sportpooltoday

เจ็บไม่รู้จักจำ : เหตุใด “เปแอสเช” ถึงล้มเหลวซ้ำซากในฟุตบอลยุโรป


เจ็บไม่รู้จักจำ : เหตุใด "เปแอสเช" ถึงล้มเหลวซ้ำซากในฟุตบอลยุโรป

ความล้มเหลวในฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เกิดขึ้นอีกครั้งกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ยอดทีมจากฝรั่งเศส ที่แม้จะได้ตัว ลิโอเนล เมสซี่ หนึ่งในยอดนักฟุตบอลตลอดกาลมาร่วมทีม แต่ปัญหาการตกรอบง่าย ๆ แบบไร้ท่าก็ยังเกิดขึ้นไม่เปลี่ยนไปไหน

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ชื่อของ เปแอสเช ถูกจับตามาตลอดในฐานะทีมที่มีลุ้นแชมป์ยุโรป แต่พอถึงเวลาแข่งจริงก็พร้อมตกรอบไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมยังมักจะแพ้แบบไร้ทรงจนโดนแฟนบอลเอาไปล้อเลียนในฐานะทีมที่ล้มเหลวซ้ำซากบนฟุตบอลยุโรปเป็นประจำ

ทั้งที่มีเงินจำนวนมากคอยหนุนหลังแบบไม่มีวันหมด มีนักเตะระดับโลกเข้ามาสู่ทีมนับไม่ถ้วน แต่เหตุใดเปแอสเชถึงยังล้มเหลวซ้ำ ๆ ในฟุตบอลยูซีแอล ติดตามไปพร้อมกับ Main Stand

หา DNA สโมสรไม่เจอ 

การมีอัตลักษณ์ที่ชัดเจนคือเรื่องสำคัญมากในการทำทีมฟุตบอลให้ประสบความสำเร็จ แม้ว่านี่คือสิ่งที่หลายสโมสรมองข้าม แต่จะเห็นได้ว่าทุกทีมที่แข็งแกร่งจนได้รับการจารึกชื่อระดับตำนาน ล้วนมีปรัชญาและตัวตนที่ชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มี DNA ที่ชัดเจนคือไม่ยอมแพ้จนวินาทีสุดท้าย, ลิเวอร์พูล ยุครุ่งเรืองกับเกมบุก “เครื่องจักรสีแดง” และการคืนชีพกลับมาโดย เยอร์เกน คล็อปป์, บาร์เซโลน่าที่จะรุ่งเรืองทุกครั้งหากพวกเขาเล่นฟุตบอลที่แสนจะงดงาม, เชลซี เกมฟุตบอลที่เกมรับต้องมาก่อนเกมรุกเสมอ ไปจนถึงความดุดันแบบเยอรมันที่ไม่เคยจางหายไปจาก บาเยิร์น มิวนิค

สโมสรชื่อดังล้วนมี DNA มีปรัชญาเป็นของตัวเอง เพราะมันจะช่วยสร้างมาตรฐานการทำทีมโดยไม่ทำให้ออกนอกลู่นอกทาง และสามารถเดินไปตามทางที่กำหนดไว้ได้

 

อีกทั้งการคัดสรรโค้ชและนักเตะก็จะง่ายยิ่งขึ้น เพราะการมีตัวตนที่ชัดเจนทำให้รู้ได้เลยว่า ผู้เล่นหรือโค้ชคนไหนที่เหมาะกับทีมของเรา พูดง่าย ๆ คือเป็นการทำให้แต่ละทีมเลือก “คนที่เหมาะกับงาน” ได้ง่ายขึ้น ซึ่งทำให้การทำงานราบรื่น เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นตามมา

อย่างไรก็ตาม ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ไม่เคยทำแบบนั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราไม่สามารถบอกได้เลยว่า สโมสรแห่งนี้มี DNA แบบไหนกันแน่ พวกเขาเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลแบบไหน เน้นรับหรือเน้นรุก, พวกเขาเล่นบอลเน้นพละกำลังหรือเทคนิค หรือมีอะไรเป็นไพ่เด็ดของทีมที่คู่แข่งต้องหวาดกลัว ไม่มีใครมองเห็นในจุดนี้เลยนอกจากข้อเดียวคือ “รวย” ซึ่งนั่นไม่เพียงพอที่จะทำให้สโมสรฟุตบอลประสบความสำเร็จกับเวทีใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 

การสร้างตัวตนที่ชัดเจนให้กับทีมฟุตบอลไม่ใช่เรื่องยาก ขอแค่หาผู้จัดการทีมเก่ง ๆ สักคนมาคอยปักหลักวางรากฐานให้กับทีมทุกอย่างก็สามารถเดินหน้าไปได้ แต่เปแอสเชไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ ไม่ใกล้เคียงเลยที่จะเกิดขึ้นจริง

คาร์โล อันเชล็อตติ, โลร็องต์ บล็องก์, อูไน เอเมรี่, โธมัส ทูเคิล, เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ คือผู้จัดการทีมที่เข้ามาคุมเปแอสเชในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และเราไม่สามารถหาความเชื่อมโยงของผู้จัดการทีมทั้ง 5 คนนี้ได้เลยว่า มีความเกี่ยวเนื่องในการทำฟุตบอลในทางเดียวกันตรงไหนบ้าง

เพราะ เปแอสเช ไม่เคยคิดหรือวางแผนให้ชัดว่าฟุตบอลแบบเปแอสเชคือฟุตบอลแบบไหน ? แล้วค่อยตามหาโค้ชที่จะทำให้ความฝันนั้นเป็นจริง

 

ในเมื่อ เปแอสเช เลือกดึงโค้ชมาร่วมงานแบบสุ่มดวง เลือกคนที่มีชื่อเสียงดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ และหวังถูกล็อตเตอรี่ว่าผู้จัดการทีมคนนั้นจะเข้ามาพาทีมคว้าแชมป์ได้จริง จึงเป็นเรื่องยากที่ทีมจะประสบความสำเร็จ

หากมีคนกำหนดทิศทางที่ชัดเจนให้ทีมได้เดินตาม ความสำเร็จในถ้วยฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่คงอยู่ใกล้ความจริงมากกว่านี้ แต่ตอนนี้นอกจากจะไม่มี DNA ฟุตบอลที่ชัดเจนแล้ว ความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่ายังทำให้คนเริ่มมองว่าตัวตนของสโมสรแห่งนี้คือการพบกับความล้มเหลวซ้ำซากไม่รู้จักจบจักสิ้น

“ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญ แต่มันมาจากวัฒนธรรมในสโมสร พวกเขาไม่เคยเรียนรู้อะไร และคิดแค่ว่าการมีนักเตะชื่อดังมารวมอยู่ในทีมเดียวกันจะเพียงพอ มันคือวัฒนธรรมของสโมสรแห่งนี้ที่หัวใจของมันคือความล้มเหลว” L’Equipe สื่อชื่อดังของฝรั่งเศส เขียนโจมตีทีมฟุตบอลดังแห่งกรุงปารีสทันทีหลังจากตกรอบ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลล่าสุด

การเสริมทัพนักเตะที่เน้นแค่ชื่อ

ความล้มเหลวของการสร้าง DNA ผ่านผู้จัดการทีมไม่ใช่ปัญหาเดียวที่เปแอสเชต้องเผชิญมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่รวมไปถึงการขาดนักเตะที่พร้อมจะทุ่มเทสุดกำลังเพื่อให้ทีมประสบความสำเร็จ 

ถึงจะเต็มไปด้วยนักเตะชื่อดังมากมายในทีม แต่กลับไม่มีผู้เล่นคนไหนที่แฟนบอลสัมผัสได้ว่านักเตะคนนี้พร้อมจะถวายชีวิตเล่นให้กับเปแอสเชทุกครั้งที่ลงสนาม หรือทั้งหัวใจในการเล่นฟุตบอลมีแต่เปแอสเช

เนย์มาร์ ซูเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของทีม ไม่เคยแสดงภาพให้ผู้คนยอมรับได้ว่าเขามาที่เปแอสเชเพราะรักที่นี่จริง ๆ แต่เหมือนกับว่าเขามาที่นี่เพื่อพักใจ หลังแตกหักกับอดีตต้นสังกัดอย่างบาร์เซโลน่า และหากมีโอกาสที่ดีกว่าเขาก็พร้อมจะอำลาทีมเสมอ

สุดยอดดาวรุ่ง อย่าง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ในหัวใจของนักเตะรายนี้มีแต่ทีมดังอย่าง เรอัล มาดริด ไม่ใช่ เปแอสเช ทั้งที่ความยิ่งใหญ่ของทั้งสองสโมสรในยุคปัจจุบันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นัก แต่เปแอสเชล้มเหลวโดยสิ้นเชิงที่จะรั้งตัวนักเตะรายนี้ให้จงรักภักดีและยอมร่วมหัวจมท้ายกับทีมต่อไป

 

หรือแม้กระทั่ง ลิโอเนล เมสซี่ สุดยอดนักฟุตบอลตลอดกาล ที่เมื่อย้ายมาอยู่กับเปแอสเชแทนที่จะช่วยให้ทีมน่ากลัวขึ้นกว่าเดิม กลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงทีมไปในทางที่ดีขึ้นเลย และดูเหมือนว่าเขาจะมาเล่นแบบไม่เต็มร้อย ไร้แพชชั่น จนทำให้เจ้าตัวถูกแฟนบอลของปารีสฯ รุมโห่อยู่ในตอนนี้ เพราะเมสซี่ไม่ได้แสดงถึงฝีเท้าที่ใกล้เคียงกับสมัยอยู่กับบาร์เซโลน่าเลยแม้แต่นิดเดียว

ปัญหาของ เปแอสเช ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคือทีมมักซื้อตัวผู้เล่นที่มีชื่อเสียงมากกว่าจะดูที่ฝีเท้าหรือความเหมาะสมกับทีมจริง ๆ เห็นได้จากการซื้อ เซร์คิโอ รามอส มาร่วมทีม แต่ปราการหลังชาวสเปนวัย 35 ปีก็โดนปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงานจนแทบไม่ได้ลงเล่นให้กับทีม

ไปจนถึงการคว้า จานลุยจิ บุฟฟ่อน นายทวารจอมเก๋าชาวอิตาลีมาร่วมทีม สุดท้ายใช้งานไปได้แค่ปีเดียวก็ต้องปล่อยตัวออกจากทีม เพราะอายุเยอะ ฟอร์มตกและทำผลงานไม่ตามเป้า หรือการซื้อยอดผู้รักษาประตูที่กวาดแชมป์แชมป์เปี้ยนส์ ลีก 3 สมัย กับ เรอัล มาดริด อย่าง เคย์ลอร์ นาบาส แต่อยู่ดี ๆ ก็ไปเซ็น จานลุยจิ ดอนนารุมม่า มือกาวชาวอิตาลี มาเบียดนาบาสเป็นตัวสำรอง ทั้งที่ผลงานของอดีตนายทวารของทีมราชันชุดขาวไม่ได้ตกลงไปเท่าไหร่นัก จนกลายเป็นการเสริมทีมที่ซ้ำซ้อนและไม่จำเป็น

ในความเป็นจริงแล้ว เปแอสเช ซื้อนักเตะที่มีชื่อเสียงโด่งดังเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่มีไม่กี่คนที่เรียกได้ว่าทำผลงานได้คุ้มเงินทุกยูโรที่สโมสรจ่ายไป และยิ่งพวกเขาตกหลุมกับดักของการดึงนักเตะชื่อดังเข้ามามากเท่าไหร่ก็จะยิ่งห่างไกลความสำเร็จมากเท่านั้น เพราะนักเตะชื่อดังไม่ได้รับประกันเลยว่าจะเล่นดีเสมอไป ซึ่งมันทำให้เปแอสเชมองข้ามการซื้อนักเตะของดีราคาไม่แพงไปจนหมด

 

ลิเวอร์พูล, บาเยิร์น มิวนิค และ เชลซี สามทีมล่าสุดที่คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไม่ได้คว้าแชมป์ถ้วยหูกางเพราะทุ่มเงินมหาศาล แต่ทั้งสามสโมสรสามารถผสานการเสริมนักเตะทั้งตัวดัง, ตัวโนเนม และเด็กปั้นของสโมสร ให้เข้ากันได้อย่างลงตัว และกลายเป็นขุมกำลังดีที่พอที่จะคว้าแชมป์ 

ลิเวอร์พูลซื้อ 3 ประสานแนวรุก มาจาก โรม่า, ฮอฟเฟนไฮม์ และ เซาธ์แฮมป์ตัน ไม่จำเป็นต้องดึงนักเตะชื่อดังเข้ามาเพื่อเป็นแชมป์ยูซีแอล, บาเยิร์น มิวนิค ไม่ต้องพูดถึง พวกเขาใช้เงินแสนจะเข้มงวดแต่มีประสิทธิภาพมหาศาลอยู่แล้ว ขณะที่ เชลซี คว้าแชมป์ถ้วยหูกางสมัยที่ 2 ด้วยแกนหลักจากเด็กปั้นของสโมสร

ขณะที่ เปแอสเช ไม่เคยมองเรื่องนี้ พวกเขาคิดแต่จะเป็น “กาลาติกอส หมายเลข 2” ต้องเป็นทีมที่คว้าแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ด้วยนักเตะชื่อดัง แต่ผลลัพธ์กลับห่างไกลจากความฝันที่วาดไว้

มาตรฐานที่ต่ำเกินไปของลีกเอิง

สภาพแวดล้อมมีส่วนสำคัญในการนำไปสู่การพัฒนาสำหรับทุกกีฬา หากต้องแข่งขันกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งทุกปี ๆ ย่อมส่งผลให้แต่ละทีมต้องพัฒนาตัวตามให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม หากหวังที่จะเป็นแชมป์ลีก

ในขณะที่สโมสรอังกฤษต้องแข่งกันเลือดตาแทบกระเด็นเพื่อจะเป็นแชมป์ลีก, เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า ต้องพัฒนาทีมแบบยอมกันไม่ได้ แต่ เปแอสเช กลับไม่เคยเจอความท้าทายในระดับนั้นเลย 

เพราะความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ เงินทุนที่หนุนหลังเปแอสเชอยู่ห่างชั้นจากทีมฟุตบอลอื่นในฝรั่งเศสมาก ซึ่งความขาดลอยนี้ก็มากพอที่จะทำให้การแข่งขันของลีกเอิงในภาพรวมหมดสนุกไปด้วย 

แม้กระทั่งในฤดูกาลนี้ที่ผลงานภาพรวมของปารีสฯ ไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก ยังนำห่างเป็นจ่าฝูงของลีกเอิงมากกว่า 10 คะแนน ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นภาพว่าเปแอสเชเก่งเกินกว่าที่จะต้องมาทุ่มทุกเม็ดใส่เต็มร้อยเพื่อคว้าแชมป์ลีกเอิง

แน่นอนว่าการเหนือกว่าคู่แข่งเยอะอาจจะได้เปรียบเรื่องสภาพร่างกายที่สามารถหมุนเวียนผู้เล่นได้แบบไม่ลำบาก แต่เรื่องของสภาพจิตใจเปแอสเชก็เสียเปรียบสโมสรอื่นมากเช่นกัน

นั่นคือยามที่ต้องอยู่ในสภาวะกดดัน บ่อยครั้งในฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่นักเตะเปแอสเชจะไปไม่เป็นเมื่อถูกทีมที่แข็งแกร่งกว่าหรือใกล้เคียงกันมีสกอร์ขึ้นนำไม่ว่าจะนำไปก่อนหรือพลิกแซงก็ตามที เพราะนักเตะของทีมไม่ได้อยู่ในสภาวะแบบนี้บ่อยนัก มีแต่ไล่เก็บคู่ต่อสู้ไปแบบสบาย ๆ

พอนักเตะเปแอสเชมาเล่นฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่ จึงกลายเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาชอบสั่นกับเดิมพันจนแพ้ไปเอง ทั้งเกมสุดคลาสสิกที่โดน บาร์เซโลน่า ชนะไป 6-1 ในเกมนัดที่สองรอบ 16 ทีมสุดท้ายของฤดูกาล 2016-17 จนตกรอบ หรือเกมล่าสุดที่พลิกพ่ายต่อ เรอัล มาดริด ในเกมนัดที่สอง รอบ 16 ทีมสุดท้าย เช่นกัน 

หาก เปแอสเช อยู่ในลีกที่ภาพรวมแกร่งกว่านี้ก็อาจจะได้เสริมสร้างประสบการณ์การรับมือในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ไม่ต้องมาเจอปัญหายามเล่นเกมใหญ่แบบนี้

ขณะเดียวกันอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ คุณภาพของลีกเอิงไม่ได้ต่ำกว่าลีกอื่นแค่เรื่องของนักฟุตบอล แต่รวมไปถึงกรรมการด้วยเช่นเดียวกัน เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาลีกเอิงถูกวิจารณ์ว่ามาตรฐานของผู้ตัดสินมีไม่เทียบเท่ากับลีกอื่นของยุโรป

ปัญหาสำคัญของลีกเอิงคือนักฟุตบอลส่วนใหญ่มักมีอารมณ์ระหว่างการแข่งขัน เพราะกรรมการคุมเกมไม่ได้ จนกลายเป็นปัญหายามเปแอสเชมาเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พวกเขามักจะเก็บความรู้สึกไว้ไม่อยู่ จนทำให้ทีมเสียสมาธิระหว่างการแข่งขัน

ภาพที่ชัดเจนคือจังหวะที่เปแอสเชเสียประตูแรกในเกมการแข่งขันนัดที่สองกับ เรอัล มาดริด ซึ่ง จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ผู้รักษาประตูของทีม ถูก คาริม เบนเซม่า กองหน้าของทีมราชันชุดขวาฉกบอลไปจากเท้า 

ซึ่งหลังจากเกมจบ เลโอนาร์โด ผู้อำนวยการกีฬาของทีมออกมาให้สัมภาษณ์อย่างหัวเสียว่า ลูกที่ดอนนารุมม่าเสียบอลยังไงก็ต้องเป็นลูกฟาวล์ และถ้าเกมการแข่งขันนี้อยู่ในลีกเอิง กรรมการจะต้องเป่าให้เป็นลูกฟาวล์ของเปแอสเชแน่นอน 

อย่างไรก็ตามหากมองภาพช้าก็เป็นเรื่องยากที่จะตัดสินว่าเป็นลูกฟาวล์ร้อยเปอร์เซ็นต์ในระดับที่เลโอนาร์โดมั่นใจ แต่ทั้งผู้บริหารของเปแอสเชและนักเตะกลับเสียสมาธิมองว่ากรรมการตัดสินผิดพลาด จนเป็นต้นเหตุทำให้ทีมแพ้ ถึงขนาดที่ว่า นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ ประธานสโมสรปารีสฯ และ เลโอนาร์โด บุกไปต่อว่ากรรมการถึงห้องแต่งตัวทีเดียว

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เปแอสเช ยังเป็นทีมที่แข็งแกร่งไม่มากพอที่จะเป็นแชมป์ โดยเฉพาะเรื่องของสภาพจิตใจ แทนที่จะโฟกัสกับเกมการแข่งขันหลังจากเสียประตู แต่กลับเสียสมาธิเพราะการตัดสินที่ไม่ถูกใจ จนไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและต้องตกรอบไปตามระเบียบ

สุดท้ายต้องยอมรับว่า ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ไม่เคยมานั่งทบทวนย้อนมองหาข้อผิดพลาดของตัวเอง รู้จักเรียนรู้ เติบโต เพื่อพัฒนาเป็นสโมสรฟุตบอลที่ดียิ่งขึ้น แต่กลับเหยียบย้ำความผิดพลาดเดิม ๆ จนกลายเป็นทีมที่ถูกล้อเลียนทุกครั้งยามตกรอบฟุตบอลยุโรป เพราะใคร ๆ ก็รู้ดีว่า ทีมดังจากฝรั่งเศสไม่เคยเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองแม้แต่ครั้งเดียว