ทันทีที่ เยอร์เกน คล็อปป์ ต่อสัญญากับ ลิเวอร์พูล ออกไปถึงปี 2026 คำถามที่สื่อทั่วอังกฤษส่งไปถึง เป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่รักคู่แค้นของทัพหงส์แดงยุคนี้คือ “คุณจะเปลี่ยนใจต่อสัญญากับทีมหรือไม่ ?” เนื่องจากก่อนหน้านี้ เป๊ป เคยออกมายืนยันว่าเขาจะวางมือจาก แมนฯ ซิตี้ หลังจบฤดูกาล 2022-23
ว่ากันว่าไม่มีใครใหญ่เกินกว่าคำว่าทีม แต่สำหรับ แมนฯ ซิตี้ ยุคนี้ที่จะพูดว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดในโลกเมื่ออยู่ในมือเป๊ปก็ได้ พวกเขาจะไม่เป็นไรแน่หรือ ?
เราจะลองไปหาคำตอบนี้ไปด้วยกัน ติดตามได้ที่ Main Stand
ธรรมชาติของ เป๊ป
เป๊ป กวาร์ดิโอลา คือกุนซือระดับอัจฉริยะที่เปลี่ยนแปลงโลกฟุตบอลหลังยุค 2010s อย่างแท้จริง เขาเริ่มงานจาก บาร์เซโลน่า ชุดบี 1 ปี ก่อนจะทำให้โลกประจักษ์ด้วยการขยับมาเป็นกุนซือของทีมชุดใหญ่ และนำมาสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในโลกของฟุตบอลนั่นคือการเล่นแบบ “ติกิ-ตากา” ที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน
การครองบอลบุกอยู่ฝั่งเดียว หนึ่งเกมมีโอกาสได้ครองบอลมากกว่า 70% บางเกมทะลุหลัก 80% เลยด้วยซ้ำ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความแปลกใหม่ แต่สิ่งที่เป๊ปทำนั้นยังเป็นการการันตีผลสำเร็จในแง่ของถ้วยรางวัลด้วย เพราะไม่ว่า เป๊ป จะไปที่ไหน เขาจะพาทีมนั้นเป็นแชมป์ได้เสมอ ไม่ว่าจะกับ บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น หรือ แมนฯ ซิตี้
เรื่องความเก่งกาจ ความสร้างสรรค์ และความสำเร็จที่การันตี คงไม่ต้องอธิบายกันเยอะให้มากความ แต่สิ่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้การงานของ เป๊ป คือเขามักจะถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่รับโปรเจ็กต์ยาว ๆ หรือการสร้างทีมขึ้นมาใหม่จาก 0
เขาคุม บาร์เซโลน่า 4 ปี, คุม บาเยิร์น มิวนิค 3 ปี และ คุมทีมแมน ฯ ซิตี้ ณ ปัจจุบันอีก 6 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ เป๊ป เองก็ออกมาเปิดเผยว่าเขาจะวางมือจาก แมนฯ ซิตี้ หลังจากหมดฤดูกาล 2022-23 หรือในฤดูกาลหน้า
โดยเขาเปิดเผยแผนของตัวเองว่าหลังจากปี 2023 จะขอพักก่อน เนื่องจากถึงตอนนั้นจะคุมทีมต่อเนื่องถึง 7 ปี โดยการหยุดครั้งนี้เป็นการหยุดพักเพื่อเรียนรู้จากโค้ชคนอื่น ๆ แล้วจึงค่อยฝึกฝนตัวเองสำหรับทัวร์นาเมนต์ระดับทีมชาติ ไม่ว่าจะเป็นยูโร, โคปา อเมริกา และ ฟุตบอลโลก
แม้การยืนยันดังกล่าวจะบอกได้ว่า เป๊ป เป็นกุนซือที่ไม่ติดอยู่กับทีมไหนทีมเดียว ชอบความท้าทายและไม่ยึดติดกับเรื่องเดิม ๆ ที่เคยทำ ทว่าการจะบอกว่าเขาเป็นคนไม่ทะเยอทะยานหรือจะบอกว่าเขาเป็นกุนซือสาย “ทำทีมใหญ่” ที่สร้างเองไม่เป็นคงจะไม่ถูกนัก โดยเฉพาะงานที่ แมนฯ ซิตี้ ณ ปัจจุบัน
แม้หลายคนจะบอกว่าเป็นการเข้ามาคุมทีมที่พร้อมทุกอย่างทั้งนักเตะและเงินทุน แต่นักเตะดี ๆ และงบประมาณมากมายก็ใช่ว่าจะการันตีความสำเร็จได้ ตัวอย่างง่าย ๆ เช่นทีมเพื่อนบ้านของพวกเขาอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ลงทุนไปหลายร้อยล้านปอนด์ แต่ยิ่งทำก็ยิ่งเละจับต้นชนปลายไม่ถูก นั่นแสดงให้เห็นว่า “เฮดโค้ช” สำคัญกับการกำหนดทิศทางของสโมสรขนาดไหน
สิ่งที่ แมนฯ ซิตี้ เป็นอยู่ทุกวันนี้เครดิตจำนวนมากต้องยกให้ เป๊ป ที่ปลูกฝังทัศนคติ วิธีการเล่น และทำให้นักเตะภายในทีมเข้าใจว่าเขาต้องการให้ทีมมีคาแร็กเตอร์แบบไหน คุณคงเคยได้เห็นคลิปการซ้อมของ แมนฯ ซิตี้ กันมาบ้าง โดยเฉพาะในช่วงปีแรกที่ เป๊ป เข้ามา ณ เวลานั้นผลงานของทีมยังไม่ดี เป๊ป แทบจะลงไปจับนักเตะแต่ละคนยืนตำแหน่งในสนามซ้อมเลยด้วยซ้ำ ชัดเจนที่สุดก็คือการจี้ไปที่รายของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง จนสุดท้ายปีกร่างเล็กก็กลายเป็นนักเตะคนสำคัญของทีมมาจนถึงทุกวันนี้
เจมี่ แจ็คสัน จาก เดอะการ์เดียน ได้สัมภาษณ์นักเตะของ แมนฯ ซิตี้ หลังจากที่ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2020-21 และพวกเขาได้คำตอบว่านักเตะทุกคนตอบตรงกันโดยไม่ต้องเตี๊ยมว่า “เป๊ป กวาร์ดิโอลา คือกุนซือที่เก่งและดีที่สุดที่พวกเขาเคยร่วมงานด้วย”
“นักเตะของ แมนฯ ซิตี้ เล่าว่า เป๊ป คือผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดไม่ว่าจะสำหรับกุนซือที่พวกเขาเคยร่วมงานด้วยหรือแม้กระทั่งหากเทียบกับกุนซือทั้งหมดบนโลกนี้”
“เขาทำให้นักเตะในทีมเข้าใจได้ชัดเจนถึงจุดยืนและภาพรวมของทีม ละลายพฤติกรรมและสร้างความสมดุลให้กับความสัมพันธ์ในทีมที่ทำให้แม้แต่นักเตะระดับโลกก็ยังไร้ซึ่งอีโก้ หรือแม้แต่นักเตะตัวจริงที่หลุดไปเป็นตัวสำรองในปีที่ผ่านมาอย่าง อายเมอริก ลาปอร์ต และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ก็ยังคงกระหายที่จะแสดงผลงานในสนามเพื่อตอบกลับว่าเจ้านายของเขากำลังคิดผิด”
“หากถามว่า เป๊ป เป็นกุนซือประเภทไหน ? คำตอบที่ตามมาคือเขาปรากฏตัวเป็นผู้จัดการในรูปแบบที่คล้ายกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สิ่งที่เขาสร้างขึ้นให้กับ แมนฯ ซิตี้ ณ เวลานี้ปรากฏเป็นเวอร์ชั่นย่อของอาณาจักรของ เฟอร์กูสัน ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด”
“แม้อายุงานของ เป๊ป จะไม่ใกล้เคียงกับการดำรงตำแหน่งของ เฟอร์กูสัน ที่คุมทีมมานานกว่า 26 ปี แต่การเปลี่ยนแปลงและถ้วยแชมป์ที่ไหลมาเทมาทำให้เราพูดได้เต็มปากเลยว่าคลาสของเขาเทียบชั้นกับ เฟอร์กูสัน ไปแล้ว” เจมี่ แจ็คสัน เขียนในบทความ
จากทั้งหมดที่กล่าวมาในข้างต้นจะเห็นได้ว่า เป๊ป เองก็เป็นกุนซือที่สร้างทีมได้ไม่แพ้กุนซือคนไหนบนโลก ดังนั้นหากสิ่งที่เขายืนยันว่าปี 2023 จะเป็นปีสุดท้ายของเขาที่ แมนฯ ซิตี้ จริงอะไรจะเกิดขึ้นกับสโมสรแห่งนี้ ?
ขาดสมอง … ไม่ต้องถามหาผลลัพธ์
อย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้น แม้ แมนฯ ซิตี้ จะเป็นสโมสรที่มีความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน มีงบประมาณในการสร้างทีม และเหนือสิ่งอื่นใด ณ ปัจจุบันพวกเขามีสิ่งที่หลายคนเคยปรามาสว่า “ไร้ประวัติศาสตร์” ด้วยการเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเกาะอังกฤษ
แน่นอนทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยการสร้างของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อขาดเขาไปสิ่งที่ต้องเกิดตามมา 100% คือผลกระทบในแง่ลบ ไม่ว่าอย่างไรคุณภาพของทีมจะต้องสูญเสียไปแน่ ไม่ว่าจะมีกุนซือคนไหนเข้ามาสานต่องานของเขา
ย้อนกลับไปที่ตัวของเขาเองในวันที่ เป๊ป เข้ามาคุมทีม แมนฯ ซิตี้ ในปี 2016 เขาก็ต้องเจอปัญหาในเรื่องการปรับตัวเปลี่ยนแปลงไม่น้อย สไตล์การเล่นแบบ ติกิ-ตากา ไม่สามารถตอบโจทย์ได้เหมือนเก่า ไม่ว่าจะตอนทำงานที่ บาร์เซโลน่า หรือกับ บาเยิร์น ด้วยเหตุผลของคุณภาพนักเตะ และเหนือสิ่งอื่นใดคือคุณภาพของลีกที่ทุก ๆ ทีมล้วนมีโอกาสพลิกแพ้พลิกชนะกันได้ทั้งนั้น
อีกทั้งนักเตะที่ซื้อมาเสริมทัพก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิด โดยในปีนั้น แมนฯ ซิตี้ จบอันดับ 3 ของลีก, ตกรอบตัดเชือกเอฟเอ คัพ, ตกรอบ 4 คาราบาวคัพ และตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นยากเสมอ
นอกเหนือจากความสำเร็จและรูปแบบการเล่น สิ่งที่ แมนฯ ซิตี้ จะต้องคิดหนักหาก เป๊ป วางมือจริงตามที่เขาบอกคือ พวกเขาจะต้องสูญเสียคนที่เชื่อมต่อเบื้องหน้าสู่เบื้องหลังของทีมไปอย่างแน่นอน
เพราะทันที่สโมสรดึงตัว ซิกิ เบกิริสไตน์ ผู้อำนวยการสโมสรของ บาร์เซโลน่า มาร่วมทีม การทำงานที่เข้าขารู้ใจกันระหว่างคนใช้นักเตะกับคนซื้อนักเตะ (เป๊ป และ ซิกิ) ก็ลงตัวกลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ติดลมบนมาจนทุกวันนี้
“เราทำงานร่วมกันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อเราชนะเราพยายามวิเคราะห์ว่าทำไมเราถึงชนะ เมื่อเราแพ้เราก็ทำแบบเดียวกัน เราไม่ตัดสินคนอื่นแต่เราต่างทำงานเต็มที่เพื่อสโมสรแห่งนี้”
“ในช่วงเวลาที่เลวร้ายเราสองคนจะรวมหัวกันหนักยิ่งกว่าที่เคย เมื่อมีช่วงเวลาที่ดีเราจะเฉลิมฉลองร่วมกันด้วยไวน์สักแก้ว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการทำงานที่สโมสรแห่งนี้กับคนอย่าง ซิกิ จึงถือเป็นหนึ่งในความสุขของผม” เป๊ป เล่าถึงบรรยากาศการทำงานที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของสโมสร
หากขาด เป๊ป ไปสักคนมันสมองอีกส่วนอย่าง ซิกิ ก็จะต้องทำงานยากขึ้น เพราะทั้งคู่คือคนที่เอาเงินของสโมสรมาใช้อย่างคุ้มค่า การขาดใครไปสักคนจะทำให้เสถียรภาพในการทำงานระหว่าง “คนฉากหน้า กับ คนเบื้องหลัง” ลดลงไปอย่างไม่ต้องสงสัย
และคงต้องกล่าวอ้างถึงเพื่อนบ้านของพวกเขาอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด อีกสักครั้งเพื่อยกมาเป็นตัวอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด มีคนที่เกี่ยวข้องกับตลาดซื้อขายมากมายจนไม่รู้ว่าใครคือคนตัดสินใจคนสุดท้ายว่าจะซื้อหรือขายนักเตะคนไหน นั่นทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปีศาจแดง ซื้อใครเข้ามาก็ดูจะล้มเหลวและไม่สามารถสร้างผลกระทบในแง่บวกให้กับทีมไปเสียหมด
เราไม่ได้บอกว่า แมนฯ ซิตี้ จะจับต้นชนปลายไม่ถูกขนาดนั้น แต่อย่างที่ได้กล่าวไว้ เมื่อคุณมีคน 2 คนในองค์กรที่รับหน้าที่สำคัญ และทั้งสองคนเข้าขารู้ใจทำงานด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและราบรื่นความสำเร็จก็จะตามมา ดังนั้นถ้า เป๊ป ต้องโบกมือลาจริง ปัญหาทั้งเรื่องการใช้นักเตะ วิธีการเล่น การสื่อสารภายในทีม การซื้อใจนักเตะ และสำคัญที่สุดคือการทำงานร่วมกับฝ่ายหลังบ้าน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่สโมสรจะต้องเจออย่างแน่นอน
เว้นเสียแต่ว่าจะมีบางอย่างที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของ เป๊ป ซึ่งตอนนี้มันอาจเกิดขึ้นแล้ว
เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน
อย่างที่หลายคนทราบกัน ณ ตอนนี้ หรือ 3 ฤดูกาลหลังสุดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกแทบจะผูกขาดการแย่งแชมป์ระหว่าง 2 สโมสรนั่นคือ แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งจุดนี้เองเป็นสิ่งที่ เป๊ป ไม่เคยเจอมาก่อน
สมัยอยู่กับ บาร์เซโลน่า เป๊ป พาทีมคว้าแชมป์ครบทุกรายการและสร้างยุคสมัยที่ไร้เทียมทานจนเขาหมดความท้าทายและย้ายออกมา ต่อด้วยที่ บาเยิร์น ที่เขาทำทีมคว้าแชมป์ลีกทุกปีง่าย ๆ แบบแต้มทิ้งขาดเป็นเวลา 3 ฤดูกาลติดต่อกัน แม้จะไม่ได้ถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก แต่ปัญหา ณ เวลานั้นที่ทำให้เขาออกคือวิธีการทำงานของเขาไม่สัมพันธ์กับแผนงานขององค์กรจึงทำให้เขาต้องมาอยู่กับทีมปัจจุบันอย่าง แมนฯ ซิตี้
ความแตกต่างระหว่างที่ บาร์เซโลน่า และ บาเยิร์น กับงานปัจจุบันที่ แมนฯ ซิตี้ คือ เป๊ป ไม่เคยรู้สึกว่าเขาถูกลูบคมและท้าทายมากมายขนาดนี้มาก่อน ทีม ลิเวอร์พูล ในยุค เยอร์เกน คล็อปป์ หายใจรดต้นคอของ แมนฯ ซิตี้ ในยุคของ เป๊ป อย่างไม่ลดละ และยังเคยเหนือชั้นจนถึงขั้นคว้าแชมป์ด้วยแต้มที่ทิ้งห่างถึง 18 แต้ม หากจะถามว่าอะไรที่อาจทำให้ เป๊ป เปลี่ยนใจกลับคำเรื่องการออกจากทีมในปี 2023 ก็คงต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล ในยุคของ คล็อปป์ นี่แหละที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมาก
“5 ปีหลังสุด พวกเขา (ลิเวอร์พูล) คือคู่แข่งที่สำคัญที่สุด พวกเขาสุดยอดมาก ๆ เป็นคู่แข่งที่วิเศษมาก ๆ เรามีเกมที่ดีหลายครั้ง และผมก็สนุกกับความท้าทายครั้งนี้มาก”
“เยอร์เกน คือเฮดโค้ชที่ถือเป็นคู่ปรับที่แข็งแกร่งที่สุดในเส้นทางอาชีพของผม เราทั้งคู่ต่างมีทีมฟุตบอลที่ดี และพวกเราก็มีแนวทางของตัวเอง พวกเขาเป็นบททดสอบที่ดีมากจริง ๆ” นายใหญ่เรือใบสีฟ้า กล่าว
แม้ตอนนี้ เป๊ป อาจจะชนะ คล็อปป์ ในแง่ของถ้วยรางวัลที่พวกเขาเป็นคู่แข่งกันโดยตรง มันบอกอะไรได้หลายอย่าง เป๊ป ที่เคยบอกว่าจะวางมือในปี 2023 และ คล็อปป์ ก็เคยบอกว่าจะอยู่กับ ลิเวอร์พูล ไม่เกินปี 2024 แต่ตอนนี้เกมมันเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อ คล็อปป์ ประกาศเดินหน้ากับ ลิเวอร์พูล ต่อไปถึงปี 2026
นั่นหมายความว่าหาก เป๊ป วางมือในปี 2023 ลิเวอร์พูล ก็มีสิทธิ์จะกวาดความสำเร็จในทุก ๆ การแข่งขันง่ายดายขึ้นกว่าเดิม และเมื่อถึงตอนนั้นถ้วยรางวัลรวม เกียรติยศ และการถูกกล่าวถึงในแง่ของความยิ่งใหญ่ก็อาจจะอยู่ทางฝั่ง ลิเวอร์พูล มากกว่า แมนฯ ซิตี้ ในยุคของเขาก็เป็นได้
การแข่งขันกับ ลิเวอร์พูล คืองานที่ยากและท้าทายที่สุดในชีวิตของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา หากเขาออกจากทีมจริง ไม่ใช่แค่ แมนฯ ซิตี้ เท่าที่ได้รับผลกระทบ ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเองก็จะเปลี่ยนไปในแง่ของความเข้มข้นและคุณภาพ
ถึงตอนนั้นจริง ๆ อาจจะไม่มีทีมไหนต้านทาน ลิเวอร์พูล ได้ดีเท่ากับ แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป ก็เป็นได้ เพราะหากมอง ณ เวลานี้สโมสรอื่น ๆ ก็ยังอยู่ในช่วงของการสร้างใหม่ทั้งสิ้น อาทิ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคของ เอริค เทน ฮาก ที่ไม่มีใครกล้าการันตีความสำเร็จ, เชลซี ยุคเปลี่ยนเจ้าของทีมใหม่ และ อาร์เซน่อล ที่มีวิธีการทำทีมชัดเจนโดยเฉพาะการใช้งบประมาณน้อยกว่าที่เคยเป็น
ที่สุดแล้วแม้ เป๊ป จะบอกว่าการต่อสัญญาของ คล็อปป์ จะไม่ได้มีผลในการต่อสัญญาของเขา แต่หากพิจารณาดูแล้วจะมีความท้าทายไหนที่ใหญ่กว่านี้อีก ? ยิ่งอ้างอิงจากการออกจากงานเก่าแต่ละครั้งของ เป๊ป ก็ยิ่งพบว่ามันมีเหตุผลมาจากความอิ่มตัวทั้งสิ้น ซึ่งกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ณ เวลานี้ เขายังไม่สามารถพูดคำว่า “เก่งที่สุด” ได้อย่างเต็มปาก … ดังนั้นโอกาสต่อสัญญาของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เองก็น่าจะมีไม่น้อยหากพิจารณาจากทั้งหมดที่เราได้กล่าวมา