทีมดีขึ้นได้จากการทำงานร่วมกับเขา แทมมี่ อับราฮัม กลายเป็นดาวยิงระดับถล่มทลาย, นิโคโล่ ซานิโอโล่ กลับมาเฉิดฉายหลังรักษาตัวอยู่เป็นปี, สเตฟาน เอล ชาราวี ที่เคยถูกตีตราว่าเป็นนักเตะดาวร่วงของวงการก็กลับมาเป็นส่วนสำคัญของทีมอีกครั้ง
ส่วนเรื่องรายละเอียดของแทคติก เราคงไม่สามารถอธิบายและไขคำตอบได้ทั้งหมด แต่เอาเป็นว่า มูรินโญ่เวอร์ชั่นปัจจุบันเป็นคนที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ เขารู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่แล้วจึงค่อยๆไต่ระดับไปทีละจุด
เขาอาจจจะพาทีมเก็บแต้มได้แค่ 63 แต้มในลีกซีซั่นนี้ จบที่อันดับ 6 ของตาราง แต่เขาก็ยังประเมินความเป็นไปได้ถึงสิ่งสำคัญนั่นคือการ “คว้าแชมป์” ที่เน้นย้ำผ่านฟุตบอลถ้วย ซึ่งแชมป์ ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก อาจจะไม่ได้มีความหมายมากมายนักสำหรับท็อปทีมของโลก แต่สำหรับโรม่า มูรินโญ่ มองว่า “แชมป์แรก” คือตัวจุดประกายที่จะทำให้ทุกอย่างตื่นตัวขึ้น และจะทำให้ทีมก้าวไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้ในอนาคต
หลังจากที่ โรม่า เอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ในรอบรองชนะเลิศ นี่ไม่ใช่การเขาชิงแชมป์ถ้วยใหญ่ที่สุดในชีวิตเขา แต่มูรินโญ่กลับร้องไห้ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่หาดูได้ยากมากสำหรับผู้ชายอย่างเขา
“ผมรู้ว่าเพราะอะไรมูรินโญ่ถึงร้องไห้หลังจบรอบรองชนะเลิศ เพราะเขารู้ไงล่ะว่ามันสำคัญกับแฟนบอลของโรม่าขนาดไหน แฟนบอลโรม่าไม่ได้เห็นทีมของพวกเขาชิงแชมป์ยุโรปมามากกว่า 30 ปีแล้ว ผมรู้ดีว่ามันสำคัญกับเขามาก เขาชอบที่จะเป็นที่รักและชอบที่จะตอบแทนความรักนั้น และผมรู้ดีว่าเขาอยากได้แชมป์นี้มากขนาดไหน” ฮูลิโอ เซซาร์ กล่าวกับ Goal
และอย่างที่เรารู้กัน เมื่อถึงรอบชิงชนะเลิศ มูรินโญ่ พา โรม่า คว่ำ เฟเยนูร์ด 1-0 สร้างสถิติเป็นกุนซือที่คว้ารางวัลถ้วยยุโรปครบทั้ง 3 รายการ พร้อมสถิติเข้าชิง 5 ครั้ง แชมป์ 100% อดีตไม่ได้สำคัญ แต่ช่วงเวลาหลังจากนั้น แฟนโรม่าทั่วกรุงโรมออกมาฉลองชัยข้ามวันข้ามคืน ในช่วงของการแห่ถ้วยฉลองแชมป์พลุไฟสีแดงเหลืองลอยเต็มท้องฟ้า ความอัดอั้นทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานของแฟนโรม่าสิ้นสุดลง เช่นเดียวกับมูรินโญ่ที่ได้กลายเป็นพระเอกอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนาน
“มีหลายสิ่งเกิดขึ้นในหัวของผมหลังจากที่เราเป็นแชมป์ ผมทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ผมอยู่ที่โรม่ามา 11 เดือนแล้ว ผมรู้ทันทีว่าสิ่งที่เราได้มานั้นมีความหมายต่อผู้คนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสโมสรขนาดไหน พวกเขากำลังรอสิ่งนี้อยู่ อย่างที่ผมบอกเด็กๆในห้องล็อกเกอร์ เราทำสิ่งที่ต้องทำแล้ว”
“สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่การฉลองแชมป์ ไม่ใช่แค่งานเลี้ยงปาร์ตี้ แต่นี่คือประวัติศาสตร์ เราต้องการเขียนประวัติศาสตร์ และเราก็เขียนมันสำเร็จ คอนเฟอเรนซ์ ลีก เป็นการแข่งขันที่เราสัมผัสได้มาตั้งแต่เริ่มต้นว่าเราสามารถเอาชนะได้ แต่มันมีการแข่งขันที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อทีมจากยูโรปา ลีก เข้ามาอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้, โอลิมปิก มาร์กเซย, เฟเยนูร์ด แล้วเราก็ทำสำเร็จ”
“ผมรู้สึกเหมือนเป็นชาวโรมานิสต้า ผมเป็นแฟนของปอร์โต้, อินเตอร์ และ เชลซี ผมคลั่งไคล้ เรอัล มาดริด แต่ตอนนี้ผมเป็นแฟน โรม่า แล้ว ผมเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรเหล่านั้นทั้งหมดเพราะเรามีช่วงเวลาร่วมกัน คืนนี้ด้วยความเคารพอย่างสูงต่อสโมสรทั้งหมดที่ผมเคยทำงานด้วย ผมคือชาวโรมานิสต้า 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะแฟนๆเหล่านี้ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ” มูรินโญ่ กล่าวทิ้งท้าย