sportpooltoday

“แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์” : เสือเฒ่าผู้เบ่งบานด้วยการพา ลิเวอร์พูล คว้า 3 แชมป์ในวัย 35 ปี


"แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์" : เสือเฒ่าผู้เบ่งบานด้วยการพา ลิเวอร์พูล คว้า 3 แชมป์ในวัย 35 ปี

“เท้าขวาของคุณช่างแสนหวาน เราเซ็นคุณมาฟรีๆ แต่เราได้ทริปเปิลแชมป์ คุณคือไอ้หัวล้าน คุณคือ แกรี่ แม็ค ของพวกเรา”

นี่คือเนื้อเพลงเชียร์ที่แฟนบอลลิเวอร์พูลร้องมอบให้กับนักเตะที่ย้ายมาอยู่กับพวกเขาเพียงแค่ปีเดียว และบันดาลทริปเปิลแชมป์ให้กับสโมสรแห่งนี้ เขาคนนั้นคือ แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ 

ดาวเตะวัย 35 ปี คนนี้ไม่ได้รับความคาดหวังว่าจะสร้างอิมแพกต์ได้ใหญ่โตขนาดนั้น แต่เขาทำมันได้อย่างไร? ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ที่ Main Stand

ปลาใหญ่ในบ่อเล็ก 

เดิมที แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ ไม่ใช่นักเตะโนเนมอะไรก่อนที่จะย้ายมาลิเวอร์พูล เขาคือนักเตะในตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์สไตล์โคตรบอลช่วงยุค 90s กล่าวคือใช้สมอง ไม่ได้ใช้ความเร็ว ไล่ไม่จน และมีสายตามองเห็นรอบตัวก่อนการออกบอลแต่ละครั้ง 

มันอาจจะเก่าไปหน่อยจนทำให้ใครหลายคนนึกภาพไม่ออกว่า แม็คอัลลิสเตอร์ นั้นยอดเยี่ยมขนาดไหน ช่วงที่โด่งดังที่สุดในสมัยวัยรุ่นกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ฤดูกาล 1991-92 เขาก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 1 ของอังกฤษ หรือเทียบเท่าพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน 

1ณ ตอนนั้น 4 แดนกลางของลีดส์ประกอบด้วย แม็คอัลลิสเตอร์, กอร์ดอน สตรัคคัน, แกรี่ สปีด และ เดวิด แบตตี้ พวกเขาถูกเปรียบเทียบให้เป็น 4 แผงมิดฟิลด์ที่สมบูรณ์แบบไม่แพ้กับแดนกลางของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่คว้าทริปเปิลแชมป์ในปี 1998-99 (เดวิด เบ็คแฮม,ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์ และ รอย คีน ) เลยทีเดียว

“หลายคนเปรียบเทียบพวกเรากับกองกลางของยูไนเต็ดชุดนั้น ผมบอกได้คำเดียวว่ามันคือคำชมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผมจะกล้ารับ” แม็คอัลลิสเตอร์ กล่าวกับ FourFourTwo 

“ตอนนั้นพวกเราทั้ง 4 คนทำสิ่งต่างๆได้ออกมาสมบูรณ์แบบมาก พวกเราพร้อมชนทุกสถานการณ์ มีพลังเหลือล้นของวัยรุ่น สปีด, แบตตี้ และผมรับหน้าที่ตรงนี้ ขณะที่ กอร์ดอน สตรัคคัน ในวัย 35 ปีเป็นแม่ทัพจอมเลือดเดือด.. การได้เล่นกับสตรัคคันตั้งแต่ยังหนุ่มทำให้ผมรู้ว่าผมยังต้องเก่งกว่านี้อีกมากจึงจะเป็นนักเตะที่ดีอย่างเขา”

อย่างไรก็ตาม หลังจากสิ้นสุดปีมหัศจรรย์กับ ลีดส์ แม็คอัลลิสเตอร์ และต้นสังกัดของเขาก็เดินหน้าไปได้ไม่ไกลนัก แชมป์ลีกสูงสุดคือแชมป์สุดท้ายของเขากับ ลีดส์ เนื่องจากทีมเสียตัวหลักไปหลายคน สปีด ย้ายออกไปอยู่กับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด, สตรัคคัน ประกาศแขวนสตั๊ดไปทำงานกุนซือ และที่สำคัญคือ เอริก คันโตนา ย้ายไปสร้างยุคสมัยใหม่ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด นั่นทำให้ ลีดส์ กลายเป็นทีมกลางตารางและในบางปีก็ต้องมาหนีตกชั้น 

2ที่สุดแล้ว แม็คอัลลิสเตอร์ ก็ต่อยอดความสำเร็จร่วมกับลีดส์ไม่ได้ เขาเริ่มอายุมากขึ้นและไม่ได้เป็นตัวหลักของทีมในช่วงปลายปี 1996 ตอนนั้นเขาอายุ 30 ปีแล้ว.. สำหรับฟุตบอลยุค 90s ที่เรื่องฟิตเนสและวินัยของนักเตะยังไม่เข้มข้นเท่าปัจจุบัน ในวัยเลข 3 ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของขาลงแล้ว

ลีดส์ พยายามจะขายเขาออกไปก่อนสัญญาจะหมด และคนที่สนใจ แม็คอัลลิสเตอร์ ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นสโมสรน้องใหม่อย่าง โคเวนทรี ที่คุมทัพโดย รอน แอตคินสัน อดีตกุนซือที่เคยคุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ก่อนที่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะเข้ามารับไม้ต่อ

ก้าวสุดท้ายที่โคเวนทรี 

การมาเล่นที่ โคเวนทรี เป็นการยืนยันว่าบั้นปลายอาชีพของ แม็คอัลลิสเตอร์ มาถึงแล้ว เขาอายุมากและมีร่างกายที่ไม่แข็งแรงเหมือนเก่า เขาใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นหลัก โดยสโมสรก็มีเป้าหมายที่เล็กลงกว่าที่เคยนั่นคือขอแค่อยู่รอดในลีกสูงสุดให้ได้ หากเปรียบกับคนทำงานออฟฟิศทั่วไป ตอนนี้ก็เหมือนการลาออกจากบริษัทใหญ่ๆ มาใช้ชีวิตสบายๆ กับองค์กรเล็กๆ ที่มีเป้าหมายต่ำและไม่กดดันมากจนเกินไปนัก 

3“ผมรู้จักกับ รอน แอตคินสัน ดี เขาทุ่มเงินถึง 3 ล้านปอนด์ เพื่อซื้อตัวผมมา มันไม่ใช่เงินน้อยๆ สำหรับนักเตะแก่ๆอย่างผม ผมเองก็ต้องตัดสินใจเยอะพอสมควร เพราะผมพยายามจะพาตัวเองไปยังจุดสิ้นสุดของอาชีพที่ดี” แม็คอัลลิสเตอร์ กล่าว

ทว่าการมาเล่นยังสโมสรเล็กๆที่ดูเหมือนเป็นการทิ้งทวน กลับเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมเกินกว่าที่ แม็คอัลลิสเตอร์ คาดคิด 

ฤดูกาล 1996-97 โคเวนทรี เริ่มต้นอย่างยากลำบาก 16 เกมแรกในพรีเมียร์ลีก ทีมชนะได้แค่ 1 เกมเท่านั้น ทว่าการเปลี่ยนแปลงก็มาถึงเมื่อ แอตคินสัน โดนไล่ออก โดยคนที่มารับไม้ต่อก็คือ กอร์ดอน สตรัคคัน อดีตลูกพี่เก่าของ แม็คอัลลิสเตอร์ หลังจากนั้นความมันก็บังเกิด 

ในเกมที่ 17 ที่ โคเวนทรี เปิดบ้านเจอกับ นิวคาสเซิล เกมนั้นยังเสมอกัน 1-1 และเตรียมจะจบลงด้วยการแบ่งแต้มอยู่แล้ว แม็คอัลลิสเตอร์ สวมวิญญาณฮีโร่ซัดประตูชัยในช่วงท้ายเกม ให้ โคเวนทรี ชนะไป 2-1 ทำให้ โคเวนทรี กลับมาสู่เส้นทางการหนีตายเต็มรูปแบบ พวกเขาโกยแต้มหนีบ๊วยและจบในอันดับที่ 17 ในเกมสุดท้ายของฤดูกาล รอดตกชั้นไปอย่างสะใจ โดยผ่านการเอาชนะทีมอย่าง ลิเวอร์พูล, เชลซี และ สเปอร์ส อีกด้วย 

4“นี่คือการหนีตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เราโชคดีมากที่กลับตัวได้ในช่วงกลางฤดูกาล จากนั้นเราก็ไม่กลัวใครแม้กระทั่งการไปเยือนที่แอนฟิลด์ เราก็ยังเอาชนะมาได้” แม็คอัลลิสเตอร์ กล่าว

“ไม่รู้จะบอกยังไงดี มันคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ตอนแรก โคเวนทรี บอกกับผมว่า พวกเขาจะทำให้ผมจบอาชีพอย่างสวยงามและท้ายที่สุดมันก็เป็นเช่นนั้น พวกเราเป็นทีมที่ดีที่มีนักเตะเก่งๆหลายคน ดาร์เรน ฮัคเคอร์บี้, ร็อบบี คีน และตัวต่างชาติอย่าง มุสตาฟา ฮัดจิ และ ยูเซฟ ชิปโป้ เราอาจจะเสี่ยงตกชั้นในหลายๆฤดูกาล แต่ถ้าถามผมนั่นคือช่วงอาชีพที่ผมสนุกแบบครบรสมากๆ” 

แม็คอัลลิสเตอร์ เดินมาจนสุดทางกับ โคเวนทรี ในฤดูกาล 1999-2000 สโมสรก็ตกชั้นจากลีกสูงสุด เขาอยู่กับทีมเป็นเวลาทั้งหมด 4 ปีพอดีกับช่วงเวลาที่เขาอายุ 35 และหมดสัญญา 

5หากเขาจะเลิกเล่นก็ไม่แปลกอะไร หรือจะหาสโมสรต่อไปก็คงจะเป็นทีมในระดับรองๆ ทว่าเรื่องอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นกับเขาในช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2000 เชราร์ อุลลิเยร์ นายใหญ่ของ ลิเวอร์พูล ต่อสายตรงถึงเขาและยื่นสัญญาระยะ 1 ปีให้กับเสือเฒ่ารายนี้..

คำถามที่เกิดขึ้นกับ แม็คอัลลิสเตอร์ คือ ทีมอย่าง ลิเวอร์พูล ต้องการอะไรจากนักเตะอย่างเขากันแน่?

Late Bloomer 

“ผมเองก็รู้ตัวดีว่ากระแสการตอบรับการซื้อตัวนักเตะอย่างผมเป็นไปได้ไม่ค่อยดีนัก บก. ของนิตยสารท้องถิ่นเขียนข่าวถึงผมว่า หากหมาแก่อย่างผมได้ลงเล่นมากกว่า 10 เกม เขาจะเดินเปลือยก้นในสวนสาธารณะ” แม็คอัลลิสเตอร์ กล่าว

เดิมทีคำว่า Late Bloomer เป็นคำศัพท์ที่ใช้เรียกเด็กหญิงที่เติบโตเป็นสาวช้ากว่าเด็กคนอื่นๆทั่วไป ไม่ว่าจะด้วยเรื่องวิธีคิด, สรีระ และมุมมองที่มีต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งในช่วงแรกเด็กหญิงเหล่านี้จะถูกมองเป็นเหมือนลูกเป็ดขี้เหร่ที่คนมองข้าม ทว่าวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่พวกเธอผลิบาน (Bloom) เติบโตสมวัยเมื่อไหร่ พวกเธอจะกลายเป็นเหมือนกับดอกไม้ที่สวยงามที่สุดชนิดที่ว่าใครๆก็คาดไม่ถึง 

6ขณะที่ในปัจจุบัน Late Bloomer กลายเป็นการเปรียบเทียบกับชีวิตของใครคนหนึ่งที่อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ โด่งดัง มีชื่อเสียงในช่วงอายุที่ควรจะพีคที่สุดในหน้าที่การงาน จนหลายคนมองข้ามและดูถูกเขา จนถึงวันที่พวกเขาเลยจุดพีคตามอายุของพวกเขาไปแล้ว เสียงต่างๆถึงจะกลับตาลปัตรพลิกเป็นอีกเรื่อง จากคนที่ไม่เคยถูกพูดถึง อยู่ดีๆสปอตไลท์ก็ฉายมาที่เขา และ แม็คอัลลิสเตอร์ ก็เป็นเช่นนั้นในช่วงที่เขาย้ายมาเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล 

เรียกได้ว่าเป็นการไปอยู่ในจุดที่ถูกที่ถูกเวลาก็ว่าได้ ณ เวลานั้น เชราร์ อุลลิเยร์ มีปัญหาเรื่องความนิ่งและประสบการณ์ในเกมการแข่งขันของนักเตะในทีม ฤดูกาล 1999-2000 ทีมของเขาจบอันดับที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก เพราะทำแต้มตกหล่นเรี่ยราดกับทีมเล็กบ่อยๆ ในรายการเอฟเอ คัพ ก็จบเส้นทางแค่รอบ 4 จากการแพ้ แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส คาบ้าน ขณะที่ ลีก คัพ ก็ตกรอบแต่หัววันจากการแพ้ให้ เซาธ์แฮมป์ตัน 

เนื่องจากนักเตะของ ลิเวอร์พูล ในเวลานั้นส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่ม ไมเคิล โอเว่น, เอมิล เฮสกีย์, เจมี่ คาร์ราเกอร์, แดนนี่ เมอร์ฟี่, เดวิด ธอมป์สัน และแน่นอนยังมีนักเตะหน้าใหม่ที่เพิ่งดันขึ้นมาจากทีมอคาเดมีอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ด้วย 

ไม่ใช่แค่ แม็คอัลลิสเตอร์ ที่สงสัยว่าทำไม อุลลิเยร์ จึงต้องการนักเตะอย่างเขา แม้แต่ เจอร์ราร์ด เองก็เคยเปิดเผยภายหลังว่า เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ทีมต้องเอา แม็คอัลลิสเตอร์ เข้ามาแย่งโอกาสนักเตะแดนกลางในทีมด้วย เพราะ ณ เวลานั้นก็มีมิดฟิลด์รอโอกาสอยู่ไม่น้อยกว่า 4 คน 

7สิ่งที่ แม็คอัลลิสเตอร์ นำเข้ามาในทีมนี้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มฤดูกาลคือ เขาจะพิสูจน์ตัวเองกับคำวิจารณ์เหล่านั้น นี่เป็นโอกาสประสบความสำเร็จครั้งสุดท้ายในฐานะนักเตะอาชีพของเขาแล้ว และเขาจะไม่ยอมปล่อยให้มันจบลงพร้อมกับคำดูถูกเหล่านั้น 

“ผมมีอะไรต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะมาก ดังนั้น ผมจึงเริ่มฝึกซ้อมตลอดช่วงพักร้อนเพื่อทำให้ร่างกายตัวเองพร้อมที่สุดเมื่อได้โอกาสลงซ้อมที่เมลวูดเป็นครั้งแรก”

“เรื่องเทคนิคต่างๆ ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ ทุกคนต้องได้เห็นว่าขาของผมแข็งแรงแค่ไหน ผมตั้งใจว่าจะทำให้เด็กๆได้เห็นว่าผมยังวิ่งได้สบายๆ เรื่องนี้สำคัญมากเพราะมันจะเป็นกุญแจที่ทำให้พวกเขาเปิดใจให้กับผม.. เมื่อถึงเซสซั่นที่ต้องวิ่งจับเวลา ผมมักจะเป็นนักเตะที่อยู่ในกลุ่มที่เข้าเส้นชัยอันดับต้นๆเสมอ” แม็คอัลลิสเตอร์ กล่าว 

นี่แหละคือสิ่งที่โค้ชต้องการให้เขาแสดงออกมาให้นักเตะคนอื่นๆเห็น ความเป็นมืออาชีพ ความพยายาม และทัศนคติของนักเตะที่มีความกระหายอยากอยู่เสมอ และหลายสิ่งก็เริ่มเปลี่ยนไปผ่านการซ้อมในแต่ละวันจากที่เคยเป็นคนที่โดนตั้งคำถาม ในภายหลัง เจอร์ราร์ด เคยบอกไว้ว่า แม็คอัลลิสเตอร์ เปรียบเหมือนอาจารย์ของเขาเลยทีเดียว 

8นักเตะคนเดียวก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงเป็นวงกว้างได้ แม็คอัลลิสเตอร์ เบ่งบานเฉิดฉายพร้อมกับกลุ่มดาวรุ่งของ ลิเวอร์พูล แม้พวกเขาจะยังเป็นทีมที่เอาแน่เอานอนมากไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเกมนัดต่อนัดที่ต้องอาศัยสปิริตและการสู้จนนาทีสุดท้าย ลิเวอร์พูล ชุดนั้นไม่เป็นรองใครแน่นอน 

“ผมเองก็ไมแน่ใจว่าฤดูกาล 2000-01 มีสัญญาณบอกว่ามันจะเป็นปีที่แสนวิเศษของพวกเราได้มากแค่ไหน แต่ผมรู้สึกว่าทีมของเราเป็นทีมเล่นเกมเร็วได้เก่งมาก ทุกคนมีความกระฉับกระเฉงและเคลื่อนที่กันอย่างยอดเยี่ยม เจอร์ราร์ด เองก็เป็นนักเตะที่ผมบอกได้เลยว่าผมจะมอบทุกอย่างที่ผมมีให้กับเขา” แม็คอัลลิสเตอร์ ว่าต่อ

“เราต่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ผมพร้อมสอนพวกเขาด้วยประสบการณ์ ขณะที่พลังของพวกเขาก็ทำให้ผมเล่นง่าย โอเว่น, คาร์ราเกอร์, ฟาวเลอร์ และ เมอร์ฟี่ ต่างก็สนิทกับผมในภายหลังทั้งนั้น เรากลายเป็นทีมที่มีคุณภาพไม่แพ้ใครในลีก แต่ก็ต้องยอมรับว่าในตอนนั้น อาร์เซน่อล เหนือไปอีกระดับ ทว่าหากมีโอกาสให้เด็กพวกนี้อีกสักปีพวกเขาจะเป็นแชมป์ลีกได้แน่” 

ปีนั้น ลิเวอร์พูล ทำผลงานดีขึ้นในลีกด้วยการจบอันดับ 3 ได้สิทธิ์ไปเล่นในฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตามเป้า แต่กับบอลถ้วยคือสิ่งที่ยืนยันคำพูดของ แม็คอัลลิสเตอร์ ได้ดี พวกเขาคว้าแชมป์ลีกคัพได้ในเดือนกุมภาพันธ์ ตามด้วยการคว่ำอาร์เซน่อลในเกมนัดชิงชนะเลิศศึกเอฟเอ คัพ จากนั้นก็ตามมาด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ ปิดท้าย

ทุกรายการที่กล่าวมา แม็คอัลลิสเตอร์ สร้างไฮไลท์ได้เสมอโดยเฉพาะในเกมที่กดดันและต้องวัดกันด้วยการยิงจุดโทษ เขาเป็นมือ 1 ของทีม และสังหารโดยไม่พลาดเป้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะในเกมกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, แบรดฟอร์ด, โคเวนทรี, สเปอร์ส, ดาร์บี้ และแน่นอนที่สุดคือจุดโทษในเกมที่ คัมป์ นู ที่ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่าน บาร์เซโลน่า ได้ในรอบตัดเชือกด้วยสกอร์รวม 1-0 

9และที่ขาดไม่ได้คือประตูที่ทำให้เขาได้ใจกองเชียร์ลิเวอร์พูลมากที่สุด เป็นการยิงฟรีคิกลักไก่ระยะ 40 หลาช่วงทดเวลาบาดเจ็บในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-2 นั่นคือประตูที่ใครหลายคนยังจำได้ดีแม้จะผ่านมากว่า 20 ปีแล้วก็ตาม 

“มันคือช่วงเวลาที่ทุกอย่างมาบรรจบกันอย่างพอเหมาะพอเจาะ ผมไม่เคยลงเล่นแล้วคิดก่อนเกมว่า เกมนี้จะต้องเป็นของฉัน ฉันจะต้องซัดไกลสุดสวยให้ได้อะไรทำนองนั้น” 

“ตอนนั้นเกมมันพลิกไปพลิกมา เรามีนักเตะคนหนึ่งโดนไล่ออก เอฟเวอร์ตัน ตีเสมอเราท้ายเกม และช่วงฟรีคิกครั้งสุดท้ายของเกมก็มาถึง ผมตั้งบอลอยู่กับ คาร์ราเกอร์ และเห็นผู้รักษาประตูขยับไปที่เสาสองเพื่อเตรียมรับการโยนเข้าไปกดดัน เขาเหมือนรู้ทันผมและบอกผมว่า อย่าคิดบ้าๆนะแกรี่ แต่ผู้รักษาประตูก็ขยับเปิดมุมขึ้นอีก ดังนั้น ผมเลยตัดสินใจทันทีว่า -ลุยเลยดีกว่า-“ แม็คอัลลิสเตอร์ กล่าวถึงประตูที่ทำให้แฟนลิเวอร์พูลยกย่องเขามาจนถึงทุกวันนี้ 

ครบ 1 รอบปฏิทิน แม็คอัลลิสเตอร์ พาทีมหงส์แดงพลังหนุ่มกวาดแชมป์ 5 รายการ (3 รายการระดับเมเจอร์) และจากนั้นเขาก็ลงเล่นให้ลิเวอร์พูลจนครบอีก 1 ฤดูกาล ก่อนจะย้ายกลับไป โคเวนทรี อีกครั้งในปี 2002 เพื่อรับงานผู้เล่น-ผู้จัดการทีม ท่ามกลางเสียงสรรเสริญของแฟนบอล เดอะ ค็อป 

นักเตะวัย 35 ปี ลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ไปมากถึง 87 นัด ยิงไป 9 ประตู กลายเป็นลูกพี่และคนสำคัญ กลายเป็นอาจารย์ของนักเตะดาวรุ่ง และที่สุดแล้วเป็นคนที่สร้างอิมแพกต์ครั้งใหญ่ที่ไม่ใช่แค่การเบ่งบานเพียงแค่เขาคนเดียว ทุกๆคนในทีมลิเวอร์พูลเฉิดฉายขึ้นเมื่อมีนักเตะอย่าง แม็คอัลลิสเตอร์ เดินนำหน้า..

10ซึ่งหนึ่งในคนที่รู้ซึ้งถึงคุณค่าของ แม็คอัลลิสเตอร์ ดีคงหนีไม่พ้น สตีเว่น เจอร์ราร์ด เพราะทันทีที่ตัดสินใจรับงานผู้จัดการทีมกับ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส เมื่อปี 2018 แม็คอัลลิสเตอร์ แทบจะเป็นคนแรกๆที่เจอร์ราร์ดติดต่อไปหา เพื่อขอให้มาเป็นมือขวาของเขา ก่อนที่จะประสบความสำเร็จไปด้วยกัน รวมถึงในปัจจุบัน แม็คอัลลิสเตอร์ ก็ตามเจอร์ราร์ดไปเป็นมือขวาที่ แอสตัน วิลล่า อีกด้วย

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของคัลต์ฮีโร่ ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เป็นผู้เล่นที่ทรงคุณค่าเสมอ แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ ผู้นี้นี่เอง