sportpooltoday

เรื่องราวจากยอดคน : 14 สิ่งที่คุณควรรู้จากสารคดี “เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่มีวันแพ้”


เรื่องราวจากยอดคน : 14 สิ่งที่คุณควรรู้จากสารคดี "เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่มีวันแพ้"

สารคดี เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่มีวันแพ้ หรือ Sir Alex Ferguson: Never Give In คือหนึ่งในสารคดีน้ำดีของโลกกีฬา รับประกันโดย 100 คะแนนเต็มจากนักวิจารณ์ของเว็บไซต์ Rotten Tomatoes

อย่างไรก็ตาม ถึงจะดีมากๆ แต่สารคดีเรื่องนี้กลับไม่โด่งดังนัก ทั้งที่มันเต็มไปด้วยสาระที่จะช่วยให้ทุกคนได้เข้าใจตัวตนที่แท้จริงของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, เบื้องหลังความสำเร็จทุกอย่าง และสามารถนำหลักคิดหลายอย่างไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันของทุกคน

Main Stand จึงนำเนื้อหาสาระจากสารคดีชุดนี้ มาสรุปให้ทุกคนได้อ่าน เพื่อเป็นทั้งบทเรียนที่ต่อให้ไม่ใช่แฟนฟุตบอลก็สามารถเรียนรู้ได้ หรือถ้าคุณเป็นแฟนลูกหนัง คุณก็จะหายสงสัยว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้รับการยกย่องว่าเป็น สุดยอดผู้จัดการทีมตลอดกาล

(หากคุณอยากดูสารคดีเรื่องนี้ด้วยตัวเอง สามารถรับชมได้ทางสตรีมมิ่งของ HBO GO)


1. การเข้าใจตัวตน และภูมิหลังของนักฟุตบอล คือสิ่งสำคัญของการเป็นผู้จัดการทีม (หรือเจ้านายที่ดีของลูกน้อง)
 

วิธีการสำคัญของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คือการสื่อสารกับลูกทีม นักเตะทุกคนต้องเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการ หรือสิ่งที่อยากได้จากผู้เล่นคนนั้น

แต่ขณะเดียวกัน เฟอร์กูสัน รู้ดีว่านักฟุตบอลทุกคนไม่เหมือนกัน เพราะทุกคนเติบโตมาไม่เหมือนกัน ทุกคนมาจากพื้นเพที่แตกต่างกัน สภาพแวดล้อมที่ต่างกันออกไปของแต่ละคน ส่งผลต่อนิสัยของผู้เล่น และสำหรับยอดคนชาวสกอตต์ ทางเดียวที่จะเข้าใจนักเตะของเขา ก็คือการเข้าใจภูมิหลังของผู้เล่นแต่ล่ะคน

1“ผมถามนักเตะทุกคนว่าปู่ของเขาทำอาชีพอะไร? พ่อของเขาทำอาชีพอะไร? เพราะผมต้องเข้าใจถึงความรู้สึกในสิ่งที่ปู่หรือย่าของพวกเขาทำ เพราะสิ่งเหล่านั้นส่งถึงนักเตะแต่ละคน และมันมีความหมายต่อพวกเขา” 

“ฟุตบอลคือเรื่องของชีวิต พื้นเพของเราคือสิ่งสำคัญ นักฟุตบอลทุกคนมีตัวตนของตัวเอง” เซอร์ อเล็กซ์ กล่าวในสารคดี

สำหรับยอดผู้จัดการทีมรายนี้ เขาเชื่อโดยสนิทใจว่า หากเขาไม่เข้าใจนักเตะแต่ละคนว่า มีสภาพแวดล้อมภูมิหลังแบบไหน อะไรที่หล่อหลอม และเติบโตให้พวกเขาโตขึ้นมาเป็นคนในแบบที่พวกเขาเป็น เขาก็จะไม่มีทางสร้างสุดยอดนักฟุตบอลแบบที่เขาทำได้

แต่เพราะเขาเข้าใจถึงความเป็นมาของผู้เล่นแต่ละราย ทำให้นักเตะมากมายกลายเป็นดาวดังของโลกลูกหนัง ทั้ง เอริค คันโตน่า, เดวิด เบ็คแฮม, พอล สโคลล์, ไรอัน กิ๊กส์ หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้


2. ความเป็นชนชั้นแรงงาน ส่งผลให้ เซอร์ อเล็กซ์ เป็นนักสู้

เหตุผลที่ เซอร์ อเล็กซ์ เชื่อว่าพื้นเพของคนคือส่วนสำคัญในชีวิตมนุษย์ เป็นเพราะว่ายอดคนชาวสกอตต์เชื่อว่าที่ตัวเขาเป็นแบบทุกวันนี้ก็เพราะรากฐานต่างๆในวัยเด็ก

เซอร์ อเล็กซ์ เติบโตมาจากครอบครัวชนชั้นแรงงาน ที่คุณพ่อทำงานอยู่ในอู่ต่อเรือ ซึ่งเฟอร์กูสันชื่นชมกลุ่มคนทำอาชีพต่อเรือมาก ในฐานะนักสู้ตัวจริง และมันถูกส่งต่อมาสู่ผู้ชายคนนี้ด้วย

การมีชีวิตที่ไม่สุขสบาย ทำให้เฟอร์กี้เป็นนักสู้ตั้งแต่เด็ก ยิ่งประกอบกับการที่เขาอาศัยอยู่ในย่านกัฟเวิน ชุมชนเสื่อมโทรมของเมืองกลาสโกว์ ทำให้เขาต้องสู้กับชีวิตตัวเองเพิ่มขึ้นหลายเท่า

2“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่คือทัศนคติทุนนิยมมีต่อชนชั้นแรงงาน กดพวกเขาให้ต่ำเตี้ยจมดิน แต่ผมแค่โชคดี ฟุตบอลช่วยชีวิตผมไว้”

การเป็นชนชั้นแรงงานในสกอตแลนด์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ปัจจัยรอบตัวความเป็นชนชั้นแรงงานของ เซอร์ อเล็กซ์ ในวัยเด็ก ทำให้เขาเป็นคนที่กล้าเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง ไม่หวาดกลัวกับสิ่งใด และเขาภูมิใจกับเรื่องนี้มาโดยตลอด 

เพราะสำหรับ เซอร์ อเล็กซ์ การเป็นคนชนชั้นแรงงานได้มอบทัศนคติสำคัญให้กับเขาสองข้อ นั่นคือ การอดทนต่อความยากลำบาก และ ไม่มีวันยอมแพ้ต่อให้ลำบากแค่ไหนก็ตาม


3. ครอบครัวคือส่วนสำคัญ กับการผลักดันให้ เซอร์ อเล็กซ์ ประสบความสำเร็จ

การมีแรงสนับสนุนจากครอบครัวที่ดี ส่งผลดีต่อชีวิตของมนุษย์เสมอ เช่นเดียวกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หากเขาไม่ได้รับความรักและแรงผลักดันที่ดีจากครอบครัว คงยากที่เขาจะมายืนในจุดนี้ 

สำหรับเฟอร์กี้ ทั้งคุณพ่ออเล็กซานเดอร์ และคุณแม่อลิซาเบธของเขา ล้วนเป็นบุคคลที่มีความหมายต่อเขาอย่างมากกับการผลักดันให้เขามายืนถึงจุดนี้ 

3

คุณพ่อของอเล็กซ์ คือคนสำคัญที่พาให้เขาเข้าสู่วงการฟุตบอล คอยสนับสนุน สร้างระเบียบวินัยต่างๆให้กับลูกชายเพื่อเป็นนักฟุตบอลที่ดี 

พ่อของ เซอร์ อเล็กซ์ มองการณ์ไกลให้ลูกชาย ด้วยการไม่ยอมให้เขาเซ็นสัญญาอาชีพกับการเป็นนักฟุตบอล แต่ต้องไปทำงานเป็นช่างทำเครื่องมือเสียก่อน เพื่อเป็นทักษะติดตัวหาเลี้ยงอาชีพ เผื่อเป็นคนค้าแข้งแล้วไม่สำเร็จ อย่างน้อยก็มีอาชีพติดตัว 

ซึ่งสำหรับเฟอร์กูสันแล้ว การได้ทำงานในโรงงานเป็นช่วงเวลาสั้นๆ มันกลับมีความหมายกับผู้ชายคนนี้อย่างมาก เพราะทำให้เขาเติบโต และเข้าใจคนอื่นมากขึ้น 

ขณะที่คุณแม่ของ เซอร์ อเล็กซ์ ก็เป็นผู้หญิงที่มีอิทธิพลสำคัญกับตัวเขาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องนอกสนาม


4. เซอร์ อเล็กซ์ สนใจทางการเมืองตั้งแต่เด็ก และสนับสนุนแนวคิดฝั่งซ้าย

ตั้งแต่อายุยังน้อย อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เข้าใจถึงระบบสังคมที่เขาอาศัยอยู่ สิ่งที่เรียกว่า “ทุนนิยม”, “ชนชั้นแรงงาน”, “ความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้น” เขารู้ซึ้งถึงความหมายแก่นแท้ของมัน

นั่นเป็นเพราะเขาได้รับการถ่ายทอดทั้งหมดมาจากคุณแม่ อลิซาเบธ เฟอร์กูสัน หญิงที่เป็นนักสังคมนิยม และเชื่อมั่นในความคิดฝ่ายซ้ายอย่างถึงที่สุด 

4ซึ่งมันส่งผลมาถึงตัวของ เซอร์ อเล็กซ์ แม้กระทั่งจนถึงปัจจุบัน สิ่งสำคัญที่เขาคิดและเชื่อ คือการต่อสู้เพื่อชนชั้นแรงงาน

อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เผยว่าในช่วงวัยหนุ่มเขาเคยเข้าร่วมการประท้วงร่วมกับเพื่อนพี่น้องชนชั้นแรงงานที่มีอายุไล่เลี่ยกัน และเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดของเขา จนถึงทุกวันนี้ เฟอร์กี้ยังคงยกย่องพวกพ้องชนชั้นแรงงานของเขาไม่มีเปลี่ยนแปลง


5. แม้แต่ยอดคนก็มีวันที่ต้องล้มเหลว และยกธงขาวยอมแพ้
 

ทุกคนรู้จัก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในฐานะสุดยอดผู้ชนะ ผู้ชายที่เฉียบแหลมในทุกการกระทำ แต่ไม่มีใครที่ชนะได้ตลอด แม้แต่ผู้ชายคนนี้ก็มีวันที่เขาพ่ายแพ้จนอยากจะลืมเหมือนกัน 

ในช่วงที่เขาเล่นฟุตบอลกับสโมสร เซนต์ จอห์นสโตน เขาไม่ได้รับโอกาสให้ลงสนามมากนัก จาก 4 ปีที่อยู่กับทีม เฟอร์กี้ได้เล่นแค่ 37 เกม ซึ่งมันทำให้เขาท้อแท้กับการเป็นนักฟุตบอลและเสียศูนย์ในชีวิต ผลลัพธ์ที่ตามมา คือเขาเริ่มติดเที่ยว ออกไปดื่มเบียร์เพื่อหาความสุขให้ชีวิต 

5“ผมออกไปเที่ยวทุกคืนวันศุกร์ หรือแม้แต่วันก่อนการแข่งขัน” เซอร์ อเล็กซ์ กล่าว 

เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของเฟอร์กูสัน เขาหมดแพชชั่นในการเล่นฟุตบอล สนใจแต่เรื่องเที่ยว แถมทะเลาะกับคุณพ่อจนถึงระดับที่ตัดขาดความสัมพันธ์กันถึง 2 ปี (1961-1963)

“วันหนึ่งผมออกไปเที่ยวจนเมาเละเทะ แล้วก็ไปมีเรื่อง สุดท้ายผมโดนตำรวจจับไปขัง โดนจับขึ้นศาล โดนปรับเงิน ตอนนั้นผมคิดเลยว่า ทำไมผมถึงทำตัวน่าอับอายแบบนี้?”

“ในตอนนั้นผมยอมรับว่าผมจบแล้ว ชีวิตนักฟุตบอลของผมจบเห่แล้ว”

“ช่วงเวลานั้นยังคงติดอยู่ในหัวของจนถึงทุกวันนี้ และผมก็เสียใจกับมันมาตลอด” เซอร์ อเล็กซ์ เล่าถึงบทเรียนที่เขาอยากลืม แต่ไม่มีวันลืม


6. อย่าพลาดโอกาสที่สำคัญ เพราะในชีวิตมันอาจเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว

เฟอร์กี้เคยยอมแพ้ชนิดที่จะทิ้งฟุตบอล เพื่อขอเป็นผู้อพยพไปอยู่ที่แคนาดา และเขาตัดสินใจแกล้งป่วยเพื่อหลอกผู้จัดการทีมของ เซนต์ จอห์นสโตน เพราะไม่อยากเล่นฟุตบอลอีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม คุณแม่ของเขารู้ทัน และบังคับให้อเล็กซ์ไปขอโทษผู้จัดการทีม ก่อนที่สุดท้ายเขาจะได้รับโอกาสที่ได้มาแบบไหนก็ไม่รู้ นั่นคือจะได้เล่นเป็นตัวจริงเจอกับ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส โคตรทีมของประเทศ

6สุดท้าย อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กองหน้าโนเนมที่ไม่ใครรู้จัก ยิงแฮตทริคใส่เรนเจอร์ส และเป็นนักเตะคู่แข่งคนแรกที่ทำได้ใน ไอบร็อกซ์ สเตเดี้ยม ของเรนเจอร์ส

เกมนั้นคือเกมเปลี่ยนชีวิตของผู้ชายคนนี้ เขาโด่งดังไปทั่วประเทศ ได้เล่นฟุตบอลต่อไป และที่สำคัญที่สุดเขากลับมาคืนดีกับคุณพ่ออีกครั้ง

เซอร์ อเล็กซ์ ยืนยันว่านี่คือเหตุการณ์สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา เพราะถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้ ทุกเรื่องหลังจากนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้น


7. ใช้ความล้มเหลว เปลี่ยนให้เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของการเดินหน้า

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มีช่วงเวลาในการค้าแข้งที่ดี เขาร้อนแรงมากจนทีมรักในวัยเด็กของเขา อย่าง กลาสโกว์ เรนเจอร์ส มาเซ็นสัญญาเขาไปร่วมทีม

แต่มันมีปัญหามาตลอด เพราะภรรยาของเขา อย่าง เคธี่ นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิก ซึ่งเป็นของฝั่งทีมคู่ปรับของเรนเจอร์ส อย่าง กลาสโกว์ เซลติก

7แม้ว่าตัว เซอร์ อเล็กซ์ จะไม่ได้มีปัญหากับเรื่องนี้ (นับถือนิกายโปรแตสแตนท์) และเขาก็ไม่ได้คิดว่าความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่าง จะมากั้นขวางชีวิตคู่ของทั้งสองคน แต่คนอื่นไม่ได้คิดแบบนั้น

ทั้งผู้บริหาร, ผู้จัดการทีม และแฟนบอล ต่างไม่ชอบที่เฟอร์กูสันมีภรรยาที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายเดียวกับฝั่งของเซลติก ไม่ใช่โปรแตสแตนท์ของเรนเจอร์ส สุดท้ายมันกลายเป็นข้ออ้างสำคัญที่ทำให้เฟอร์กี้ต้องเป็นแพะรับบาปทุกครั้งที่ทีมแพ้ ก่อนจะถูกเขี่ยทิ้งออกจากทีมแบบไม่ไยดี ภายในระยะเวลาอันสั้น 

“ผมคิดว่ามันกลายเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้ผมอยากเป็นผู้จัดการทีม เพราะผมรู้ดีว่าผมทำได้ดีกว่านี้ เพราะผมเติบโตมาแบบนี้ คือห้ามยอมแพ้”

หาก เซอร์ อเล็กซ์ เป็นนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จในวันนั้น เขาอาจไม่มีแรงกระตุ้นให้มาทำงานเป็นผู้จัดการทีม แต่เพราะความล้มเหลว เขาจึงอยากประสบความสำเร็จในอีกเส้นทางหนึ่งที่เขาเชื่อว่าตัวเองทำได้ และเขาทำได้ดีจริงๆเสียด้วย


8. ฝันให้ไกล ไปให้ถึง

ตอนที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน รับงานเป็นผู้จัดการทีมของอเบอร์ดีน ในปี 1978 พวกเขาห่างไกลจากการเป็นทีมลุ้นแชมป์ แต่เมื่อเขามาถึง เขาสร้างมาตรฐานให้ทีมทันทีว่า จะต้องขึ้นไปแย่งแชมป์กับเซลติกและเรนเจอร์ส

ในสายตาของครอบครัวหรือนักเตะในทีม เซอร์ อเล็กซ์ คือคนที่บ้าไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง เขาเสียสละอะไรไปเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้เวลากับครอบครัว, การทะเลาะกับนักเตะในเกือบทุกวัน แต่ทั้งหมดก็เพื่อทำความฝันของเขาให้เป็นจริง คือเปลี่ยนอเบอร์ดีนเป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดในสกอตแลนด์

สำหรับ เซอร์ อเล็กซ์ ทุกอย่างเริ่มต้นจากผู้จัดการทีม หรือคนที่เป็นหัวหน้าเสมอ ถ้าผู้นำไม่สามารถสร้างมาตฐานให้กับทีมได้ ก็อย่าหวังที่ลูกทีมจะทำตาม 

8ที่น่าทึ่งคือผู้ชายคนนี้มองทุกสิ่งเป็นไปได้เสมอ และเขาทุ่มเทเพื่อมัน จนพาอเบอร์ดีนคว้าแชมป์ลีก 3 สมัย ใน 8 ฤดูกาล รวมถึงแชมป์ฟุตบอลถ้วยยุโรป อย่าง ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ ด้วยการชนะทั้ง บาเยิร์น มิวนิค และ เรอัล มาดริด ไปคว้าแชมป์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อมากๆ

เรื่องราวของ เซอร์ อเล็กซ์ กับอเบอร์ดีน คงได้รับการเล่าขานมากกว่านี้ หากว่าเขาไม่ได้ฝันไกลกว่าเดิม แต่มาถึงจุดหนึ่งผู้ชายคนนี้มีความฝันที่ใหญ่ขึ้นและอยากไปให้ถึง นั่นคือพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กำลังร่อแร่จะตกชั้นในฤดูกาล 1986-87 ให้กลับมาเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษให้ได้ และเรารู้กันดีว่า เขาทำได้สำเร็จ


9. ต่อสู้และยืนหยัดกับอุปสรรค

ผู้คนส่วนใหญ่หากพูดถึง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เรามักจดจำที่ความสำเร็จของเขา แต่ตลอดทั้งชีวิตของผู้ชายคนนี้เขาเจออุปสรรคและความล้มเหลวมากกว่าที่ใครจะคาดคิด

ในช่วง 3 ฤดูกาลแรกของเขากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือฝันร้ายบนดินของ เซอร์ อเล็กซ์ ผลงานของทีมไม่กระเตื้องไปไหน ห่างไกลจากการลุ้นแชมป์ ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับสิ่งที่เฟอร์กี้พูดตอนเข้ามารับงานว่าจะพาทีมกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

9เฟอร์กูสันยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า เขารู้อยู่แล้วว่า การปั้นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องใช้เวลา เพราะสภาพทีมของที่นี่ย่ำแย่เกินทนไหว แต่ที่นี่คือฟุตบอลอังกฤษ ทั้งแรงกดดัน และความต้องการของแฟนบอล เยอะกว่าที่สกอตแลนด์เป็นหลายเท่าตัว

เขาโดนต่อต้านเยอะมากเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจ แฟนบอลในสนามตะโกน “เฟอร์กี้ออกไป” เกือบทุกเกม นิตยสารแฟนบอลด่าเขาแทบทุกฉบับ และที่หนักที่สุดคือ มีโทรศัพท์โทรไปด่าเขาถึงบ้านอยู่ตลอดเวลา 

มันเหมือนนรกบนดินของครอบครัวเฟอร์กูสันในเวลานั้น ภรรยา และลูกของเขาไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ มีแต่เพียงคนบ้าชาวสกอตแลนด์ที่ยังเชื่อสุดในว่า เขาจะไม่ยอมแพ้ และเลือกเดินถอยหลัง เพราะเขาประสบความสำเร็จได้ที่นี่

หากวันนั้นเฟอร์กูสันยอมแพ้ ก็คงไม่มีการคืนชีพของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่เพราะความใจสู้ และเชื่อมั่นในตัวเองที่เปลี่ยนโลกฟุตบอลไปตลอดกาล


10. เชื่อมั่นในแผนการและเดินหน้าไปกับมัน

แค่ความมั่นใจอย่างเดียว ไม่พอจะทำให้มนุษย์ประสบความสำเร็จ เพราะมันต้องมาคู่กับแผนการที่ยอดเยี่ยม มีการวางแผนมาอย่างดี และเชื่อมั่นว่ามันจะออกผลลัพธ์ในแบบที่ต้องการ

สิ่งแรกที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำ หลังจากเข้ามาคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือยกระดับเยาวชน เขาสั่งให้เพิ่มแมวมองของสโมสรเพื่อที่จะได้เด็กฝีเท้าดีเข้าสู่ทีมให้ได้มากที่สุด และสร้างผู้เล่นเหล่านั้นให้เป็นอนาคตของสโมสร

สำหรับเฟอร์กี้มีทางเดียวที่จะเปลี่ยนทีมไร้อนาคตให้กลายเป็นโคตรทีมแห่งยุคสมัย คือต้องสร้างอนาคตขึ้นมาเอง ยอมเสียเวลาลงทุนกับระบบเยาวชน และเมื่อมันออกดอกออกผล มันจะยิ่งกว่าคุ้มค่า

10สิ่งสำคัญคือไม่ว่าจะเจอผลงานที่ย่ำแย่ หรือช่วงเวลาที่ยากลำบากขนาดไหน เซอร์ อเล็กซ์ ไม่เคยยอมแพ้กับแนวทางนี้ เขาเชื่อว่าการปั้นเยาวชนคือทางที่ใช่ของแมนฯ ยูไนเต็ด เสมอ แม้ว่ามันเกือบจะทำให้เขาโดนไล่ออกก่อนที่จะได้เห็นมันเป็นจริง

แต่สุดท้าย เมื่อลูกศิษย์ของเขา อย่าง ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์, เดวิด เบ็คแฮม, นิคกี้ บัตต์, แกรี่ เนวิลล์, ฟิล เนวิลล์ ได้ก้าวขึ้นมา เขารู้ทันทีว่า ไม่มีอะไรจะหยุดทัพปีศาจแดงได้อีกต่อไป

เพราะเด็กเหล่านี้ มีคุณสมบัติที่เฟอร์กี้ต้องการมากที่สุด นั่นคือมีความจงรักภักดีกับสโมสร และต้องการความสำเร็จไปพร้อมกับทีม ซึ่งก็ได้พิสูจน์ให้เห็นในปัจจุบันแล้วว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน คุณไม่สามารถลบความรักที่มีต่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกไปจากเด็กปั้นสโมสรเหล่านี้ได้เลย


11. ผู้จัดการที่ดีต้องมองฟุตบอลไม่ใช่แค่เรื่องของฟุตบอล

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นผู้จัดการทีมอารมณ์ร้าย พร้อมด่ากราดลูกทีมไม่ไว้หน้า หากผลงานไม่ถูกใจเขา ซึ่งเขาก็ยอมรับในเรื่องนี้ ไม่เคยปฏิเสธว่าไม่เคยทำ และเชื่อว่าในสิ่งที่เขาทำส่งผลดีให้กับทีม

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะทะเลาะกับนักฟุตบอลเป็นประจำ แต่ทั้งที่ เซอร์ อเล็กซ์ เป็นผู้จัดการทีมที่ใจร้ายขนาดนั้น แต่ทำไมลูกทีมของเขาถึงยังรัก และเล่นฟุตบอลแบบถวายหัวให้ผู้ชายคนนี้?

11เพราะความสัมพันธ์ระหว่าง เซอร์ อเล็กซ์ กับลูกทีมทุกคนเป็นมากกว่าแค่เรื่องฟุตบอลเสมอ เขาไม่เคยดูแค่ว่าลูกทีมซ้อมบอลดีหรือไม่ แต่เขาสังเกตตลอดว่าในสนามซ้อม ลูกทีมแต่ละคนมีปฏิกริยาอย่างไร และเมื่อเห็นความผิดปกติ เขาจะเข้าไปพูดคุยกับผู้เล่นแต่ละคนเสมอ

เฟอร์กี้เปิดประตูกว้างให้ลูกทีมเข้ามาปรึกษาปัญหาชีวิต และพร้อมยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือทุกสิ่งที่เขาทำได้ ความสัมพันธ์ของ เซอร์ อเล็กซ์ กับนักเตะภายในทีมจึงไม่ได้เป็นเจ้านายกับลูกน้องเพียงอย่างเดียว (ซึ่งเฟอร์กี้ยืนยันว่า เขาคือหัวหน้าแค่คนเดียวของทีม คนอื่นไม่มีทางจะมามีอำนาจเหนือตัวเขา) แต่ยังเป็นเพื่อนที่ปรึกษาสำหรับบางคน บางคนก็เป็นเหมือนพี่ที่คอยช่วยเหลือ หรือเป็นพ่อที่คอยเลี้ยงดูมาด้วยซ้ำไป

ความสัมพันธ์ที่เป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงาน ทำให้นักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด โกรธเขาไม่ลง ต่อให้ถูกด่าหนักก็ตาม เพราะสุดท้ายทุกคนก็รู้ว่า ผู้จัดการทีมคนนี้หวังดีกับนักเตะทุกคนเสมอ 

12“เขารู้ตลอดว่าผมต้องการอะไรในเรื่องของจิตใจ เขาคือสุดยอดผู้จัดการทีม” เอริค คันโตน่า กล่าวถึง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

“เขาทำให้ผมรู้ว่า การที่เขาให้อิสระมากมายแก่ผม มันคือสิทธิพิเศษขนาดไหน และผมต้องทำอะไรบ้างเพื่อจะคู่ควรกับมัน นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ผมทำงานหนัก ผมพร้อมทำทุกอย่าง ผมพร้อมจะตายเพื่อเขา” คันโตน่า กล่าว


12. Class of ’92 คือ (กลุ่ม) นักฟุตบอลที่เซอร์ อเล็กซ์ ภูมิใจมากที่สุด

สำหรับแฟนบอลของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ต้องปฏิเสธเลยว่า กลุ่มนักฟุตบอล Class of ’92 มีความสำคัญมากขนาดไหน เพราะนี่คือเด็กปั้นที่เป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของสโมสรในฟุตบอลยุคใหม่ 

แต่กับ เซอร์ อเล็กซ์ นักฟุตบอลเหล่านี้มีความหมายมากกว่านั้น เพราะเด็กๆเหล่านี้คือกลุ่มคนที่เขาใส่ทุกสิ่งทุกอย่างลงไปในแบบที่ตัวเขาอยากให้นักฟุตบอลเป็น และทั้ง 6 คนสามารถทำได้ นั่นคือต่อสู้กับอุปสรรค และไม่เคยคิดจะยอมแพ้

13“เบ็คแฮม, กิ๊กส์, สโคลส์, บัตต์, พี่น้องเนวิลล์ พวกเขาถูกฝึกสอนด้วยทัศนคติที่มาจากตัวผม จากที่ที่ผมเติบโตมา นั่นคือเราต้องต่อสู้เพื่อตัวเอง ต่อสู้เพื่อทีม สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในตัวผมมาตลอด และผมอยากเห็นตัวตนของผม ในทีมของผม เพื่อเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของการเสียสละ และความมุ่งมั่น ส่งความรู้สึกของชนชั้นแรงงานไปสู่ผู้คน” เฟอร์กี้ กล่าว

สำหรับเขาแล้ว หากไม่มีเด็กๆเหล่านี้ที่ได้คาแรคเตอร์ทุกอย่างไปจากตัวเขา จนกลายเป็นสุดยอดนักเตะที่ไม่ได้มีดีแค่ฝีเท้า แต่จิตใจของนักสู้ไม่มีวันยอมแพ้ เขาคงไม่ได้แชมป์หลายถ้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 1999


13. เซอร์ อเล็กซ์ ยอมแพ้ไปแล้ว ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 1999
 

ยอดผู้จัดการทีมชาวสกอตต์ขึ้นชื่อเรื่องการไม่ยอมแพ้ และไม่พอใจกับความพ่ายแพ้เสมอ แต่ไม่ใช่ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 1999 ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด พบกับ บาเยิร์น มิวนิค

14เฟอร์กี้ยอมรับว่าเขายอมแพ้ไปแล้ว หลังจากเห็นว่าผู้ตัดสินที่สี่ ยกป้ายทดเวลาบาดเจ็บขึ้นมา ด้วยสกอร์ที่ตามหลังอยู่ 0-1 และเขาเลือกยอมรับแต่โดยดีว่า วันนี้ทีมของเขาดีไม่พอที่จะชนะ

“ผมคิดอยู่นานว่าจะพูดอะไรกับลูกทีม และสิ่งเดียวที่ผมพูดได้คือพวกเขาทำได้ยอดเยี่ยมมาก พวกเขาเล่นได้มหัศจรรย์ตลอดทั้งฤดูกาล และผมภูมิใจในตัวพวกเขามากจริงๆ แค่วันนี้มันไม่ใช่วันของเรา” เซอร์ อเล็กซ์ กล่าวรำลึกความหลังว่า เขาจะทำอย่างไร หากเกมในวันนั้นจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


14. ความสำเร็จในปี 1999 คือจุดสูงสุดของ เซอร์ อเล็กซ์ และเป็นมาตรฐานของทีมตลอดยุคสมัยของเขา

แม้ว่า เซอร์ อเล็กซ์ จะคิดยอมแพ้ในหัวของเขาไปแล้ว เพียงแต่แค่ไม่กี่วินาทีถัดมา เท็ดดี้ เชอริงแฮม ส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายให้ทีมปีศาจแดงยิงประตูตีเสมอ พาพวกเขากลับมาอย่างเหลือเชื่อ

และที่เหลือคือประวัติศาสตร์..

15“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของผม นี่คือทีมที่ดีที่สุดของผม ถ้ามองย้อนกลับไป (ความสำเร็จในปี 1999) มันคือจิตวิญญาณของสโมสร และมันอยู่ตรงนั้นมาตลอด จนกระทั่งผมได้ก้าวเดินออกมา”

“ทุกอย่างมันเริ่มต้นในคืนนั้น เพราะว่านักเตะของผมไม่เคยยอมแพ้ มันคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ผมเคยทำมา” เฟอร์กี้ กล่าว 

สำหรับโค้ชชาวสกอตแลนด์ เขาสร้างทีมทุกอย่างหลังจากนั้น ด้วยการหวังเดินตามรอยความสำเร็จในปี 1999 และมันคือสูตรสำเร็จของเขา ทีมยุคหลังๆของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างเดินตามแบบแผนของทีมชุดนี้ ซึ่งสามารถคว้าถ้วยแชมป์ได้อย่างต่อเนื่อง

จะเห็นได้ว่าตลอดยุคสมัยของ เซอร์ อเล็กซ์ เขาขาดนักเตะจากยุค Class of ’92 ไม่ได้เลย เพราะคนเหล่านี้คือมาตรฐานของแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ปี 1999 และยังคงเป็นหัวใจที่จะทำให้สโมสรแห่งนี้ไม่เคยลืมสิ่งที่จะทำให้ทีมประสบความสำเร็จตลอดยุคสมัยของผู้จัดการทีมรายนี้