ฤดูกาล 2021-22 อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช ดาวยิงของ ฟูแล่ม ทำลายสถิติผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลในลีกรองได้สำเร็จด้วยการยิงไปถึง 43 ประตูจาก 42 นัด … นี่คือฟอร์มที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาและเป็นตัวเลขที่อีกนานกว่าที่ใครจะทำลายได้
อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่ มิโตรวิช และต้นสังกัดของเขาทำผลงานได้ดีและเลื่อนชั้น ก็มักจะมีคำปรามาสว่า “ดีแค่ในลีกรอง” เพราะ ฟูแล่ม ตกชั้นทันทีในฤดูกาลถัดจากการเลื่อนชั้นมา 2 หนติด และ มิโตรวิช ก็ผลงานแย่ทุกครั้งเมื่อได้เล่นในลีกสูงสุด
คำถามคือ เพราะอะไรกองหน้าที่ยิงยังไงก็เข้าในระดับลีกรอง แต่กลับไม่สามารถทำผลงานให้ดูน่ากลัวได้เลยเมื่ออยู่ในลีกสูงสุด ?
ติดตามเรื่องราวของเขาและหาคำตอบของคำถามนี้ไปพร้อมกันที่ Main Stand
Wonderkid
ต่อให้คุณไม่เคยดูฟุตบอลลีกเซอร์เบียหรือลีกเบลเยียม ซึ่งเป็นสถานที่ฟูมฟักฝีเท้าของ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช ในช่วงวัยทีนเอจ เราก็เชื่อเหลือเกินว่าหากคุณเป็นคอบอล ชื่อของ มิโตรวิช นั้นปรากฏให้เห็นเสมอไม่ว่าจะบนหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ หรือแม้กระทั่งอ้างอิงจากในเกมที่มีฐานข้อมูลเชื่อถือได้อย่าง Football Manager หรือ FM ก็ตาม
มิโตรวิช ถูกจัดให้อยู่ในระดับ วันเดอร์คิด หรือนักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตามองมาตลอด โดยเฉพาะหลังช่วงปี 2010 เป็นต้นมา ซึ่งตัวตนจริง ๆ ของเขาก็ไม่ธรรมดา ด้วยการขึ้นเป็นตัวหลักของ ปาร์ติซาน ทีมดังในเซอร์เบียบ้านเกิดตั้งแต่อายุ 18 ปี กลายเป็นดาวซัลโวของลีกตั้งแต่ปีแรกที่ลงสนาม คว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยม และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของลีกไปครองแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
ปีต่อมา มิโตรวิช ถูกซื้อตัวไปอยู่กับ อันเดอร์เลช ด้วยราคา 5 ล้านปอนด์ ในปี 2013 เนื่องจาก 2 ปีก่อนหน้าในปี 2011 สโมสรได้ขาย โรเมลู ลูกากู ไปให้กับ เชลซี และยังหาตัวตายตัวแทนในตำแหน่งกองหน้าเบอร์ 9 ไม่ได้เลย ซึ่งการคว้าตัว มิโตรวิช ถือว่าเป็นจิ๊กซอว์ที่ลงล็อกของ อันดอร์เลช โดยเฉพาะวิธีการเล่นในกรอบเขตโทษที่เฉียบขาด เรียกว่าเป็นกองหน้าแท้ ๆ เหมือนกับนักเตะยุคเก่า ๆ เลยก็ว่าได้ ถึงแม้จะไม่เร็วมากแต่ก็แทนที่มาด้วยจำนวนประตูที่น่าประทับใจเสมอ
เมื่อมีคนถามว่าฝีเท้าของเขาเหมือนกับนักเตะดังในอดีตคนไหน สุดท้ายเจ้าตัวเลือกตอบว่า “อลัน เชียเรอร์” ตำนานกองหน้าของนิวคาสเซิล ในพรีเมียร์ลีก คือคนที่มีความคล้ายมากที่สุด
“ถามจะถามถึงสไตล์การเล่นของผม ผมคิดว่าคงออกแนวดุดัน แข็งแกร่ง และเป็นนักผลิตสกอร์เป็นหลัก ผมคือนักเตะในแบบของหมายเลข 9 จริง ๆ และกรอบเขตโทษคือพื้นที่ของผม ส่วนต้นแบบคือ อลัน เชียเรอร์ เขาเป็นตำนานของแท้ที่เล่นในสไตล์ที่ผมชอบ รวมถึงมีวิธีการแบบเดียวกันกับที่ผมอยากเล่นด้วย” มิโตรวิช อธิบายตัวเองเมื่อตอนอายุ 20 ปี
สิ่งที่เขาบอกอาจะไม่ได้เกินจริงมากมายนัก มิโตรวิช เป็นดาวรุ่งที่ตัวใหญ่แข็งแกร่ง ปีแรกที่เล่นกับ อันเดอร์เลช เขายิงไปได้ 16 ประตจากทุกรายการ ขณะที่อีก 1 ฤดูกาลต่อมาเขาเล่นอย่างสมราคาวันเดอร์คิดด้วยการยิง 28 ประตู พาทีมคว้าแชมป์ลีกและคว้ารางวัลดาวซัลโวลีกเบลเยียม จากนั้นเขาก็ถูก นิวคาสเซิล ซื้อตัวไปร่วมทีมด้วยราคา 13 ล้านปอนด์ ในปี 2015
ลีกอังกฤษยากกว่าที่คิด
“ผมคิดว่าผมยิงได้ 14 หรือ 15 ประตู (จาก 28 ประตูรวมทุกรายการ) ด้วยลูกโหม่งเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ผมชอบส่งบอลเข้าประตู และรู้สึกสงบนิ่งเมื่อได้อยู่ในกรอบเขตโทษ ผมอาจจะไม่เร็วมากหรอก แต่นักเตะตัวขนาดผมแค่นี้ก็ถือว่าเร็วพอตัว”
“พรีเมียร์ลีกเป็นลีกที่แข็งแกร่งกว่าเบลเยี่ยม มีนักเตะที่ดีกว่า มันจะยากแน่นอน แต่ผมมาที่นี่เพื่อแสดงให้เห็นว่าผมสามารถเล่นในลีกนี้ได้” มิโตรวิช กล่าวในวันที่ย้ายทีมมาเล่นในอังกฤษครั้งแรก
และดูเหมือนว่าเขาจะทำได้ไม่เลวนักด้วยการยิงได้ 9 ลูกในซีซั่นแรกในฤดูกาล 2015-16 ทว่าโชคไม่ดีที่นิวคาสเซิลกลับทำผลงานในภาพรวมได้ย่ำแย่ ตกชั้นสู่แชมเปี้ยนชิพ และปัญหาก็เริ่มขึ้น พร้อมกับการถูกมองว่า “เป็นของปลอม” เนื่องจาก 2 ซีซั่นต่อมาเขาผลิตสกอร์ได้แค่ 8 ลูก และถูกมองว่าเป็นนักเตะที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ดังนั้นในช่วงตลาดฤดูหนาวฤดูกาล 2017-18 ราฟา เบนิเตซ กุนซือทีมสาลิกาดงในตอนนั้นจึงปล่อย มิโตรวิช ให้ ฟูแล่ม ที่อยู้ในลีกรองยืมตัวไปใช้งาน ซึ่งการปล่อยตัวครั้งนั้นแฟนบอลนิวคาสเซิลยังถกเถียงกันอยู่เลยว่าการปล่อย มิโตรวิช คือเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่ ?
เบนิเตซ กล่าวว่า “มิโตรวิชออกอาการหงุดหงิดแต่ไม่เคยมีปัญหาส่วนตัว สถานการณ์ที่เป็นอยู่คือเขาต้องการลงเล่น ผมจึงต้องปล่อยเขาไป ผมรับประกันไม่ได้ว่าเขาจะได้เล่นทุกสัปดาห์ ต่อให้เขามีมุมมองที่ดีและมีสถิติที่ไม่แย่นัก แต่ผมสามารถวิเคราะห์เกม วิธีการเล่นของเขา และทุกเซสชั่นการฝึกซ้อมกับเราได้ และนั่นคือคำตอบ”
เมื่อ มิโตรวิช ไปเล่นกับ ฟูแล่ม ในครึ่งฤดูกาลหลังผลงานก็ออกมายอดเยี่ยม ยิง 12 จาก 20 เกม ช่วยให้ทีมเลื่อนชั้นได้สำเร็จ แต่ ราฟา เบนิเตซ ดูเหมือนจะไม่ชอบบางสิ่งบางอย่างในตัวเขา และคนอย่าง ราฟา นั้นยึดมั่นในแนวคิดของตัวเองเสมอ แม้โพลสำรวจจาก Chronicle สื่อท้องถิ่นของเมืองนิวคาสเซิล ในช่วงฤดูร้อนปี 2018 เปิดเผยว่า 65% ของแฟน ๆ ต้องการให้เขาอยู่ต่อ แต่นั่นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นการตัดสินใจของ เบนิเตซ แทบจะทั้งหมดที่ทำให้ มิโตรวิช ต้องย้ายออกไปด้วยราคา 24 ล้านปอนด์ เรียกว่าเป็นการขายเพื่อทำทุนสำหรับการเสริมทัพของทีมในฤดูกาล 2018-19 ก็คงไม่ผิดนัก เพราะต้องไม่ลืมว่าตอนนั้นสาลิกาดงยังอยู่ภายใต้การบริหารของ ไมค์ แอชลี่ย์ เจ้าของสุดเขียม
การมาเล่นที่ ฟูแล่ม นั้นถือเป็นทางออกที่ วิน-วิน สำหรับทั้งสองฝ่าย มิโตรวิช กลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลทีมใหม่ ด้วย ฟูแล่ม เป็นทีมระดับที่ฝรั่งเรียกกันว่า “โยโย่ทีม” หรือทีมที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ระหว่างลีกสูงสุดและลีกรองเป็นประจำ การเปลี่ยนทั้งทีมให้มีคุณภาพจนสามารถอยู่รอดในลีกสูงสุดได้สบาย ๆ คือเรื่องที่ยากเกินไป แต่ถ้าจะถามเรื่องการเล่นในลีกรองเพื่อเลื่อนชั้น มิโตรวิช คือสุดเซียนตัวพ่อ ที่เมื่อเล่นในลีกรองเมื่อไหร่ก็จะระเบิดตาข่ายเมื่อนั้น
5 ปีหลังสุด ฟูแล่ม ตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก 2 ครั้งแบบขึ้นมาแล้วตกชั้นฤดูกาลต่อไปทันทีแถมทุกครั้งที่ตกชั้นพวกเขาใช้เวลาแค่ปีเดียวเพื่อกลับไปสู่ลีกสูงสุดได้อีกครั้งตลอด และ มิโตรวิช ก็เป็นกองหน้าดาวซัลโวอันดับ 1 ของทีมทุกครั้ง โดยเฉพาะในฤดูกาลล่าสุด 2021-22 เขายิงได้ถึง 43 ประตู ทำลายสถิตินักเตะที่ยิงประตูในระดับลีกรองของ กาย วิทธิงแฮม นักเตะของ พอร์ทสมัธ ในปี 1992 ได้อย่างราบคาบ และเป็นสถิติที่น่าจะคงอยู่ไปอีกนาน
ทว่าเมื่อ ฟูแล่ม เลื่อนชั้นก็มีการตั้งคำถามอีกครั้งว่าสรุปแล้ว มิโตรวิช ถือเป็นกองหน้าระดับไหนกันแน่ ? เขาเป็นพวกสิงห์ลีกล่างที่ก้าวข้ามระดับลีกสูงสุดไม่พ้นเหมือนกับนักเตะดาวยิงแชมเปี้ยนชิพคนอื่น ๆ อย่าง คาเมรอน เจอโรม, เดวิด นูเจนต์, บิลลี่ ชาร์ป และ ชาร์ลี ออสติน … แท้จริงแล้ว มิโตรวิช ทำได้แค่นี้จริงหรือไม่ หรือมีเหตุผลอะไรซ่อนอยู่กันแน่ ?
ความต่างที่ไปไม่ถึง
อะไรคือความต่างที่ มิโตรวิช ไปไม่ถึงระดับนักเตะดาวยิงแชมเปี้ยนชิพที่ยิงระเบิดในลีกสูงสุด แบบที่ เควิน ฟิลลิปส์, คัลลั่ม วิลสัน, โอลลี่ วัตกินส์ และ เจมี่ วาร์ดี้ ทำได้ หากเรามองดูที่สไตล์การเล่นของรายชื่อนักเตะที่กล่าวมาในข้างต้น พวกเขามีอะไรที่แตกต่างกับที่ มิโตรวิช เป็นพอสมควร ทั้ง ฟิลลิปส์, วิลสัน และ วาร์ดี้ ล้วนเป็นกองหน้าในแบบที่ชงเองกินเองได้ กล่าวคือเมื่อถึงเวลาที่ต้องดวล 1-1 พวกเขายังมีเทคนิคดีพอที่จะฉีกตัวประกบ และเมื่อถึงจังหวะต้องทำหน้าที่ในตำแหน่งเบอร์ 9 พวกเขาก็เก่งกาจในเรื่องการยืนตำแหน่งและหาจังหวะการทำประตูได้ไม่ดีไม่แพ้กัน
ขณะที่ มิโตรวิช เองก็อย่างที่เขาเคยบอก เขาตัวใหญ่และไม่ได้มีความเร็วมากนัก อีกทั้งยังเป็นสายรอจบสกอร์ของแท้ 100% ซึ่งเมื่อเรามองไปที่ทำเนียบดาวยิงในพรีเมียร์ลีกช่วง 5 ฤดูกาลหลังสุด แทบจะไม่เห็นมีเบอร์ 9 แท้ ๆ ที่เล่นในกรอบเขตโทษเป็นหลักติดท็อป 5 หรือท็อป 10 ดาวซัลโวเลย นอกเสียจากในรายของ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ คนเดียวเท่านั้น
เหตุผลเพราะฟุตบอลพรีเมียร์ลีกทุกวันนี้มีคุณภาพการเล่นที่เข้มข้นเป็นระบบมาก นักเตะทุกคนโดยเฉพาะในส่วนของเกมรุกจะต้องเป็นคนที่มีแรงวิ่งมากกว่าใครเพื่อนเพราะต้องเริ่มวิ่งไล่บอลตั้งแต่แดนหน้า ซึ่งวิธีการเล่นดังกล่าวต้องบอกว่านักเตะตำแหน่งเบอร์ 9 สายจบสกอร์แท้ ๆ ไม่ค่อยเหมาะสมนัก
เรื่องนี้ยืนยันได้จากผลสำรวจจากเว็บไซต์ sciencenordic.com ที่สรุปเป็นสถิติอย่างชัดเจนว่าในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 2008) นักเตะในพรีเมียร์ลีกอังกฤษมีค่าเฉลี่ยในการวิ่งมากกว่าเดิมถึง 50% การวิ่งที่มากขึ้นของทีมคู่แข่ง หมายความว่าพื้นที่ในการเล่นของคุณจะน้อยลงเป็นเงาตามตัว ไม่ว่าจะส่วนไหน ๆ ของสนาม คุณต้องขยับให้เยอะ หนีให้ออก เพื่อพาตัวไปเองไปอยู่ในจุดที่สามารถใช้ทักษะการยิงประตูได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด แน่นอนว่า มิโตรวิช ไม่ใช่นักเตะสไตล์นั้นอย่างแน่นอน
“ด้วยส่วนสูง 188 ซม. และน้ำหนัก 90 กก. ควบคู่ไปกับความสามารถในการหันหลังเล่น ทำให้เราคิดว่า มิโตรวิช เป็นหน้าเป้าของแท้ที่เหมือนกับ โรเมลู ลูกากู อย่างไรก็ตามนักเตะเซอร์เบียมีวิธีการจบสกอร์ที่หลากหลาย มีความสามารถในการเพิ่มความได้เปรียบสูงสุดจากความแข็งแกร่งทางกายภาพที่ทำให้เขาบังบอลได้ดี สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเป็นกองหน้าที่อันตรายมากเมื่อเล่นในกรอบเขตโทษ”
“จุดอ่อนของกองหน้าที่มีร่างกายใหญ่คือกองหลังคอยจับตาดูเขาอยู่เสมอและไม่มีทางหนีถ้าไม่มีที่ว่างให้เร่งเข้าไป หากกองหน้าประเภทนั้นไม่สามารถครองบอลในพื้นที่แคบ ๆ ก็แทบจะตัดพวกเขาออกจากเกมไปได้เลย” เว็บไซต์ footballbh.net ที่เก็บสถิติและสเกาต์การเล่นของ มิโตรวิช ในฤดูกาล 2019-20 บรรยายไว้ดังนี้
และการที่พวกเขาเปรียบเทียบ มิโตรวิช กับ ลูกากู ก็ยังทำให้เราเห็นภาพได้ว่าพรีเมียร์ลีกยุคปัจจุบันนักเตะตัวรุกที่ปราดเปรียวเล่นได้หลากหลายและชงเองกินเองได้ “มีโอกาส” ที่จะประสบความสำเร็จมากกว่า อย่างน้อย ๆ ก็ยืนยันด้วยตำแหน่งดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกยุคหลัง ๆ ที่นักเตะอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซน ฮึง มิน และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กำลังขับเคี่ยวกันอยู่ในเวลานี้
ยิ่งเมื่อมองไปที่ภาพรวมของ ฟูแล่ม ยุคก่อนหน้านี้ที่ขึ้นมาในพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2018-19 (ใช้บริการกุนซือ 3 คน ทั้ง สลาวิซ่า โยคาโนวิช, เคลาดิโอ รานิเอรี่ และ สกอตต์ พาร์กเกอร์) และ 2020-21 (สกอตต์ พาร์กเกอร์ คุมทีมทั้งซีซั่น) พวกเขาก็ไม่ได้มีวิธีการเล่นที่ชัดเจน กล่าวคือจะอุดจนเป็นจุดเด่นอย่าง เบิร์นลี่ย์ ก็ไม่ใช่ หรือจะเล่นบอลกับพื้นเน้นบุกโดยไม่สนคู่แข่งแบบ นอริช ก็ไม่เชิง การกั๊ก ๆ บวกกับคุณภาพนักเตะที่ล้อมรอบส่งปัญหาโดยตรงกับกองหน้าเบอร์ 9 อย่าง มิโตรวิช ที่ต้องพึ่งพาเพื่อนร่วมทีมมากเป็นพิเศษเพื่อหาจังหวะจบสกอร์ในแต่ละครั้งและในการยิงประตูแต่ละลูก
จากทั้งหมดที่กล่าวมาจะบอกว่า มิโตรวิช นั้นโชคร้ายที่มาอยู่กับทีมที่ไม่ได้มีองค์ประกอบที่ดีพอก็คงจะพูดได้ในระดับหนึ่ง ฤดูกาล 2018-19 นักเตะตำแหน่งริมเส้นของทีมอย่าง อังเดร เชือร์เล่ และ ไรอัน บาเบิล แอสซิสต์รวมกันไปเพียงแค่ 3 ลูก ทั้งคู่เป็นปีกสายจบสกอร์ ดังนั้นกองหน้าอย่าง มิโตรวิช ก็ยิ่งลำบาก แต่ถึงแม้จะอย่างนั้น มิโตรวิช ก็ยิงไปถึง 11 ประตูตลอดทั้งซีซั่น คิดเป็น 1 ใน 3 ของประตูที่ฟูแล่มทำได้ และในฤดูกาลนั้นเขาเล่นลูกกลางอากาศชนะคู่แข่งถึง 239 ครั้ง มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก และถูกโหวตให้เป็นนักเตะที่ได้คะแนนเฉลี่ยมากที่สุดของทีมฟูแล่มในฤดูกาลดังกล่าว
ฤดูกาล 2020-21 ยิ่งหนักกว่าเดิม เพราะนักเตะเกมรุกที่ต้องช่วยกันสร้างโอกาสให้กับเขาเป็นนักเตะประเภทสายความเร็วและเป็นปีกกึ่งกองหน้าทั้งนั้น บ็อบบี้ รีด, อิวาน คาวาเลียโร่ และ อเดโมล่า ลุคแมน ทำแอสซิสต์รวมกันได้แค่ 5 ครั้ง … โดยในฤดูกาลดังกล่าว มิโตรวิช ยิงได้เพียงแค่ 4 ประตู น้อยกว่า บ็อบบี้ รีด ที่เป็นดาวซัลโวของทีมซีซั่นนั้น (7 ประตู) เสียอีก ทำให้ ฟูแล่ม ตกชั้นแบบไม่มีอะไรน่าจดจำ
ทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นว่านักเตะอย่าง มิโตรวิช ถือว่าตกรุ่นไปหน่อยสำหรับพรีเมียร์ลีกยุคนี้ ยิ่งมาอยู่กับทีมที่ศักยภาพนักเตะไม่ดี ตัวรุกไม่ได้เหนือกว่าแนวรับคู่แข่งก็ยิ่งเปล่งแสงยากกว่า แต่เหนือสิ่งอื่นใดหากเอาเขาไปวางให้ถูกทีมหรือถูกทีมอยู่ในทีมที่มีวิธีการเล่นชัดเจน มีตัวป้อนดี ๆ เยอะ เขาน่าจะมีประโยชน์มากกว่า ยกตัวอย่างนักเตะที่เคยทำสำเร็จกับตำแหน่งแบบนี้คนสุดท้ายอย่าง ชิรูด์ นั้น จะเห็นได้ว่าช่วงที่เขาเล่นให้กับ เชลซี เขาอาจจะไม่ได้เป็นตัวหลักของทีม แต่เมื่อทีมต้องการประตู และเมื่อวิธีการเล่นแบบเดิมด้วยตัวรุกเดิม ๆ ไม่ได้ผล ชิรูด์ ก็มักจะลงไปเป็นโจ๊กเกอร์เก็บงานให้กับทีมได้เป็นประจำ
อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับว่า 1 ฤดูกาล 43 ลูก ที่เขาทำได้ ณ ปัจจุบัน คือสถิติที่น่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง ข้อสงสัยที่กล่าวมาอาจจะถูกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นก็ได้เมื่อเขาลงเล่นให้กับ ฟูแล่ม อีกครั้งในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลหน้าภายใต้โค้ชอย่าง มาร์โก ซิลวา ที่ มิโตรวิช ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “เป็นคนที่ทำให้ผมสนุกกับฟุตบอลมากที่สุดในชีวิต” … ไม่แน่ความสนุกนี้อาจจะทำให้ มิโตรวิช ลบคำสบประมาทที่บอกว่าเขาดีไม่พอสำหรับลีกสูงสุดก็เป็นได้