sportpooltoday

เราหมดศรัทธา : ทำไม “เนย์มาร์” จึงโดนคนบราซิลชิงชังแม้เคยรักสุดหัวใจ?


เราหมดศรัทธา : ทำไม "เนย์มาร์" จึงโดนคนบราซิลชิงชังแม้เคยรักสุดหัวใจ?

เป็นเรื่องปกติที่นักเตะที่ดีที่สุดในประเทศย่อมเป็นที่รักจากแฟนบอลของพวกเขา ซึ่งของแบบนี้ เนย์มาร์ จูเนียร์ ก็เคยได้รับสิ่งนั้นจากชาวบราซิลทั้งประเทศ

ทว่าหลังจากฟุตบอลโลก 2014 จบลง เนย์มาร์ ที่เป็นดั่งพระเจ้าของพวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป จากคนที่แม้แต่สื่อก็แตะต้องไม่ได้ กลายเป็นคนที่โดนวิจารณ์ไม่เว้นแต่ละวัน 

นี่คือเรื่องราวของ เนย์มาร์ และอดีตแฟนคลับที่เริ่มเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขา ซึ่งมันกำลังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆในเวลานี้

ติดตามได้ที่ Main Stand

รักนักเตะเหมือนพระเจ้า 

คนบราซิลบ้าฟุตบอลแค่ไหน ทุกคนรู้ นี่คือประเทศที่มีฟุตบอลเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ชาติ เรียกได้ว่าฟุตบอลเคยเป็นกาวที่ยึดเหนี่ยวผู้คนประเทศนี้เข้าไว้ด้วยกัน โดยมีคำกล่าวว่า “ที่บราซิล ฟุตบอล คือศาสนาที่สอง” 

ฟุตบอลเคยยึดเหนี่ยวผู้คนในประเทศนี้ไว้ได้จริงๆ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่เริ่มมีการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลในเมืองใหญ่ เช่น ริโอ เดอ จาเนโร หรือ เซา เปาโล การมีสโมสรฟุตบอลที่มากขึ้นทำให้เกิดการปะทะกันของแฟนบอลสองฝั่ง เนื่องจากมีการแบ่งชนชั้นด้วยฟุตบอล เช่น ฟลาเมงโก้ ทีมจากริโอ เป็นตัวแทนของคนจนและเหล่าคนใช้แรงงาน (อันที่จริงสโมสรนี้ก่อตั้งโดยกลุ่มชนชั้นสูง แต่มีการปรับภาพลักษณ์ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลกในยุค 1930s ให้เข้าถึงชนชั้นแรงงานมากขึ้น ด้วยการนำนักเตะผิวดำเข้าสู่ทีม) ขณะที่ ฟลูมิเนนเซ่ คือตัวแทนของกลุ่มนายทุนและชนชั้นกลางค่อนบน เป็นต้น 

1ขิงก็ราข่าก็แรง ปะทะกันไปมา แต่สุดท้ายเหตุการณ์มาหยุดเอาง่ายๆ และทำให้ทั้งสองฝั่งกลายเป็นทีมเดียวกันได้ก็เพราะฟุตบอลเช่นกัน เหตุการณ์เกิดขึ้นในฟุตบอลโลกปี 1950 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพครั้งแรก โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นมีการสงบศึกและถอดหัวโขน เปลี่ยนจากเสื้อสโมสรมาเป็นชุดสีเหลืองของทีมชาติบราซิล ทุกคนมีเป้าหมายเดียว นั่นคือร่วมกันเชียร์ประเทศของพวกเขาให้เป็นแชมป์ ภาพสะท้อนความเป็นหนึ่งเดียวคือเกมนัดตัดสินแชมป์กับ อุรุกวัย ที่สนามมาราคาน่า ในวันนั้นมีแฟนบอลเข้าไปชมในสนามมากกว่า 170,000 คนเลยทีเดียว 

และหลังจากฟุตบอลโลกครั้งนั้นไม่นาน ชาวบราซิลก็ได้พบกับ 1 ในนักเตะที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขาอย่าง เปเล่ ซึ่ง เปเล่ เองนี่แหละที่ยกระดับคำว่า นักฟุตบอล ไปอีกขั้น เปเล่ เหมือนกับพระเจ้าผู้บันดาลแชมป์โลกให้บราซิล ความมหัศจรรย์ของเขาทำให้บราซิลเป็นชาติฟุตบอลอันดับ 1 ของโลกเป็นสิบๆปี

นักเตะปรากฏการณ์อย่างเปเล่ ทำให้ชาวบราซิลเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้เขาจะเล่นให้ซานโตส แต่ความเก่งของเปเล่ ณ เวลานั้นก็เหมือนตัวแทนความเก่งกาจของฟุตบอลบราซิล โดยสื่ออย่าง FourFourTwo เคยอ้างว่า ซานโตส ยุคเปเล่เก่งขนาดพิชิตทุกแชมป์ในทวีปอเมริกาใต้ จนถึงขั้นมีการส่งสาส์นท้ารบไปยังทีมที่เก่งที่สุดในทวีปยุโรป ณ เวลานั้นอย่าง เรอัล มาดริด มาแล้ว เพียงแต่ว่ามาดริดที่ถือไพ่เหนือกว่าทั้งเรื่องชื่อเสียง ดีกรี และการตลาด กลับไม่รับคำท้านั้น 

เรื่องดังกล่าวจะจริงหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น เพราะอย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นว่าคนบราซิลรักพระเจ้าในโลกฟุตบอลพวกเขาแค่ไหน จาก เปเล่ ถึง ซิโก้, โรนัลโด้ และ โรนัลดินโญ่ รายชื่อเหล่านี้ล้วนได้รับการลุกขึ้นยืนสรรเสริญโดยแฟนบราซิลทั้งสิ้น จนกระทั่งมาถึงพระเจ้าคนล่าสุดของพวกเขาอย่าง “เนย์มาร์ จูเนียร์”

2ในช่วงแรกๆ คนบราซิลนั้นรักเนย์มาร์แบบสุดหัวใจเช่นกัน นักเตะจากซานโตส อดีตทีมของ เปเล่ มีลีลาการเล่นที่เต็มไปด้วยจินตนาการและความสร้างสรรค์แบบบราซิเลียนแท้ๆเหมือนกับโรนัลดินโญ่ และเป็นกองหน้าที่ยิงระเบิดเถิดเทิงเหมือนกับ โรนัลโด้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ทุกคนจะไม่ฝากความหวังไว้ที่เขา

เนย์มาร์ ลงเล่นให้ทีมชาตินัดแรกในเกมกับ สหรัฐอเมริกา หลังจบฟุตบอลโลก 2010 และยิงประตูได้ในทันที เช่นเดียวกับอีกไม่กี่นัดถัดมาที่เจ้าตัวซัด 2 ประตูในการพบ สกอตแลนด์ ที่ เอมิเรตส์ สเตเดียม กรุงลอนดอน แต่สิ่งที่เนย์มาร์แสดงออกในเกมนั้นมันเหนือกว่าการยิงได้ มันคือการยกมือขึ้นกระตุ้นขอเสียงเชียร์จากแฟนๆ การชี้นิ้วสั่งและขอบอลจากรุ่นพี่ และทุกครั้งที่เขาได้บอล มันอันตรายทุกจังหวะและไม่มีทำเสียของ

ทุกคนที่ดูเกมนั้นเข้าใจได้ทันทีว่า เนย์มาร์ จะก้าวเข้ามาเป็นพระเจ้าคนใหม่ของพวกเขา นักเตะที่ดีที่สุดในประเทศบราซิลแห่งยุค 2010s ได้ถือกำเนิดและพร้อมท้าชิงตำแหน่งนักเตะที่ดีที่สุดในโลก ในช่วงเวลาที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ ลิโอเนล เมสซี่ กำลังขับเคี่ยวกันแบบเกมต่อเกม 

“ในเกมนั้น แฟนบอลสกอตแลนด์ทำเหมือนกับนักเตะวัย 18 ปีอย่าง เนย์มาร์ เป็นซูเปอร์สตาร์ของโลก พวกเขาโห่ทุกจังหวะที่เนย์มาร์เล่นงานนักเตะของพวกเขา ยิ่งมากเข้าเนย์มาร์ถึงกับโดนเหยียดเชื้อชาติจากแฟนบอลตาร์ตัน จนสมาคมฟุตบอลสกอตแลนด์ต้องส่งจดหมายมาขอโทษเนย์มาร์กับสิ่งที่เกิดขึ้น” แอนดี้ แคมป์เบลล์ จาก BBC ที่อยู่ในสนามวันนั้น กล่าว 

3ขณะที่ Eurosport ก็บรรยายหลังเกมถึงเนย์มาร์ว่า “กองหน้าจากซานโตสคนนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าทำไมเขาจึงเกี่ยวพันกับสโมสรชั้นนำของยุโรป เกมนี้เขาพาลูกทีมของ เคร็ก เลวีน (โค้ชสกอตแลนด์) วิ่งชนกันหัวหมุนตลอดทั้งเกม”

ตัดภาพไปข้างหน้า ในอีก 4 ปีให้หลัง เนย์มาร์ ไม่เคยมาตรฐานตก ไม่ได้ผ่านมาแล้วผ่านไปเหมือนกับดาวรุ่งบราซิลอย่าง โรบินโญ่ และคนอื่นๆ เขาย้ายไป บาร์เซโลน่า ในปี 2013 และไม่มีอาการแกว่งแม้จะเจอกับเกมระดับสูง เหนือสิ่งอื่นใดคือ เขากลายเป็นตัวความหวังและขึ้นชั้นเป็นหนึ่งในซีเนียร์ของทีมชาติบราซิล ก่อนที่ฟุตบอลโลก 2014 จะเริ่มขึ้นด้วยซ้ำ

ใครๆก็รักเนย์มาร์

ฟุตบอลโลก 2014 คือฟุตบอลโลกที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ ไม่แปลกที่ทุกคนจะตั้งความหวัง และคนที่ต้องแบกความหวังนั้นมากที่สุดก็ไม่ใช่ใคร นักเตะเบอร์ 1 ในประเทศอย่างเนย์มาร์นั่นเอง 

แฟนบอล เพื่อนนักเตะ ต่างออกมาชื่นชมความยอดเยี่ยมของเขาและยกย่องความสามารถที่เขามี ขณะที่ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ กุนซือของทีมชุดนั้นก็ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า “เนย์มาร์จะเป็นความหวังสูงสุดของพวกเรา” นั่นหมายความว่าเนย์มาร์กำลังแบกความกดดันของคนทั้งประเทศอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งๆที่เขาอายุแค่ 23 ปีเท่านั้น 

4ก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่ม เปเล่ ที่เคยผ่านสถานการณ์ดังกล่าวพูดถึงเนย์มาร์ว่า แม้เจ้าตัวจะโตเกินอายุ แต่ความคาดหวังระดับทั้งประเทศแบบนี้มันหนักหนาว่าที่ใครๆคิด และการให้เขามีสถานะเป็น “คนแบกทีม” คือสิ่งที่อันตรายสำหรับทีมชาติบราซิล

เนย์มาร์ เริ่มฟุตบอลโลก 2014 ได้อย่างเร่าร้อน ยิง 4 ประตูจาก 3 เกมแรก พาบราซิลทะลุเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในเกมนั้น บราซิล เจอกับ โคลอมเบีย และเอาชนะไปได้ 2-1 แต่ข่าวร้ายคือ เนย์มาร์มีอาการบาดเจ็บที่หลังจากการที่ ฮวน ซูนิก้า แทคเกิลหนักใส่ที่บริเวณกระดูกสันหลัง จนเขาต้องรูดม่านทัวร์นาเมนต์ 

เท้าความกันสักเล็กน้อย เนย์มาร์ในปี 2014 นั้นคือเนย์มาร์ที่ปราดเปรียว เฉียบขาด สร้างสรรค์ และยังเป็นคนที่เล่นเพื่อผลประโยชน์ของทีมมากกว่าเนย์มาร์ในปัจจุบัน เขาเป็นที่รักของชาวบราซิล เป็นนักเตะที่สโคลารี่พยายามจะใช้อย่างทะนุถนอมที่สุดตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ ขณะที่เพื่อนๆในทีมชาติบราซิลชุดนั้นเรียกว่าสู้ตายถวายหัวเพื่อปกป้องเนย์มาร์ก็คงไม่ผิดหนัก พวกเขาจะเป็นคนคอยทำงานสกปรกทั้งหมด ปล่อยให้เนย์มาร์ทำในสิ่งที่เขาถนัดที่สุด นั่นคือการสร้างเกมรุกและยิงประตู  

5แต่อย่างที่หลายคนรู้กัน ในเกมรอบตัดเชือก เนย์มาร์ลงไม่ได้ และ บราซิล แพ้ เยอรมนี ไป 1-7 ความพ่ายแพ้ยับเยินนำมาซึ่งข้ออ้างที่บอกว่า “เพราะบราซิลไม่มีเนย์มาร์” และหลังจากจบทัวร์นาเมนต์นั้น แม้บราซิลจะไมได้แชมป์โลก แต่เนย์มาร์ก็เปลี่ยนสถานะของตัวเองไปเรียบร้อย เขาคือนักเตะที่มีสื่อในประเทศและแฟนบอลหนุนหลังเปรียบเหมือนสมบัติของชาติ ซึ่งจะใช้คำว่า “โดนสปอยล์” ก็คงจะไม่ผิดเท่าไรนัก

ยิ่งสูงยิ่งหนาว

เมื่อกลายเป็นเทพเจ้าของชาวบราซิล เนย์มาร์มีคอนเน็กชั่นมากมายเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือสื่อที่ชื่อว่า Globo สำนักข่าวใหญ่ที่สุดในประเทศที่มีผู้ติดตามมากกว่า 100 ล้านคน โดยมีการเปิดเผยกันว่าเนย์มาร์มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกับทาง Globo ด้วย ดังนั้น หากเนย์มาร์จะออกรายการสัมภาษณ์ในประเทศ ต้องเป็นสื่อ Globo เท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการสัมภาษณ์นั้น 

6หลังจบเกมแพ้เยอรมนี 1-7 ไม่กี่วัน Globo ก็ขอคิวตั้งโต๊ะสัมภาษณ์เนย์มาร์ โดยมีการจัดแจงวันเวลาเรียบร้อย และด้วยความที่เป็นสตาร์ บางครั้งมันก็ต้องมีคำขอพิเศษ

คำขอนั้นมาจาก เนย์มาร์ ซีเนียร์ พ่อของนักเตะคนดัง ที่ทำหน้าที่เหมือนเอเยนต์ส่วนตัวด้วย โดยเขาส่งอีเมลเน้นย้ำว่า “ห้ามถามเกี่ยวกับเรื่องเกมแพ้เยอรมนีที่ลูกของเขาไม่ได้ลงเล่น” 

อย่างไรก็ตาม ทาง Globo ไม่ได้ตอบอีเมลนั้นกลับ สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างทั้งสองฝ่าย และ Globo เองก็มีสัญญาว่าจ้างเนย์มาร์อยู่ด้วย และเมื่อถึงวันสัมภาษณ์จริง พวกเขาก็ถามเนย์มาร์เรื่องเกมๆนั้น (เรื่องราวดังกล่าวถ่ายทอดผ่าน FourFourTwo) ซึ่งทำให้เนย์มาร์รู้สึกว่าตัวเองถูกหักหลัง ขณะที่พ่อของเขาก็เล่นใหญ่ประณาม Globo ว่าพยายามทำลายลูกชายของเขา สิ่งที่ชาวบราซิลเริ่มเอะใจในตอนนั้นคือ ทั้งๆที่ทุกคนสนับสนุนเขา แต่การพูดถึงสิ่งที่คนอยากฟังมากที่สุดทำไมจึงพูดไม่ได้? 

เนย์มาร์ ไม่ได้ยินดียินร้ายกับเรื่องนั้น เขาลอยตัวเหนือดราม่า ขณะเดียวกันก็เริ่มเกิดกระแส “เนย์มาร์ไม่เหมือนเดิม” ในหมู่แฟนบอลบราซิลบางกลุ่ม ซึ่งเรื่องเล็กๆแค่นี้นี่แหละที่ลุกลามขึ้นในเวลาต่อมา และคนที่เติมเชื้อไฟนั้นก็คือเนย์มาร์เอง

7หลังฟุตบอลโลก 2014 เนย์มาร์เข้าขั้นคำว่าเทพเลยก็ว่าได้ ด้วยการเล่นร่วมกับ เมสซี่ และ หลุยส์ ซัวเรซ ที่บาร์เซโลน่า สโมสรกวาดทุกถ้วยที่ลงแข่งขัน และว่ากันว่าตอนนั้นเนย์มาร์จะเป็นเบอร์ 1 ของโลกในวันที่เมสซี่และโรนัลโด้ชราลง 

ความเทพแบบที่ยอมรับกันทั้งโลกทำให้เนย์มาร์เริ่มเปลี่ยนไป สิ่งที่เห็นชัดที่สุดคือเมื่ออยู่ในสนาม เขาเริ่มเห็นตัวเองมาก่อนทีมแล้ว ซึ่งทัศนคติแบบนี้ในปี 2014 มีให้เห็นน้อยกว่านี้มาก 

“เนย์มาร์ควบคุมตัวเองไม่ได้เลยเวลาเล่นให้ทีมชาติ ในทัวร์นาเมนต์โอลิมปิก 2016 เขาคือนักเตะที่ดังที่สุดและเขารู้ดีว่าทั้งโลกจับตามอง เขาแสดงกิริยาออกมามากมายโดยเฉพาะการแสดงความโกรธใส่ทั้งกรรมการและเพื่อนร่วมทีม” ทอสเทา อดีตนักเตะดีกรีแชมป์โลกทีมชาติบราซิล ปี 1970 เล่าถึงเนย์มาร์ที่เปลี่ยนไป 

ขณะที่ Juca Kfouri นักเขียนระดับ บก. ของสื่อท้องถิ่นในซานโตส ที่เห็นเนย์มาร์มาตั้งแต่ยังเด็กก็พูดไม่ต่างกัน โดยเขาบอกว่าเนย์มาร์ยังต้องตามหาฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองกลับคืนมา และเรื่องนอกสนามก็เปลี่ยนเขาไปไม่น้อย

8“เนย์มาร์เป็นคนที่มีความสามารถที่สุดในโลก ไม่ต้องสงสัยเลย แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็เป็นเหมือนนกน้อยในกรงทอง มีทุกคนคอยหนุนหลัง มีเพื่อนร่วมทีมคอยปกป้องเขาอย่างกล้าหาญ และเขาก็พึ่งพาเพื่อนร่วมทีมมากขึ้นเรื่อยๆ เขากำลังมีชีวิตที่หรูหราสุขสบายกับ เนย์มาร์ ซีเนียร์ พ่อของเขา เขายังคงเป็นปีเตอร์แพน ซินโดรม (เด็กไม่ยอมโต)” 

หากมองไปที่เนย์มาร์ตอนนี้ หลายคนก็พอจะนึกภาพออก โดยเฉพาะในช่วงหลังย้ายออกจากบาร์เซโลน่าและได้รับการประคบประหงมจาก เปแอสเช ที่เขาได้สิทธิพิเศษมากมาย นั่นยิ่งทำให้ภาพของเนย์มาร์ที่มีต่อชาวบราซิลยิ่งเปลี่ยนไป เขายังไปไม่ถึงขั้นของ เปเล่, โรนัลโด้ หรือ โรนัลดินโญ่ ที่เป็นตำนานขวัญใจมหาชนได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

แม้จะยิ่งโดนวิจารณ์ แต่เนย์มาร์ก็ยิ่งชอบประชดประชันเพื่อเอาชนะเสียงวิจารณ์พวกนั้น นับวันเขายิ่งออกอาการเล่นยาก บางจังหวะหลอกคู่แข่งได้แล้วยังต้องวนกลับมาหลอกใหม่อีกครั้ง ซึ่งนั่นเป็นจังหวะที่ไม่จำเป็นและช้าเกินไปสำหรับฟุตบอลสมัยใหม่ แต่สำหรับทีมชาติบราซิล เขายังคงเป็นนัมเบอร์วัน แม้จะเปลี่ยนโค้ชกี่คน แต่เนย์มาร์ก็ได้รับการหนุนหลังอย่างไร้ข้อสงสัยเสมอมา โดยเฉพาะในช่วงฟุตบอลโลก 2018 ที่เขาโดนวิจารณ์เรื่องการพยายามพุ่งล้ม เขาก็ยิ่งทำมันให้กลายเป็นไวรัล ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้ 

9“ติเต้ ต้องหนักแน่นและตรงไปตรงมากับเนย์มาร์มากกว่านี้ สิ่งที่เฮดโค้ชทำคือ การบอกเขา เรียกร้องให้เขาหยุดเล่นด้วยความโมโห หยุดการบ่นเพื่อนร่วมทีม การโต้เถียงผู้ตัดสิน และการพุ่งล้ม เหมือนกับที่เขาทำในเกมกับคอสตาริกา” ทอสเทา พูดถึงเนย์มาร์ในช่วงฟุตบอลโลก 2018 

“เรื่องทั้งหมดมันวุ่นวายไปหมด พฤติกรรมนอกสนามแบบวิถีคนดังของเขากำลังสร้างปัญหาให้กับตัวเขาเอง จริงๆไม่มีใครว่าใครได้หรอกนะเรื่องไลฟ์สไตล์หากเขายังคงเป็นเนย์มาร์คนเดิมได้ยามลงสนาม เขาควรโฟกัสเกมของเขาเป็นอันดับแรก เพราะเขาคือนักเตะอาชีพ และนั่นสำคัญที่สุด” 

ฟุตบอลโลก 2018 คือปรากฏการณ์ที่ชาวบราซิลมองเนย์มาร์ใหม่อย่างแท้จริง การพยายามเป็นสตาร์และใหญ่คับทีมของเขาสร้างความไม่พอใจให้กับหลายๆคน เขาไม่สนใจแทคติกของติเต้ และทำให้ทีมเสียจังหวะการเล่น และมักจะมีอารมณ์ต่อว่าเพื่อนร่วมทีมที่ส่วนใหญ่เป็นรุ่นน้องของเขาอยู่ประจำ 

ขณะที่กูรูฟุตบอลชาวบราซิลก็เบื่อหน่ายเนย์มาร์เต็มทน ในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้ายกับ เซอร์เบีย นักวิจารณ์ของช่อง Globo ที่ชื่อว่า “บวยโน่” (Bueno) แสดงอารมณ์อย่างชัดเจน เขาไม่เอ่ยชื่อเนย์มาร์เลยตลอดการวิจารณ์และบอกว่า ฟิลิเป้ คูตินโญ่ ต่างหากคือนักเตะที่ดีที่สุดในทีมชุดนั้น 

เนย์มาร์สวนกลับทุกอย่างแบบตรงไปตรงมา เมื่อทุกคนขว้างก้อนหินมาเขาก็ขว้างก้อนหินกลับ ยิ่งเจอคำวิจารณ์เขาก็ยิงทำตัวต่อต้าน หลังเกมกับคอสตาริกามีสื่อกว่า 400 ชีวิตมารอสัมภาษณ์เขา เนย์มาร์ก็เดินผ่านทุกคนแล้วพูดสั้นๆว่า “ไว้ก่อน ไม่ใช่วันนี้” 

10เรื่องหลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่ทุกคนได้ติดตามข่าวสารกันทุกวันนี้ เนย์มาร์เก่งแค่ไหนทุกคนรู้ แต่เขาไม่สามารถพาตัวเองไปอยู่ในระดับ โรนัลโด้ และ เมสซี่ ได้เลย แม้กระทั่งในทีมชาติบราซิล นับวันเขาก็ยิ่งห่างไกลจากการแบกทีมเหมือนกับที่ เปเล่, โรนัลโด้ และ โรนัลดินโญ่ เป็น 

การปฏิบัติตัวนอกสนามที่ใช้ชีวิตเยี่ยงสตาร์ฮอลลีวูด สนใจเรื่องฟุตบอลน้อยลง และเริ่มปฏิบัติต่อแฟนบอลแบบไม่ให้เกียรติ คือสาเหตุหลักที่ทำให้ชาวบราซิลเริ่มหมดศรัทธาในหมายเลข 10 คนปัจจุบันของพวกเขา ชาวบราซิลไม่ได้โดนหลอกและไม่ได้ใจโลเลกลับกลอกแต่อย่างใด

เรื่องราวของเนย์มาร์นั้นง่ายนิดเดียว นั่นคือพวกเขาเป็นประเทศที่บ้าฟุตบอลจริง และนักฟุตบอลที่เก่งกาจสร้างความสำเร็จให้กับทีมชาติ ไม่ว่าจะคุณจะมีไลฟ์สไตล์แบบไหนพวกเขาก็ไม่สนใจ ทั้ง โรนัลโด้ และ โรนัลดินโญ่ เองก็เป็นขาปาร์ตี้สำมะเลเทเมาไม่แพ้กัน แต่เมื่อถึงเวลาต้องเอาพวกเขาก็ใส่เต็มสูบในสนามชนิดที่ว่าไม่มีใครจับได้ ซึ่งเนย์มาร์ไม่เคยทำได้ใกล้เคียงเลยนับตั้งแต่ปี 2014 ในมุมมองของชาวบราซิล พวกเขาร้างราแชมป์โลกมา 20 ปีแล้ว บราซิลแทบไม่เคยต้องรอแชมป์โลกนานขนาดนี้มาก่อน (นานสุดคือ 24 ปี จากปี 1970 ถึง 1994) พวกเขามีสตาร์ผลัดกันขึ้นมาพาทีมคว้าแชมป์โลกได้ถึง 5 สมัย และนี่คือสิ่งที่บราซิลยุคเนย์มาร์ยังทำไม่ได้ 

11หากฟุตบอลโลก 2022 ยังคงจบลงด้วยทัศนคติและผลงานแบบเดิมๆ ยุคสมัยของ เนย์มาร์ ตำแหน่งเบอร์ 1 ทีมชาติบราซิลอาจจะต้องเปลี่ยนมือ และต้องหาคนมารับแรงกดดันคนใหม่แทนที่อดีตพระเจ้าอย่างเนย์มาร์แล้วก็เป็นได้