สถิตินายทวารค่าตัวแพงที่สุดในโลกของ จานลุยจิ บุฟฟ่อน คงอยู่มานานเกือบ 20 ปี จนกระทั่ง อลีสซง เบ็คเกอร์ และ เกปา อาร์ริซาบาลากา มาทำลายลงเมื่อปี 2018
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าในยุคเกือบ 2 ทศวรรษก่อนหน้านี้ ไม่มีทีมใดกล้าทุ่มเงินซื้อผู้รักษาประตูในราคาระดับแพงเวอร์เลยสักครั้ง ยกเว้น บุฟฟ่อน ที่ยอดเยี่ยมจนครองสถิติมาอย่างยาวนาน
เรื่องคุ้มหรือไม่เราคงไม่ต้องถาม แต่ราคาค่าตัวของ บุฟฟ่อน ได้มาจากการทำงานหนักมาตลอด 20 ปี ด้วยมาตรฐานที่สูงทุกปี
และนี่คือเรื่องราวของเขา ติดตามได้ที่ Main Stand
ปีแห่งน้องใหม่.. การรู้หน้าที่เป็นสิ่งสำคัญ
ชื่อของ จานลุยจิ บุฟฟ่อน โด่งดังมานานเหลือเกินตั้งแต่ในยุคที่แฟนบอลบ้านเรายังต้องรอผลบอลกันข้ามวันข้ามคืนจนกว่าหนังสือพิมพ์รายวันจะส่งมาถึงมือ จนกระทั่งยุคโซเชียลมีเดียที่อัปเดตกันนาทีต่อนาที บุฟฟ่อน ก็ยังคงเป็นที่ถูกพูดถึงเสมอ
จุดเริ่มต้นของ บุฟฟ่อน ก็เหมือนกับใครอีกหลายๆคน ในวันที่คุณยังไม่มีชื่อเสียงและไม่มีใครกล้าการันตีความสามารถให้ สิ่งเดียวที่คุณทำได้คือการหาตัวเองให้เจอ ลองผิด ลองถูก จนกระทั่งเจอสิ่งที่ใหญ่ที่สุด และถ้าเจอสิ่งนั้นแล้วก็พุ่งไปให้สุดตัว
เดิมที บุฟฟ่อน ไม่ได้เล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตูมาตั้งแต่แรก เขาเป็นเด็กฝึกหัดของสโมสร ปาร์ม่า รุ่นยู-13 และเป็นผู้เล่นตำแหน่งกองกลางแต่ก็ยังทำได้ไม่ดีนัก ซึ่งในเด็กวัยขนาดนั้นการลองผิดลองถูกเป็นสิ่งที่ดีเสมอ เมื่อคุณผิดพลาดคุณก็แค่ผิดพลาด ไม่ได้ทำให้ใครเสียหาย มีแต่ประสบการณ์เท่านั้นที่ได้มา เขาจึงลองไปเล่นเป็นผู้รักษาประตูแทน จุดเริ่มต้นเกิดจากความประทับใจที่ได้ดูลีลาการเซฟของ โธมัส เอ็นโคโน่ ผู้รักษาประตูทีมชาติแคเมอรูนชุดฟุตบอลโลก 1990
“ในตอนที่ยังเป็นเด็ก ไม่ว่าใครก็อยากจะเป็นนักเตะที่ได้ยิงประตูมากกว่าคนที่ต้องไปเป็นโกลหรือตัวสำรองอยู่แล้ว ผมเองก็ลองไปเรื่อย กองกลางบ้าง กองหน้าก็เคย แต่เล่นยังไงมันก็ไม่ดี จนผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ แต่รู้อะไรไหม คุณมีอะไรให้เสียเหรอ?.. ไม่มีหรอก ผมไม่กลัวความผิดพลาด ผมสนุกกับมัน และผมก็มาเจอกับตำแหน่งประจำของผมโดยบังเอิญ” บุฟฟ่อน เล่าถึงที่มา
“พ่อของผมบอกว่าผมควรจะลองดูสำหรับตำแหน่งผู้รักษาประตู ผมเองก็ไม่ค่อยเต็มใจนักหรอกในตอนแรก แต่พอได้ดูฟุตบอลโลก 1990 ลีลาของ เอ็นโคโน่ ถูกใจผมอย่างแรงเลย ผมดูฟุตบอลโลกครั้งนั้นด้วยความรู้สึกยอดเยี่ยมและเต็มไปด้วยความทรงจำ นอกจากดูทีมชาติอิตาลี ก็มีแคเมอรูนนี่แหละที่ผมตามเชียร์”
นั่นแหละคือที่มาของ บุฟฟ่อน ประการแรกคือทัศนคติของเขาที่พร้อมยอมรับความผิดพลาดและมองหาวิธีแก้ไขเสมอ เด็กบางคนอาจจะหัวดื้อสำหรับเรื่องแบบนี้ แต่ บุฟฟ่อน โชคดีที่เกิดมาในครอบครัวนักกีฬา พ่อของเขาเป็นอดีตนักวิ่งระดับเยาวชนทีมชาติ, แม่ของเขาเป็นนักทุ่มน้ำหนักตัวทีมชาติอิตาลี, ลุงของเขาเป็นนักบาสเกตบอลระดับลีกอาชีพ และน้องสาวของเขาก็เป็นนักวอลเลย์บอลทีมชาติ
การอยู่กับกลุ่มคนที่มีอาชีพเป็นนักกีฬาที่มีประสบการณ์ ทำให้เขาได้เห็นว่าคนเหล่านี้ผิดหวังมาไม่น้อยกว่าจะเดินทางไปถึงจุดสูงสุดของอาชีพ ดังนั้น บุฟฟ่อน จึงได้รับการอธิบายแบบเห็นภาพ มีตัวอย่างให้เห็นชัด และได้รับการปลูกฝังด้วยแนวคิดของการเป็นนักกีฬาอย่างแท้จริง
การยอมรับความผิดพลาดและหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองเป็นเพียงการกรุยทางระยะแรก มันเหมือนกับการลงแรงเอาจอบขุดแร่ขึ้นมาสักก้อน เมื่อเจอแร่ก้อนนั้นแล้วมันอาจจะยังมีราคาไม่มาก แต่ถ้าหากเอาไปผ่านกระบวนการเจียระไน แร่ราคาถูกก็อาจจะกลายเป็นเพชรราคาแพงได้
ขั้นต่อของการเจียระไนในแบบของบุฟฟ่อนในช่วงวัยรุ่นคือ การกระหนักรู้ถึงหน้าที่ของตัวเอง จากนั้นก็คือการทำงานหนักเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา
“สิ่งที่ผมพอจะแนะนำนักเตะวัยรุ่นในตำแหน่งผู้รักษาประตูได้ คือคุณต้องเป็นคนที่รับมือกับความเจ็บปวด (จากความผิดพลาดและความกดดัน) ได้ดีในระดับหนึ่งเลยนะ คุณต้องเป็นพวกมาโซคิสม์ (ชอบความเจ็บปวด) ไม่งั้นมันยากมากที่คุณจะเล่นตำแหน่งนี้ได้แบบเป็นอาชีพ คุณทำในสิ่งที่ไม่เหมือนใครในสนาม ขณะที่คนอื่นใช้เท้าเล่น แต่คุณต้องใช้มือเท่านั้น ความหวังทั้งหมดอยู่ที่คุณ” บุฟฟ่อน เล่ากับ FourFourTwo
“ท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจว่าในการลงเล่นแต่ละครั้ง หน้าที่สำคัญที่สุดคือการป้องกันประตู อย่าได้สูญเสียจุดแข็งนี้เด็ดขาด จากนั้นก็ค่อยๆเรียนรู้วิธีรับมือกับลูกโด่ง ลูกครอส หาวิธีรับบอลต่ำที่เหมาะกับสรีระของตัวเอง”
“ทุกทีมต้องการผู้รักษาประตูที่ยอดเยี่ยมที่รู้จักวิธีเซฟประตูก่อนเสมอ จากนั้นก็ค่อยมาวัดกันว่าผู้รักษาประตูคนไหนจะทำอะไรได้มากกว่านั้นบ้าง ถ้าเล่นบอลกับเท้าได้ดี อันนี้ยิ่งเยี่ยมเลย” บุฟฟ่อน กล่าว
เมื่อรู้หน้าที่ของตัวเองและทำงานหนัก เรื่องที่ว่ายากก็ง่ายขึ้นเอง บุฟฟ่อน ได้ลงเล่นเกมลีกนัดแรกให้ ปาร์ม่า ในเกมเจอกับ เอซี มิลาน ที่มีนักเตะอย่าง จอร์จ เวอาห์, โรแบร์โต้ บาจโจ้ และ อิวาน ซาวิเซวิช ในเกมนั้นเขาจบเกมด้วยการเซฟอุตลุดจน ปาร์ม่า เก็บผลสกอร์ 0-0 มาได้ และหลังจากเกมนั้น ชื่อของ จานลุยจิ บุฟฟ่อน ก็กลายเป็นประวัติศาสตร์
“วันนั้นเป็นวันที่สวยงามที่สุด ช่วงชีวิตของผมเฝ้ารอโอกาสแบบนั้นเสมอ และผมก็ทำได้ดีมากๆที่ไม่เสียประตูเลยสักลูก ก่อนเกมเริ่มผมปลุกเร้าตัวเองให้มั่นใจและบอกตัวเองว่า ทำให้ได้ถ้าอยากจะไปอยู่ ณ จุดที่ตั้งเป้าไว้” บุฟฟ่อน กล่าวถึงเกมแรกของเขา
เป้าหมายชัดเจน ทำงานหนัก และมั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ ทุกอย่างคือจุดเริ่มต้นอาชีพของบุฟฟ่อนอย่างแท้จริง เขาแสดงทุกอย่างที่มีออกมาในวันนั้น ให้คุณลองนึกภาพผู้รักษาประตูวัย 18 ปี ที่ลงเล่นเป็นเกมแรก เซฟเป็นว่าเล่น แถมยังตะโกนใส่รุ่นพี่ที่ยืนผิดตำแหน่ง ร้องเตือนทุกคนในจังหวะอันตราย.. ทุกอย่างกลั่นออกมาจากการทำงานหนักในช่วงของการเป็นนักเตะระดับจูเนียร์อย่างแท้จริง
“ถามว่าวันนั้นผมตะโกนใส่กองหลังคนอื่นไหม? ผมคิดว่าผมทำแน่นอนเลยล่ะ ไม่ใช่เพราะผมเก๋าหรืออะไร แต่มันคือสิ่งสำคัญที่ผู้รักษาประตูต้องทำก็เท่านั้นเอง” บุฟฟ่อน ว่าไว้เช่นนั้น
ปีที่มีชื่อเสียง.. แค่อยู่กับที่ = ถอยหลัง
หลังจากเรื่องราวการประสบความสำเร็จกับ ปาร์ม่า ที่พาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ ได้ บุฟฟ่อน ก็ได้โอกาสย้ายไปเล่นให้กับ ยูเวนตุส ด้วยราคา 45 ล้านยูโร ในปี 2001 มันอาจจะเร็วไปหน่อยที่จะบอกว่านี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขา แต่ทำไมจะพูดแบบนั้นไม่ได้ล่ะ? ในยุคที่นักเตะเก่งๆคนหนึ่งมีราคาราว 20 ล้านก็สุดหรูแล้ว แต่นี่คือผู้รักษาประตูที่ราคามากกว่าร่วม 2 เท่า.. มันย่อมหมายถึงว่าเขาเป็น 1 ในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในโลกมิใช่หรือ?
ต่อจากนี้จึงเป็นพาร์ตของช่วงเวลาที่ยากที่สุดในชีวิตการทำงานไม่ว่าจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพหรืออาชีพไหนก็ตาม เมื่อคุณได้โอกาส มีรายได้ และมีชื่อเสียงแล้ว สิ่งที่คุณต้องทำต่อไปคือการรับมือกับความมั่งคั่งต่างๆที่ถาโถมมาให้ได้
จากคนที่เคยเดินไปชอปปิ้งสบายๆ กลายเป็นคนที่มีผู้คนรุมล้อมตลอดทางโดยที่ไม่มีเวลาส่วนตัว, จากเด็กวัยรุ่นที่มีเงินใช้ไปวันๆ สู่ชายหนุ่มที่มีเงินเข้าบัญชีสัปดาห์ละหลายล้าน, จากคนที่เดินไปไหนก็มีแต่คนชมว่าหมอนี่ทำงานเก่งชะมัด สู่วันที่เข้าไปสู่องค์กรที่ใหญ่กว่า มีผู้ร่วมงานเป็นยอดฝีมือ และมีการจับจ้องและจับผิดจากคนภายนอกมากกว่า.. ทั้งหมดนี้แหละคือสิ่งที่ บุฟฟ่อน ต้องเผชิญ
ต่อจากนี้ความผิดพลาดของเขาจะมีราคาแพงมากกว่าตอนเป็นวัยรุ่นมากๆ ความกดดันจะเกิดขึ้นทุกวินาที ดังนั้น บุฟฟ่อน ยืนยันเลยว่าข้อเดียวของช่วงอาชีพที่ประสบความสำเร็จนั้น สิ่งสำคัญคือ “สู้กับใจตัวเองให้ชนะ”
“ผู้คนพูดถึงราคาค่าตัวของผม แต่พูดตรงๆ ผมพยายามบอกให้ตัวเองภูมิใจกับสิ่งนั้น อย่าได้เอามาคิดว่ามันเป็นปัญหาอะไรเลย ผมคิดว่าถ้ายูเวนตุสยอมซื้อผมในราคาขนาดนี้ นั่นเท่ากับว่าพวกเขาคงคิดแล้วว่าไอ้หมอนี่มันเก่งจริงๆ” บุฟฟ่อน กล่าวถึงเรื่องความเชื่อมั่นในตัวเอง
“การที่ค่าตัวผมมีราคาแพงนั้นมันแสดงให้เห็นว่าฟุตบอลยุคใหม่เปลี่ยนไปแล้ว ผู้รักษาประตูมีส่วนสำคัญมากสำหรับทีมที่จะประสบความสำเร็จ ผู้รักษาประตูไม่ได้ด้อยค่าน้อยไปกว่ากองหน้า ดังนั้น มันก็คู่ควรกับการจะมีราคาแพงพอๆกันนั่นแหละ”
“ถ้าไม่ก้าวไปข้างหน้ามันก็เป็นการย่ำอยู่กับที่ ต่อให้ยูเวนตุสจะซื้อผม 5 ล้านยูโร ถ้าถามว่าผมจะย้ายทีมไหม? แน่นอน ผมเอาแน่ แต่เชื่อเถอะว่านี่คือกลไกของราคา ถ้าสมมติว่า 5 ล้านยูโรจริง ฝั่งปาร์ม่าก็คงไม่ชอบใจแน่” บุฟฟ่อน ย้อนกลับไปเล่าเหตุการณ์นั้นอย่างอารมณ์ดี
บุฟฟ่อน พยายามจะบอกว่าตัวเลขและราคาไม่ได้สำคัญเท่ากับผลงานในสนามเลย โลกของฟุตบอลมีเพียง 2 สิ่งเท่านั้นที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ 1 คือผลงานในสนาม และ 2 คือผลการแข่งขัน.. ชนะก็คือชนะ เล่นได้ยอดเยี่ยมก็แปลว่ายอดเยี่ยม ไม่มีการพลิกแพลงเล่นลิ้นใดๆทั้งสิ้น มองข้ามขั้นตอนที่ยุ่งยากทั้งหมดไป ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองไปถึงผลลัพธ์ให้ได้ แค่นั้นก็พอ
สิ่งที่ บุฟฟ่อน พูดมันดูง่ายมาก เพราะเขาเป็นคนที่ทำมันสำเร็จแทบทุกอย่าง ยกเว้นเสียแต่ถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก กับฟุตบอลยูโรเท่านั้นที่เขาไม่ได้สัมผัส แต่อย่างน้อยๆ ในปีของการทำงานที่พีคที่สุดเขาก็ไปได้ไกลถึงการเป็นแชมป์โลก และนั่นเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนยอมรับแต่โดยดีว่า “เขาคือนัมเบอร์วัน” เท่านี้ก็เพียงพอสำหรับคำถามทั้งหมดแล้ว
ทุกอย่างส่งต่อและเกื้อหนุนกัน ฝันในวัยเด็ก การทำงานหนักในวัยรุ่น การทำตัวให้เป็นมืออาชีพในช่วงเริ่มต้น และการรักษามาตรฐานไว้ในวันที่มีชื่อเสียง นี่คือสิ่งที่ บุฟฟ่อน เชื่อมั่นมาเสมอ
“หากไม่มีฝันก็คงยากที่จะไปถึงจุดสูงสุด ตอนเด็กๆผมฝันไว้ใหญ่โต ฝันว่าจะเป็นนักเตะที่คว้าแชมป์ โตขึ้นมาอีกหน่อยผมก็เก็บสะสมสมุดสติ๊กเกอร์ฟุตบอลโลก และฝันว่าจะได้เล่นในเซเรีย อา และติดทีมชาติอิตาลี”
“ฟุตบอลโลกสำหรับใครหลายคนเป็นสิ่งที่เกินฝัน แต่เมื่อคุณไปถึงจุดนั้นได้คุณจะพบว่านี่แหละคือรางวัลสูงสุดของอาชีพนี้ มันคือการปักหมุดว่าคุณได้เอาชนะทุกอย่างและประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งมีน้อยคนที่จะทำตามได้ และแน่นอนว่าถ้าไปถึงจุดนั้นได้ ต่อให้ตายตอนนี้ก็ให้คิดเสียว่าคุ้มแล้วที่ได้เกิดมา”
ปีแห่งชายสูงวัย.. ทำตัวให้น่าเคารพ ส่งต่อความรู้ให้คนรุ่นหลัง
อย่างที่ทุกคนรู้กัน ตอนนี้ จานลุยจิ บุฟฟ่อน ยังคงไม่ได้แขวนถุงมือ เขาอายุ 43 ย่าง 44 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นผู้รักษาประตูของทีม ปาร์ม่า อยู่เหมือนกับตอนที่เขาอายุ 16 ปี
เขาเป็นคนที่รักษามาตรฐานของตัวเองมาได้ตลอดอาชีพอย่างยาวนาน แต่อะไรที่ทำให้เขาอยู่ในวงการได้นานขนาดนี้ แม้ว่าบางครั้งเขาจะไม่ใช่ตัวหลักของทีมอีกต่อไปกันล่ะ?
คำตอบของคำถามนี้ย้อนไปที่ทั้งหมดที่คุณอ่านมาจนถึงตอนนี้ เพราะทุกอย่างที่เขาผ่านมาคือสิ่งที่ควรค่าแก่การส่งต่อนั่นเอง ประสบการณ์เหล่านี้คือสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ และถ้า บุฟฟ่อน ไม่ส่งต่อให้ใคร มันคงเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง
สิ่งที่แรกที่ บุฟฟ่อน ถ่ายทอดให้ทุกคนได้เห็นเสมอโดยแทบไม่ต้องพูดเลยคือการทำงานหนักและทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนตอนเป็นวัยรุ่น โลกฟุตบอลพัฒนาไปข้างหน้าทุกวัน ปัจจุบันผู้รักษาประตูนั้นมีบทบาทกับเกมมากกว่ายุคที่ บุฟฟ่อน เริ่มเดบิวต์ในอาชีพเยอะ แต่เขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าแม้จะเข้าสู่วัย 30 ปลายๆหรือจนถึงปัจจุบัน เขาก็ยังพยายามปรับตัวให้ทันโลกอยู่เสมอ
“ยุคสมัยเปลี่ยนไป คนเราก็ต้องหมุนตามให้ทัน ทุกวันนี้มีผู้รักษาประตูหลายคนที่เก่งมาก แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกมองข้าม เพียงเพราะว่าพวกเขาจ่ายบอลกับเท้าได้ไม่เก่ง ยุคผมไม่เคยมีใครคิดถึงเรื่องนี้กันหรอก แต่ทุกวันนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว” บุฟฟ่อน กล่าว
บุฟฟ่อน พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองในวัย 30 ปลายๆ ซึ่งถือว่าไม่ง่ายเลย บางครั้งเขาอาจจะพลาดเพราะอายุมากขึ้น และต้องเปลี่ยนวิธีเล่นไปเล่นแบบที่แตกต่างจากที่เขาเคยทำมาตลอดอาชีพ แต่มันคือธรรมชาติของมนุษย์ ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะแก้ไขหรือปล่อยให้มันเกิดขึ้นซ้ำๆ
บุฟฟ่อน เองก็ยอมรับว่าอาจจะมีปัญหากับแนวทางของการเล่นฟุตบอลสมัยใหม่ แต่สิ่งที่เขาทำได้คือการเตรียมตัวให้พร้อม ดูแลตัวเองให้ดี และทำให้ทุกคนเห็นว่าที่เขายังอยู่กับทีมได้ไม่ใช่เป็นเพราะชื่อเสียงเก่าๆ แต่เป็นเพราะเขาพยายามอย่างมากที่จะเป็นคนที่สร้างประโยชน์ให้กับทีมให้ได้
“มีคนบอกว่าเมื่อมาถึงช่วงอายุเท่าๆกับผม (ให้สัมภาษณ์ตอนอายุ 41 ปี) ความเสื่อมของร่างกายก็เกิดขึ้นตามวัฏจักร แต่ว่าก็ว่าเถอะ ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ผมแค่เชื่อในความรู้สึกของตัวเอง ผมรู้สึกว่าไหวก็แสดงว่าไหว ตัวเลขอายุไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรมากเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คุณจะอายุ 41 ปี และอยู่ดีๆร่างกายของคุณก็พังทลายลงไปเสียเมื่อไหร่ จริงไหม?”
ที่สุดแล้วอาชีพของ บุฟฟ่อน ยังคงดำเนินต่อไป เพราะเขาเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของความสุขและการเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง วันใดที่เขาไม่ไหวเขาก็จะไม่อยู่เป็นภาระทีมแน่นอน แต่ทุกวันนี้ความเชื่อของเขายังคงเหมือนเดิม ฟุตบอลคือชีวิต คือความเอนเตอร์เทน และเขายังคงหลงใหลในการเป็นผู้ชนะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
และนี่คือช่วงชีวิตทั้ง 3 ช่วงที่ถูกบันทึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลของ 1 ในผู้รักษาประตูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง จานลุยจิ บุฟฟ่อน ผู้ที่เป็นของจริงแบบปฏิเสธไม่ได้