sportpooltoday

เปิดโลกเศรษฐีซื้อทีมบอล : 8 เหตุการณ์ที่จำได้ไม่ลืมของเชลซีในยุค โรมัน อบราโมวิช


เปิดโลกเศรษฐีซื้อทีมบอล : 8 เหตุการณ์ที่จำได้ไม่ลืมของเชลซีในยุค โรมัน อบราโมวิช

การประกาศขายทีมและสิ้นสุดบทบาทผู้นำองค์กรของ โรมัน อบราโมวิช ที่มีต่อ เชลซี เกิดขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  

แม้จะเกิดขึ้นโดยไม่เต็มใจ แต่ภายใต้ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง “รัสเซีย-ยูเครน” ทำให้ทุกอย่างที่ เชลซี และ อบาโมวิช สร้างขึ้นไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ 

ทว่าถึงอย่างนั้นตลอดเส้นทางที่ยาวกว่า 20 ปี โรมัน อบราโมวิช ก็สร้างตำนานไว้มากมาย ชนิดที่ว่าต่อให้คุณไม่ใช่แฟนเชลซี คุณก็ย่อมจดจำเหตุการณ์เล่านี้ได้เป็นอย่างดี 

MainStand ขอย้อนเวลาพาทุกท่านไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับ เชลซี ในยุค อบราโมวิช ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันลา

 

ติดตามได้ที่นี่

1. I’m Boss 

โรมัน อับราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรเชลซีครั้งแรกในปี 2002 ตอนนั้นทุกสำนักฟันธงว่านักเตะเชลซีชุดเก่า ๆ พร้อมโดนล้างบางด้วยอำนาจเงินของเศรษฐีชาวรัสเซียที่ตั้งใจจะเปลี่ยนทีมให้กลายเป็นสโมสรระดับเเชมเปี้ยนแน่นอน รวมถึงโค้ชอย่าง เคลาดิโอ รานิเอรี่ ก็ด้วย เพราะเขาถือเป็นมวยเบอร์รองที่ไม่มีความสำเร็จสวย ๆ จริง ๆ จัง ๆ เลยในเวลานั้น 

อย่างไรก็ตามเมื่อเริ่มงานจริง มีการเรียก รานิเอรี่ เข้ามาประชุมกับบอร์ดบริหาร และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นถือว่ามีพลิกล็อกเล็ก ๆ เพราะที่สุดเเล้ว โรมัน ปล่อยให้ รานิเอรี่ ได้ทำงานต่อภายใต้ข้อแม้ว่าต้องทำให้เห็นทิศทางของการเป็นแชมป์ให้ได้

 

ข้อตกลงระหว่างทั้งสองคนเกิดขึ้น แต่ อบราโมวิช ไม่จบกับเรื่องนี้ง่าย ๆ เขาเป็นคนมีเงิน และเขาไม่ชอบที่จะอยู่เฉย ๆ โดยให้ รานิเอรี่ ใช้นักเตะชุดเดิม ๆ ที่เห็นแววแชมป์ยาก การแทรกแซงจึงเกิดขึ้น เพียงแต่ว่ามันเป็นการแทรกแซงที่โค้ชหลายคนยินดี นั่นคือการซื้อนักเตะให้ใหม่แทบยกทีม เพื่อให้ รานิเอรี่ ทำงานได้ง่ายขึ้น 

อนิจจาแม้โค้ชหลายคนจะชอบ แต่คงไม่ใช่กับ รานิเอรี่ เพราะการที่เขามีนักเตะเยอะเกินไปทำให้งานของเขายากขึ้น รานิเอรี่ ต้องหาทางเกลี่ยนักเตะที่มีให้ได้ลงสนามตามโอกาส มันทำให้เขาเปลี่ยนตัวผู้เล่นและเปลี่ยนแผนบ่อยมาก จนทำให้สื่ออังกฤษเรียกเขาว่า “ทิงเกอร์แมน” หรือ “คนคิดมากเกินเหตุ” ไปโดยปริยาย

“ผมงงมากเลย เราซื้อนักเตะเข้ามาในทีมแทบทุกวัน มีข่าวกับนักเตะทุกชั่วโมง แม้กระทั่งวันที่ฤดูกาลเริ่มเเล้วงานก็มาตกที่ผมที่ต้องพยายามจับนักเตะทั้งหมดที่มีมารวมกันเป็นทีมให้ได้ … นั่นแหละคือเหตุผลที่ผมถูกเรียกว่าทิงเกอร์แมน” รานิเอรี่ กล่าวถึง อบราโมวิช ที่ซื้อนักเตะให้เขาถึง 12 คนในซัมเมอร์เดียว 

รานิเอรี่ ทำทีมไม่ประสบความสำเร็จเมื่อจบฤดูกาล ทีมไม่ได้เเชมป์แม้แต่รายการเดียว และการที่เขาอ้างว่านักเตะเยอะเกินไปคือเหตุผลที่ โรมัน อบราโมวิช ไม่ค่อยชอบใจนัก เขาคิดว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่นักเตะหรือการซื้อตัวดี ๆ เข้ามารวมกันไว้ แต่ปัญหาสำคัญคือโค้ชอย่าง รานิเอรี่ ต่างหากที่ทำหน้าที่รวมทุกคนให้เป็นทีมได้ไม่ดีพอ

 

“ทำไม่ได้ก็ออกไป” วลีนี้พูดถึงสถานะโค้ชภายใต้การเป็นลูกจ้างของ อบราโมวิช ได้เป็นอย่างดี เพราะทันทีที่ รานิเอรี่ บ่น เขาก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ก่อนที่ทีมจะยอมจ่ายค่าฉีกสัญญา โชเซ่ มูรินโญ่ มาจาก ปอร์โต้ ด้วยราคาถึง 14 ล้านปอนด์ให้มารับงานแทน 

เมื่อ มูรินโญ่ เข้ามา อบราโมวิช ทำในแบบเดิมนั่นคือการประเคนเงินให้ไม่อั้น โดยให้ มูรินโญ่ ซื้อนักเตะเข้าทีมได้ตามที่เขาต้องการ และสุดท้ายที่เหลือคือประวัติศาสตร์ มูรินโญ่ เปลี่ยนทีมเชลซีให้เป็นทีมที่ดีที่สุดในลีก ณ ยุคนั้น และนี่คือข้อพิสูจน์ที่บอกได้ว่า โรมัน อบราโมวิช เป็นเศรษฐีที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องฟุตบอลมาก ๆ และในสถานะผู้นำองค์กร การตัดสินใจของเขาถือเป็นที่สิ้นสุด และยังคงเป็นเช่นนั้นมาจนถึงวันที่เขาขายทีมไป

2. แชมป์พรีเมียร์ลีก 2004-05

มีหลายทีมบนโลกนี้ที่เคยเป็นแชมป์ลีกและถูกกล่าวขานถึงในแง่ของความพยายาม เป็นการไต่จากระดับล่างแล้วค่อย ๆ สร้างทีมจนประสบความสำเร็จ นี่คือสตอรี่ที่หลายคนชอบ แต่สำหรับ เชลซี ยุค โรมัน อบราโมวิช มันเป็นอะไรที่แตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ … ทำไมต้องค่อย ๆ สร้างในเมื่อคุณลงทุนได้ไม่อั้น ?

 

นั่นเป็นคุณสมบัติของทีม เชลซี ชุดเเชมป์พรีเมียร์ลีกปี 2004-05 ซึ่งเป็นทีมที่มีคาแร็กเตอร์ในแบบที่เรียกได้ว่า “ลูกไฮโซ” เปย์เงินไม่อั้น ใช้เงินจบทุกปัญหา ขาดโค้ชที่ดีก็ดึงโค้ชที่เป็นแชมป์ยุโรปอย่าง มูรินโญ่ มา, ขาดคู่หูของ จอห์น เทอร์รี่ ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟก็ดึง ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ มาร่วมทีม ขาดกองหน้าตัวเป้าก็ทุ่มซื้อ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ขาดปีกตัวจี๊ดก็จบปัญหาด้วย อาร์เยน ร็อบเบ็น

ทั้งหมดนี้อาจจะทำให้เกิดการหมั่นไส้จากทีมอื่น ๆ มากพอสมควร แต่ยังไม่จบแค่นั้น เพราะกุนซืออย่าง มูรินโญ่ ก็สร้างตำนานให้คนหมั่นไส้ขึ้นอีกเป็นกองด้วยความปากแซ่บและโอหังถึงขีดสุด … เรียกได้ว่าทั้งเจ้าของที่ทุ่มไม่เกรงใจทีมอื่น และโค้ชที่พูดจายียวนกวนกระสาท ณ เวลานั้น ทำให้เว็บไซต์อย่าง FourFourTwo ถึงกับลงบทความที่ชื่อว่า “10 เหตุผลที่คุณเกลียดเชลซี” เลยทีเดียว 

มีปากก็พูดไป น้ำลายได้มาฟรี … แต่ที่แน่ ๆ เชลซี ที่นำโดย อบราโมวิช นั้นไม่สนอยู่แล้ว เพราะผลลัพธ์ลงท้ายด้วยเเชมป์และกลายเป็นทีมที่ไร้เทียมทาน ณ เวลานั้น เขายอมโดนด่าทั้งวันก็ยังได้หากเป็นเช่นนี้ทุกฤดูกาล

3. ค็อบแฮม 

ระหว่างที่ทีมกำลังประสบความสำเร็จในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ และการทุ่มซื้อนักเตะจนโดนฝั่งตรงข้ามดูถูกว่าเป็นทีมที่เก่งแต่ซื้อ และประสบความสำเร็จเพราะใช้เงิน … โรมัน อบราโมวิช กำลังซุ่มทำสิ่งหนึ่งอยู่เงียบ ๆ เพื่ออนาคตระยะยาว สิ่งนั้นคือการสร้าง “ศูนย์ฝึกเยาวชน ค็อบแฮม” 

โปรเจ็กต์ในการสร้าง Cobham เริ่มต้นในปี 2003 จากแนวคิดของ อบราโมวิช ที่ไม่พอใจที่สนามฝึกซ้อมของเชลซี ณ ตอนนั้นต้องยืมพื้นที่ของมหาวิทยาลัยอิมเพเรียลที่ตั้งอยู่ในลอนดอนมาใช้ เขาคิดว่าการยืมสนามคนอื่นมาเตะมาซ้อมมันไม่เท่ ไม่สมราคาทีมยิ่งใหญ่อย่างเชลซี 

โรมัน อบราโมวิช จึงเดินหน้าสั่งลุยโครงการนี้อย่างเต็มตัว และได้รับการอนุมัติให้สร้างได้ในพื้นที่หมู่บ้านค็อบแฮม ที่แคว้นเซอร์เรย์ และเริ่มใช้งานในปี 2005 และต่อเติมจนเต็มสูบในปี 2007

นักเตะเชลซีชุดเยาวชนตั้งแต่รุ่นยู-12 จนถึงยู-23 จะต้องมาฝึกฝนที่นี่โดยมีสิ่งความสะดวกเต็มรูปแบบ เป้าหมายก็เพื่อการเปลี่ยนสถานะจากทีมจอมทุ่ม กลายเป็นทีมที่มีวัตถุดิบเยาวชนที่ขึ้นมาเติมเต็มในทีมชุดใหญ่ได้

 

เชลซี พยายามสร้างนักเตะดาวรุ่งที่ผ่านการซื้อตัวมาปั้นต่ออยู่หลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น ซาโลมง กาลู, ฟาบิโอ บอรินี่, เจฟฟรีย์ บรูม่า, ไรอัน เบอร์ทรานด์ รวมถึง โรเมลู ลูกากู จนกระทั่งเวลาผ่านไปพวกเขาก็ค่อย ๆ มีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่รุ่นเล็กจนได้เด็กถิ่นดี ๆ ขึ้นมาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่มากมายในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เช่น เมสัน เมาท์, แทมมี่ อับราฮัม, รีซ เจมส์, บิลลี่ กิลมอร์, นาธาเนี่ยล ชาโลบาห์, รูเบ็น ลอฟตัส ชีก, อันเดรียส คริสเตียนเซ่น และ ฟิกาโย โทโมริ  

“หนึ่งในงานของผมคือการสร้างความสำเร็จในอนาคตให้กับสโมสรแห่งนี้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมความสำเร็จของ Cobham ถึงมีความหมายมากกับผม” เจ้าของทีมชาวรัสเซียกล่าวไว้ และตอนนี้มันก็ได้ผลิดอกออกผลเเล้ว

4. ปลด มูรินโญ่ 

ย้อนกลับไปในช่วงก่อนปี 2010 ไม่มีกุนซือหนุ่มคนไหนจะร้อนแรงและมีผลงานเอกอุเท่ากับ โชเซ่ มูรินโญ่ อีกแล้ว หลายคนบอกว่า เชลซี และ อับราโมวิช โชคดีมากที่มีโค้ชอย่าง มูรินโญ่ ทำให้ทีมไม่เคยร้างโทรฟี่ ด้วยความสนิทชิดเชื้อที่มีต่อกัน แทบไม่มีใครนึกภาพออกเลยว่า มูรินโญ่ จะโดนไล่ออกจากทีมภายในเวลาไม่กี่ปีจากที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรก 

เรื่องไม่ได้เเชมป์นั้นก็หนักหนาพออยู่แล้ว แต่เรื่องความสัมพันธ์ที่นับวัน มูรินโญ่ จะคิดว่าตัวเองใหญ่กว่าเจ้าของสโมสรอย่าง อบราโมวิช เขามักจะออกมาพูดถึง อบราโมวิช อยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะเรื่องการซื้อตัว อังเดร เชฟเชนโก้ ให้โดยที่เขาไม่ต้องการ 

จุดแตกหักมาเกิดขึ้นในฤดูกาล 2007-08 ที่ เชลซี แพ้ แอสตัน วิลล่า 0-2 ที่ วิลล่าพาร์ก ที่ปกติแล้ว โรมัน อบราโมวิช จะอยู่ดูจนจบเกมตลอด แต่ในเกมนั้นเขาแสดงท่าทางฉุนเฉียวและเดินออกจากสนามไปก่อนเกมจบ 

หลังจากนั้นไม่กี่วัน โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เพิ่งพาทีมเป็นแชมป์เอฟเอ คัพ ในฤดูกาลที่แล้วก็โดนปลดออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่สื่อบอกว่า “พังทลายโดยสมบูรณ์” 

ไม่ว่าจะสนิทชิดเชื้อขนาดไหนแต่วันใดที่ผลงานไม่ดีและเริ่มมีปัญหากับนโยบายของบอร์ดบริหาร เมื่อนั้นคุณจงเตรียมโดนลงดาบอาญาสิทธิ์จาก อบราโมวิช ได้เลย ขนาดคนที่ “สุดในรุ่น” อย่าง มูรินโญ่ ยังไม่รอด

5. อกหักที่ มอสโก 

ต่อเนื่องจากข้อที่แล้วหลังจากปลด มูรินโญ่ อบราโมวิช ตั้งโค้ชที่หลายคนไม่เคยได้ยินชื่ออย่าง อัฟราม แกรนท์ เข้ามารับหน้าที่ขัดตาทัพ และกุนซือชาวอิสราเอลก็ทำหน้าที่ได้ดีเกินคาด ด้วยการพาทีมผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โดยต้องไปเจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่ปรับร่วมลีก ณ เวลานั้น … เหนือสิ่งอื่นใดเกมนัดชิงปี 2007-08 นั้นจะลงเล่นที่กรุงมอสโก เมืองที่ โรมัน อบราโมวิช เป็นเจ้าถิ่นอีกด้วย 

เชลซี ไม่เคยเป็นเเชมป์ยุโรปมาก่อน ทำให้ โรมัน อบราโมวิช คาดหวังอย่างสูงกับเกม ๆ นี้ เขาได้เเชมป์ลีกมาเเล้ว 2 ครั้ง และเขาคิดว่านี่คือเวลาที่เหมาะเจาะมากที่สุดกับการชูถ้วยเเชมป์ยุโรปครั้งแรกของสโมสรที่ มอสโก ดินแดนที่เข้าสร้างชื่อเสียงและสร้างบารมี จนกลายเป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของประเทศ 

น่าเสียดายที่สิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น เชลซี แพ้จุดโทษให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด สิ่งนี้ทำให้ อบราโมวิช ผิดหวังพอ ๆ กับที่ไฟในตัวลุกโชน เขาจะกล้าและบ้าบิ่นยิ่งกว่าเดิมเพื่อเอาเเชมป์แรกในประวัติศาสตร์สำหรับรายการนี้มาให้ได้ 

6. ซื้อ เชฟเชนโก้ และ ตอร์เรส 

นอกจากความสำเร็จของ เชลซี ในยุค อบราโมวิช แล้วสิ่งที่คนพูดถึงพวกเขามากที่สุดคือการซื้อนักเตะแบบตามใจเจ้าของ แม้เป็นเรื่องที่ดูแปลก ๆ แต่อย่าลืมว่าเจ้าของเป็นคนวางนโยบาย อย่างไรเสียพวกเขาย่อมถูกเสมอ และดีลในลักษณะนี้ที่ชัดเจนตอบโจทย์ที่สุดคือการคว้าตัว อังเดร เชฟเชนโก้ กองหน้าดีกรีบัลลงดอร์จาก เอซี มิลาน มาด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ และ เฟร์นันโด ตอร์เรส จาก ลิเวอร์พูล ในราคาสถิติเกาะอังกฤษ 50 ล้านปอนด์ 

การซื้อ เชฟเชนโก้ เกิดขึ้นพราะความสนิทสนมส่วนตัวระหว่าง เชฟเชโก้ และ อบราโมวิช เหนือสิ่งอื่นใดนี่คือใบสั่งของ โรมัน อบราโมวิช ที่ชื่นชอบดาวยิงทีมชาติยูเครนเป็นการส่วนตัว และเชื่อว่าจะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เชลซีไร้เทียมทานในเกมรุก ซึ่งผลออกมาตรงกันข้าม นี่คือดีลที่เป็นปัญหามากกว่าเป็นประโยชน์ 

เชฟเชนโก้ ไม่ใช่นักเตะที่ มูรินโญ่ ต้องการ เชฟเชนโก้ ไม่ชอบเล่นเป็นตัวริมเส้น และ เชฟเชนโก้ เป็นบ่อเกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นของ มูรินโญ่ และ อบราโมวิช … นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น

เหนือสิ่งอี่นใดยังมีเหตุการณ์คล้าย ๆ แบบนี้อีกครั้งที่ อบราโมวิช เชื่อว่าจะดีต่อทีม จึงจัดการอนุมัติงบ 50 ล้านปอนด์ ปิดดีลมาจาก ลิเวอร์พูล … และอย่างที่หลายคนรู้กัน ตอร์เรส ไม่เคยอยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดอีกเลยหลังจากย้ายมาอยู่เชลซี นอกจากนี้เริ่มมีข่าวระแคะระคายว่า คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือของ เชลซี ณ เวลานั้นเริ่มไม่พอใจกับการโดนล้วงลูกของ อบราโมวิช 

จะจริงหรือไม่ไม่ใช่ประเด็น เพราะที่สุดเเล้วแม้นักเตะทั้งคู่จะได้เเชมป์ร่วมกับทีม แต่ว่ากันด้วยมาตรฐานการเล่นส่วนตัวเเล้ว นักเตะที่ อบราโมวิช “จัดให้” กลายเป็นปัญหาที่ทำให้โค้ชของพวกเขาต้องตกงานไปถึง 2 คนเลยทีเดียว

6. ในที่สุดที่มิวนิค 

หลังจากอกหักมาในปี 2008 อบราโมวิช ก็ได้ชูถ้วยเเชมป์ยุโรปสมใจในอีก 4 ปีต่อมา แถมยังเป็นการได้เเชมป์แบบพล็อตหนังพระเอกยอดนักสู้อีกด้วย 

ครั้งนั้น เชลซี เข้าชิงกับ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2012 ทีสนาม อลิอันซ์ อารีนา สังเวียนเหย้าของ บาเยิร์น เอง ดังนั้น เชลซี จึงเป็นรองรอบด้านทั้งเรื่องของตัวนักเตะ โค้ช (ณ ตอนนั้นใช้โค้ชชั่วคราวอย่าง โรเเบร์โต้ ดิ มัตเตโอ) และบรรยากาศเสียงเชียร์

เชลซี โดน บาเยิร์น ทุบแล้วทุบอีกตลอดเกือบ 90 นาที พวกเขาจวนเจียนจะแพ้อยู่รอมร่อ แต่สุดท้าย ดิดิเยร์ ดร็อกบา ก็พังงานเลี้ยงของทีมดังเมืองเบียร์ ด้วยการโหม่งตีเสมอท้ายเกม ต่อด้วยการเป็นฮีโร่ในช่วงการดวลจุดโทษ

สุดท้าย โรมัน อบราโมวิช ก็ได้ชูถ้วยเเชมป์ยุโรป สีหน้าของเขาในวันนั้นหากยังจำกันได้ คุณจะได้เห็นทั้งรอยยิ้มที่ปลื้มปิติ และมีนํ้าตารื้น ๆ ปะปนในค่ำคืนที่แสนวิเศษ หลังจากนั้น 1 วัน เขาแสดงความกระหายให้ทุกคนได้เห็นว่า “จะหยุดแค่นี้ไม่ได้” 

อบราโมวิช ให้รางวัลนักเตะเป็นโบนัสคนละ 300,000 ปอนด์ (ประมาณ 15 ล้านบาท) พร้อมกับแจ้งทุกคนถึงเป้าหมายข้างหน้าว่าคือการคว้าแชมป์ยุโรปมาครองให้ได้อย่างน้อย 4 สมัย 

แม้ในส่วนนี้เขาจะทำไม่สำเร็จ เพราะ เชลซี ได้เเชมป์ยุโรปในยุคเขา 2 สมัยเท่านั้น แต่ที่สุดเเล้วเเชมป์ก็คือแชมป์ จะ 2 หรือ 4 สมัย อย่างไรเสียมันก็ต้องถูกกล่าวถึงในแง่ความยิ่งใหญ่เป็นที่แน่นอนอยู่เเล้ว

7. แชมเปี้ยนส์ลีก, ซูเปอร์คัพ และ สโมสรโลก 

เชลซี ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง และการทำงานยังคงเป็นไปในรูปแบบเดิม นั่นคือการคำนึงถึงผลลัพธ์ในชนิดที่ว่า “จบปีต้องมีแชมป์” 

เชลซี ปลดผู้จัดการทีมมาเเล้วหลายคน รวมถึงการปลด แฟรงก์ แลมพาร์ด หนึ่งในคนที่สนิทกับ อบราโมวิช มาตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นนักเตะ 

แลมพาร์ด โดนปลดในปีช่วงปี 2021 จากนั้นการตั้งโค้ชมาแทนที่ก็ถือเป็นงานถนัดของ อบราโมวิช ที่จิ้มไปที่ โธมัส ทูเคิล โดยมีการเรียกทูเคิลมาคุยถึงแนวทางการทำทีม และตั้งเป้าหมายว่าถึงแม้จะเป็นกุนซือชั่วคราว อย่างไรเสียในปีสองปีนี้ก็ต้องมีแชมป์ ส่วนจะอยากได้ใครมาเพิ่มไม่ใช่ปัญหา เขาจะเป็นคนอนุมัติงบประมาณให้เองตามที่เห็นสมควร 

ทูเคิล ทำได้ดีเกินคาดด้วยการพาทีมฟาดเเชมป์ยุโรปทันทีหลังรับงานไม่ถึง 6 เดือน ต่อด้วยการคว้าเเชมป์ซูเปอร์ คัพ และปิดท้ายด้วยเเชมป์สโมสรโลก 2022 ซึ่งเป็นแชมป์สุดท้ายที่ปิดฉากยุคสมัยของ โรมัน อบราโมวิช 

“แชมป์นี้สำหรับเขา ไม่ต้องสงสัยเลย นี่มันเพื่อเขา เราได้เจอกันไม่นานในสนามหลังจบเกมนัดชิงชนะเลิศ เขาบอกว่าแสดงความยินดีด้วย และผมก็บอกเขาว่ายินดีด้วย นี่เพื่อคุณนะ นี่คือสโมสรของคุณ มันคือแพชชั่นของคุณที่ทำให้สิ่งนี้เป็นไปได้ และผมก็มีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน แน่นอนว่าถ้วยนี้มันสำหรับเขา” ทูเคิล ให้เครดิตอดีตเจ้านายของเขาอย่างเต็มที่

8. จากลาด้วยความยิ่งใหญ่ 

ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่ร้อนแรงจากเหตุการณ์ รัสเซีย บุก ยูเครน ทำให้ โรมัน อบราโมวิช ซึ่งเป็นคนที่เป็น “โปรรัสเซีย” ต้องได้รับผลจากเรื่องนี้ มีการกดดันจากรัฐบาลอังกฤษให้เขาถอยออกห่างและวางมือจากการเป็นเจ้าของทีมเชลซี เพราะ อังกฤษ ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ รัสเซีย ที่นำโดย วลาดิเมียร์ ปูติน ซึ่งเป็นคนที่สนิทชิดเชื้อกับ อบราโมวิช เป็นอย่างดี 

การโดนกดดันจากทุกฝ่ายทำให้ โรมัน อบราโมวิช ประกาศขายทีมเชลซีเป็นที่เรียบร้อย ต่อจากนี้ไปทั้งคู่จะเป็นอดีตของกันและกัน แต่ว่ามันจะเป็นอดีตที่งดงามที่ต่างฝ่ายต่างจดจำถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 20 ปีนี้ไปตลอดกาล

“โปรดทราบว่านี่คือการตัดสินใจที่ยากลำบากมาก มันเจ็บปวดเหลือเกินที่ผมต้องจากทีมไปแบบนี้ อย่างไรก็ตามผมมั่นใจว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดกับสโมสรแล้ว” โรมัน อบราโมวิช แถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ของสโมสร โดยมีการยืนยันว่าการขายทีมกำลังอยู่ในกระบวนการ ส่วนเรื่องหนี้สินที่เขาเคยใช้เงินส่วนตัวสร้างทีมไป เขาจะยกหนี้ให้กับสโมสร โดยไม่เอาเงินคืนแม้แต่ปอนด์เดียว 

“ผมจะไม่เรียกร้องให้สโมสรชำระเงินกู้ใด ๆ ที่ได้ยืมไปจากผม เพราะผมไม่เคยมองว่านี่เป็นเรื่องของธุรกิจหรือเรื่องเงิน แต่มันคือความหลงใหลอย่างบริสุทธิ์ใจที่ผมมีต่อเกมการแข่งขันฟุตบอลและสโมสรของเรา”  

จากวันแรกจนวันลา โรมัน อบราโมวิช ยิ่งใหญ่ในสายตาของแฟนเชลซี และเป็นชายผู้เปลี่ยนแปลงให้พรีเมียร์ลีกกลายเป็นลีกที่เข้มข้นยิ่งกว่าที่เคยเป็น ทุกสิ่งที่เขาเคยพูดไว้ในวันที่เข้ามา เขาทำมันได้สำเร็จอย่างแท้จริง 

“ความทะเยอทะยานคือสิ่งเดียวที่ทำให้ผมมาที่นี่ สโมสรนี้อยู่ที่นี่มาก่อนผม และจะอยู่ที่นี่ต่อหลังจากที่ผมจากไป ดังนั้นงานของผมคือการทำให้แน่ใจว่าเราจะประสบความสำเร็จเท่าที่เราจะทำได้” โรมัน อบราโมวิช กล่าวกับ ฟอร์บส์ ในปี 2003 และมันตอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง