มีคนกล่าวไว้ว่าสำหรับผู้ที่ผ่านการสูญเสียครั้งใหญ่ ที่ต้องเสียครอบครัว เพื่อนรัก หรือคนสนิท ไปต่อหน้าต่อตา โดยที่ตัวเองเป็นคนรอดชีวิต คือก้าวที่ยากลำบากสำหรับการเริ่มนับหนึ่งใหม่ … เพราะคนที่อยู่ย่อมต้องสู้กับสิ่งต่าง ๆ มากกว่าคนที่จากไปหลายเท่า
นี่คือเรื่องราวของการสูญเสียเพื่อนร่วมงานครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของ แจ็คสัน โฟลล์แมน อดีตนักเตะของทีม ชาเปโคเอนเซ ทีมฟุตบอลในลีกบราซิล ที่ประสบเหตุเครื่องบินตกในปี 2018 และมีผู้รอดชีวิตเพียง 6 คนเท่านั้น
1 ในนั้นคือเขา ผู้ต้องเสียขาไป 1 ข้างพร้อมกับอาการสติหลุดครั้งใหญ่ และต้องฟื้นมาพบกับโลกอีกใบที่ผ่านแต่ละวันได้อย่างยากลำบาก…
การสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในฟุตบอลบราซิล
28 พฤศจิกายน ปี 2018 สโมสร ชาเปโคเอนเซ กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของสโมสร พวกเขามีลุ้นเเชมป์ลีกในประเทศ ผลงานเกาะหัวตารางมาต่อเนื่องหลายฤดูกาล บรรยากาศในห้องแต่งตัวของทีมก็ดีสุด ๆ จากการวางแผนซื้อนักเตะที่เปรียบดั่งจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่พวกเขาหวังจะสร้างภาพศิลปะที่ยิ่งใหญ่
อย่างไรก็ตามในโลกฟุตบอลคำว่า “เกือบ” และ “ถ้า” ไม่มีความหมาย หากพวกเขาอยากจะถูกจดจำพวกเขาต้องเปลี่ยนสถานะจากทีมที่มีลุ้นสู่ทีมที่ได้ชูโทรฟี่แชมป์ให้ได้ และนี่เป็นโอกาสดีมาก ๆ เพราะพวกเขาจะต้องบินไปเตะเกมเยือนกับ แอตเลติโก นาซิอองนาล หนึ่งในสโมสรจากประเทศโคลอมเบีย
ถ้าพวกเขาชนะในเกมนี้ ชาเปโคเอนเซ จะได้เข้าไปชิงชนะเลิศในรายการ โคปา ซูดาเมริกานา หรือฟุตบอลชิงแชมป์ทวีปอเมริกาใต้ ที่เปรียบเสมือนถ้วยยูโรป้าลีกของยุโรป ซึ่งถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนและมีโชคมากพอ ถ้วยรางวัลนี้จะเป็นการจุดประกายยุคสมัยของ ชาเปโคเอนเซ หลังจากนี้
อย่างไรก็ตามหลังจากเครื่องบินที่ทีมงานและนักเตะของ ชาเปโคเอนเซ ใช้ คือเครื่องบินเช่าเหมาลำขนาดเล็ก Avro RJ85 ของสายการบิน LaMia เที่ยวบิน 2933 ทะยานขึ้นบนท้องฟ้าได้ไม่นาน เสียงของกัปตันก็แจ้งเตือนว่ามีบางอย่างผิดปกติ เครื่องยนต์หยุดทำงาน ระบบไฟฟ้าขัดข้อง และน้ำมันหมด
กลุ่มผู้โดยสารถูกบอกให้หาที่ยึดเกาะ เพราะเครื่องกำลังจะตก และจากนั้นไม่กี่อึดใจ เสียงกระแทกพื้นครั้งใหญ่ก็ดังขึ้น และภาพทุกอย่างก็หายไปเพราะฝุ่นและควันตลบอบอวลจนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง … นี่คือคำบอกเล่าของ แจ็คสัน โฟลล์แมน หนึ่งในนักเตะของทีมผู้รอดชีวิต
“ผมจำได้ว่าอยู่ ๆ เครื่องก็ดับไป ไฟดับทั้งเครื่อง และผมเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกว่าเครื่องบินร่อนช้าลงมาก จากนั้นผมก็จำเหตุการณ์ในช่วงที่เกิดอุบัติเหตุไม่ได้เลย เพราะผมหมดสติและทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก” โฟลล์แมน ผู้เล่นตำแหน่งผู้รักษาประตูของทีม ที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่ปี 2016 กล่าวกับสำนักข่าว The Suns
“เรื่องที่ทรมานใจที่สุดคือการที่ได้ยินเสียงเพื่อนของผมพยายามร้องขอความช่วยเหลือ แต่ผมทำอะไรไม่ได้ ผมลุกไม่ขึ้น มันมืดมากและผมก็มองไม่เห็นใครเลย ผมได้สติแล้วผมก็หมดสติ เป็นแบบนี้ติด ๆ กันจนนับครั้งไม่ได้”
“พอผมได้สติเเละลืมตาขึ้นมา หลังอุบัติเหตุผ่านไปสักพัก ผมตะโกนขอความช่วยเหลือ ‘ช่วยด้วย’ ผมจำได้ว่ามีผมกับผู้เล่นบางคนที่รอดชีวิตตะโกนช่วยกัน จากนั้นเราก็ได้ยินเสียงของเจ้าหน้าที่ที่เข้ามา และผมก็ไปฟื้นอีกทีที่โรงพยาบาลเมเดยินราว ๆ 4 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ”
การลืมตาตื่นขึ้นที่โรงพยาบาลทำให้เขารับรู้ข่าวสารเรื่องอุบัติเหตุครั้งนั้น ไม่ใช่จากโทรทัศน์ หรือคุณหมอ แต่เป็นแม่ของเขาที่มาบอกข่าวด้วยตัวเอง
มันเป็นการสรุปที่สั้น ง่าย และกระชับที่สุดจากคำบอกเล่าของ โฟลล์แมน แม่ของเขาบอกว่า เหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 91 คนประกอบไปด้วยทีมงานนักเตะของสโมสร 70 คน และผู้สื่อข่าวที่ตามไปทำข่าวอีก 21 คน … มีคนรอด 6 คนเท่านั้น และเขาคือ 1 ในนั้น
“มันยากที่จะลืมตาตื่นขึ้นมา ในแต่ละวันผมร้องไห้หนักที่สุดเท่าที่เคยเป็น” … ช่วงเวลาแห่งความเศร้าและต้องจมอยู่กับเรื่องร้ายในอดีตของเขาได้เริ่มขึ้นเเล้ว
การนับ 1 ที่ยากที่สุด
ข่าวร้ายทยอยเพิ่มเข้ามาเรื่อย ๆ หลังจากนั้น แพทย์เริ่มแจ้งอาการของเขา และเขาไม่สามารถพูดอะไรได้เลยตลอด 40 วันหลังจากเกิดอุบัติเหตุ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขามีเพียงการ “ฟัง ร้องไห้ เสียใจ และสับสน” วนซํ้าไปซํ้ามา
ข่าวร้ายที่เขาได้รับได้คือ เขาจะไม่สามารถกลับมาเล่นฟุตบอลอาชีพได้อีก หลังจากนั้นไม่นานก็มีการยืนยันว่าเขาจะต้องสูญเสียขาหนึ่งข้างเพราะไม่สามารถรักษาให้กลับมาใช้งานได้เเล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือการทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน และเขายืนยันเสมอว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นคือ “ความสูญเสียที่จะคงอยู่ตลอดไป”
เมื่อถึงเวลาแบบนี้จะมีสิ่งใดเป็นที่พึ่งได้มากไปกว่าครอบครัว ในช่วงที่เขาต้องตัดขาและนอนพักรักษาตัว คนในครอบครัวของเขาผลัดกันมาดูแลทั้งเรื่องแผลกายและแผลใจ โดยเฉพาะแม่และแฟนสาวของเขาที่ดูแลอยู่ไม่ห่าง พวกเขาคอยช่วยเหลือพูดคุยและทำสิ่งต่าง ๆ ให้เขารู้สึกว่าชีวิตนี้ยังดำเนินต่อไปได้
โฟลล์แมน อายุแค่ 25 ปี ในช่วงที่เขานอนติดเตียง เขานึกภาพคนวัยอย่างเขา ที่ควรจะเป็นช่วงเวลาที่ได้เรียนรู้ ใช้ชีวิต มอบความรัก และรับผิดชอบต่อชีวิตตัวเองและคนรอบข้างมากที่สุด และมันต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการนับ 1 อีกครั้ง
“ผมนอนและจินตนาการไปไหนต่อไหน ผมเห็นภาพพวกเราลงไปแข่งกับ แอตเลติโก นาซิอองนาล ที่โคลอมเบีย ผมจินตนาการถึงเกมที่ยอดเยี่ยมเหมือนกับที่เราเป็นมาทั้งปี เราเป็นทีมที่เล่นนอกบ้านได้แข็งแกร่งมาก” โฟลล์แมน เล่า
ถึงอย่างนั้นการเยียวยาทางจิตใจก็ต้องดำเนินต่อไป มีทั้งแพทย์ นักจิตวิทยา และคนในครอบครัว หรือแม้กระทั่งบาทหลวงที่สนิทกับบ้านของเขาแวะเวียนมาเยี่ยมและพูดคุย เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่เขายังทำได้ ดีกว่าการจับเจ่าอยู่กับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
ตัวของ โฟลล์แมน เป็นคริสเตียนที่เคร่งศาสนา โชคดีมากที่นี่คือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเขาเอาไว้ แทนที่เขาจะเสียใจและเผลอคิดไปว่าตัวเองไม่ควรจะรอดจากอุบัติเหตุครั้งนั้น กลายเป็นการมองมันใหม่และตั้งปณิธานใหม่ให้กับชีวิต จากที่เคยคิดจะเป็นนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จ เขาแค่อยากเป็นคนดีให้สมกับที่พระเจ้ามอบโอกาสที่ 2 ของชีวิตให้กับเขาเท่านั้น
“ผมขอบคุณพระเจ้าที่มอบโอกาสครั้งที่ 2 นี้ให้ ผมจะพยายามทำทุก ๆ วันให้ดีที่สุด ผมจะคอยช่วยเหลือผู้อื่นรอบตัวให้พวกเขาเป็นคนที่ดีขึ้น เติบโตขึ้น และเเข็งแกร่งขึ้น ผมเชื่อว่าพระเจ้าให้โอกาสนี้กับผมเพื่อให้ผมทำสิ่งนี้” โฟลล์แมน กล่าว
ทำทุกวันให้ดีที่สุด
“ทำวันนี้ให้ได้ดีที่สุด” เป็นประโยคที่เราได้ยินกันบ่อย แต่บางครั้งเราก็ละเลยไปเพราะเราไม่เคยรู้เลยว่าวันเวลาของเราจะมาถึงเมื่อไหร่ … แต่สำหรับคนที่เข้าใกล้ความตายมาแล้วอย่าง โฟลล์แมน นั้นนึกภาพออก เขารู้ว่าความเป็นกับความตายห่างกันนิดเดียว และช่วงเวลาที่เหลือเขาจะทำทุกวันให้ดีที่สุดและปราศจากซึ่งความกลัวอีกต่่อไป
“ผมเริ่มกลับมาใช้ชีวิตด้วยความตระหนักรู้ยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา ผมรับรู้และพยายามมองสิ่งเล็กน้อย สนใจและใส่ใจมันขึ้นในทุก ๆ วัน เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีวันพรุ่งนี้สำหรับเราหรือไม่ สำหรับบางคนวันพรุ่งนี้อาจจะไม่มีจริงก็ได้” โฟลล์แมน กล่าว
เมื่อการรักษาเป็นไปอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาใส่ขาเทียมแล้วกลับเริ่มทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ โฟลล์แมน ได้เดินทางกลับไปยังสโมสร ชาเปโคเอนเซ เพื่อรำลึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตอนนี้เขาพร้อมแล้วที่จะกลับไปทำงานให้กับสโมสรอีกครั้งแม้จะไม่ใช่ในฐานะนักเตะก็ตาม
สโมสรเสนอตำแหน่งทูตสโมสรให้กับ โฟลล์แมน เขารับมันเพราะเขาอยากจะมาที่สโมสรแห่งนี้ทุก ๆ วัน นี่คือสโมสรที่ทำให้เขามีความจรงจำมากมาย และการได้มาที่นี่ก็เหมือนเป็นการเอาชนะความกลัวในอดีตที่เขามีด้วย
โฟลล์แมน เปลี่ยนหน้าที่ใหม่ งานส่วนใหญ่ของเขาเป็นงานประชาสัมพันธ์ที่ได้พบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา และมันพอจะทำให้ชีวิตของเขากลับเป็นปกติได้บ้าง สภาพจิตใจเยียวยาได้ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน แม้กระทั่งงานง่าย ๆ อย่างการจัดเรียงเอกสารสำหรับการประชุมทีมแต่ละครั้ง เขาจะทำอย่างตั้งใจและจะทำมันให้ดีที่สุด
การได้ทำงานปลุก โฟลล์แมน ขึ้นมาเป็นคนมีไฟและมองอนาคตอีกครั้ง เขาไล่ทำสิ่งที่ค้างค้าทั้งหมดที่เคยลืมไว้ เช่นการเดินทางไปพบพระสันตะปาปา เขาออกพบปะกับผู้คนแล้วคอยถ่ายทอดสิ่งที่เขาเคยผ่านมา โดยมีแฟนสาวของเขาที่อยู่เคียงข้าง หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป 1 ปี พวกเขาทั้งคู่ก็แต่งงานกันและเริ่มสร้างครอบครัวร่วมกัน
ช่วงเวลาการทิ้งอดีตมาถึงเเล้ว จากนี้ไป แจ็คสัน โฟลล์แมน จะมีชีวิตเพื่ออนาคตและคนที่เขารักเท่านั้น
เสียงแห่งพระเจ้า
นาทีนี้เหมือนเสียงเพลงแห่งความหวังดังขึ้นเป็นดนตรีประกอบชีวิตของเขา แจ็คสัน โฟลล์แมน กลายเป็นคนที่ได้รับความสนใจจากสื่อมากขึ้น จากสิ่งดี ๆ ที่เขาทำหลังจากนั้น เขาเดินสายออกรายการต่าง ๆ เล่าแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นใหม่หลังการเจอเรื่องร้าย ๆ เขาส่งต่อพลังบวกให้กับทุกคน
การใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้เขากล้าจะลองทุก ๆ สิ่ง และคว้าทุกโอกาสดี ๆ ที่เขามา หนึ่งในนั้นคือดนตรี
Photo : tvefamosos
ดนตรี ถือเป็นความชอบมาตั้งแต่วัยเด็ก มันช่วยให้สภาพจิตใจของเขาดีขึ้น ประกอบกับร่างกายที่ฟื้นตัวดีขึ้นด้วย โฟลล์แมน เลือกที่จะลงประกวดร้องเพลงในรายการ PopStar เวทีเพื่อเฟ้นหาศิลปินหน้าใหม่ของประเทศบราซิล
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หลังจากการที่เขาลองส่งเดโม่ไปให้กับรายการ ก็มีการติดต่อกลับมาโดยให้เขาไปเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน และ โฟลล์แมน ก็ขึ้นเวทีพร้อมกีตาร์หนึ่งตัว ทำการถ่ายทอดบทเพลงที่มีชื่อว่า “Tente Outra Vez” หรือแปลเป็นไทยว่า “เริ่มใหม่อีกครั้ง”
เนื้อเพลงบอกเล่าถึงคนที่ไม่ยอมแพ้ให้กับสิ่งที่ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แม้จะต้องเผชิญความเศร้าและเสียใจแค่ไหน แต่ตราบใดที่ยังมีชีวิต สิ่งที่เราควรทำคือ “เริ่มใหม่อีกครั้ง” โดยในเนื้อเพลงมีการกล่าวถึงพระเจ้าด้วย
ตอนจบของเพลงปิดท้ายไว้อย่างจับใจว่า “จงลอง อย่าบอกว่าเราเป็นผู้แพ้ เพราะชีวิตคือการต่อสู้เพื่ออยู่ต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงลองใหม่อีกสักครั้ง”
บทเพลงนี้เป็นบทเพลงที่สะท้อนถึงเรื่องราวชีวิตของ โฟลล์แมน โดยตรง มันซึ้งกระแทกความรู้สึกคนดูและกรรมการทั้ง 10 คนเป็นอย่างยิ่ง เมื่อ โฟลล์แมน ร้องจบ เทรนด์ทวิตเตอร์ในบราซิลก็กระหน่ำพูดถึงโชว์ของเขา ในแฮชแท็กว่า #PalcoPopstar
หลังจากลงเวทีนั้น โฟลล์แมน กลายเป็นป๊อปสตาร์ของบราซิลไปแล้วเรียบร้อย มันเหมือน 1 บทเพลงที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปโดยปริยาย จากคนที่พูดไม่ได้ไปถึง 40 วัน การร้องเพลงนี้สร้างความประทับใจให้กับชาวบราซิลมากมายที่ชมรายการนั้น
ช่วงเวลาไม่กี่อึดใจยอดผู้ติดตามในอินสตาแกรมของ โฟลล์แมน ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้เขามีผู้ติดตามกว่า 8 แสนคนแล้ว เหนือสิ่งอื่นใดคือผู้คนที่มาติดตามเขาพยายามเรียกร้องให้เขาทำเพลงใหม่ ๆ ออกมา และทุกคนก็พร้อมที่จะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่
Photo : gshow.globo.com
จากอดีตผู้รักษาประตูผู้ผ่านเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจมากที่สุด ตอนนี้ โฟลล์แมน เปล่งเสียงของเขาออกมา รับโอกาสที่ 2 จากพระเจ้า และเริ่มทำในสิ่งที่ง่ายที่สุดให้ดีที่สุด นั่นคือ “การใช้ชีวิต”
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากนี้ วงการฟุตบอลและวงการบันเทิงของบราซิล จะไม่ลืม แจ็คสัน โฟลล์แมน อย่างแน่นอน