ความ Romanticized ที่สื่อพยายามขายให้กับผู้เสพสื่ออย่างเราบ่อย ๆ คือเรื่องการหนีจากเมืองหลวงและชีวิตที่เร่งรีบวุ่นวายสู่อ้อมกอดบ้านเกิดไปใช้ชีวิตเรียบง่ายไร้ความทุกข์ แต่จริง ๆ แล้วมันง่ายแบบนั้นหรือ ?
การทิ้งรายรับจำนวนมากแล้วกลับไปยังจุดเริ่มต้นคือความเสี่ยงที่น้อยคนจะกล้าลงเดิมพัน ซึ่งเรื่องนี้ ฟาบิโอ โคเอนเทรา อดีตนักเตะดีกรีทีมชาติโปรตุเกส และสโมสร เรอัล มาดริด ชุดแชมป์ยุโรป 2 สมัย จะตอบให้คุณได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วการกลับสู่อ้อมกอดของบ้านเกิดแบบมีความสุขจริง ๆ นั้นเป็นเช่นไร
จากนักเตะระดับแชมเปี้ยนสู่การหันหน้าเข้าวงการประมงน้ำลึก จากสนามหญ้าสู่มหาสมุทร และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดของเขา…
ติดตามเรื่องราวได้ที่นี่ Main Stand
ดังเปรี้ยง!
ชื่อของ ฟาบิโอ โคเอนเทรา โด่งดังระดับที่ใครดูฟุตบอลก็ต้องรู้จัก เมื่อช่วงฟุตบอลโลกปี 2010 นักเตะตำแหน่งแบ็กซ้ายจากสโมสร เบนฟิก้า ทำผลงานในลีกได้ดีมาก ๆ ในช่วงฤดูกาล 2009-10 เขาคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของลีกได้ 3 ครั้ง พาทีมคว้าดับเบิลแชมป์ในฤดูกาลนั้น จนกระทั่งฟุตบอลโลกเริ่มขึ้นชื่อของเขาก็ “แมส” เป็นที่เรียบร้อย
เป็นที่รู้กันว่าฟุตบอลโลกนั้นถือเป็นประตูสำหรับนักเตะที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักให้ได้แจ้งเกิดแบบก้าวกระโดด ใครทำผลงานได้ดีในรายการนี้รับรองว่าคนดูจะได้เห็นพร้อมกันทั้งโลก และ โคเอนเทรา เองก็เป็นคน ๆ นั้นที่แสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าเขาคือแบ็กซ้ายสมัยใหม่ในแบบโมเดิร์นฟุตบอลอย่างแท้จริง
ลีลาของ โคเอนเทรา ในทัวร์นาเมนต์นั้นร้อนแรงมาก มีสปีดความเร็วและทักษะที่ดีตามแบบฉบับโปรตุกีส เปิดบอลจากด้านข้างได้กดดันคู่ต่อสู้ และคาแร็กเตอร์ก็ออกแนวนักรบบู๊แหลก หน้าตาหล่อเหลาเอาการ ทั้งหมดนี้เราไม่ได้กล่าวเองแต่เอามาจากบทความของสื่อกีฬาระดับโลกอย่าง Bleacher Report ในคอลัมน์ World Cup Rising Star ที่พวกเขายกให้ โคเอนเทรา คือแบ็กซ้ายที่โดดเด่นที่สุดในรอบแบ่งกลุ่ม
“ฟูลแบ็กอายุน้อยที่เล่นเกมบุกโดยสัญชาตญาณ เชื่อมั่นในแนวคิดของฟุตบอลสมัยใหม่ว่าเกมรุกที่ดีคือเกมรับที่ดีที่สุด ฟอร์มของเขาโดดเด่นทุกเกมในรอบแบ่งกลุ่ม โดยเฉพาะนัดที่ถล่มเกาหลีเหนือ 7-0 … สัปดาห์เดียวจากนักเตะที่ไม่มีใครรู้จัก ตอนนี้เขากลายเป็นผู้เล่นที่น่าประทับใจที่สุดในทีมชาติโปรตุเกสแล้ว” ราเอล เมสัน นักเขียนของ B/R ว่าไว้เช่นนี้
โปรตุเกส จบฟุตบอลโลก 2010 ด้วยน้ำมือของ สเปน ที่สุดท้ายกลายเป็นแชมป์โลกในครั้งนั้น แต่ชื่อของ โคเอนเทรา ก็ติดตลาดไปแล้ว เขามีข่าวกับทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แทบจะตลอดทั้งซีซั่น 2010-11 แต่สุดท้าย เรอัล มาดริด ก็กลายเป็นผู้ชนะประมูลด้วยการยื่นราคา 30 ล้านยูโร และคว้าตัวโคเอนเทราไปครอง
แน่นอนว่า ณ เวลานั้นแบ็กซ้ายของทีมยังเป็นตำแหน่งที่หาจุดลงตัวไม่เจอ มาร์เซโล ยังหนุ่มยังไม่ได้เก่งและแก่พรรษาเหมือนช่วงปี 2017 เป็นต้นมา อัลบาโร อาร์เบลัว ก็ไม่ใช่แบ็กซ้ายธรรมชาติ และนักเตะรุ่นเดียวกันอย่าง นาโช่ ก็ยังไม่ได้มีพัฒนาการอะไรที่โดดเด่น โคเอนเทรา จึงถูกคาดว่าอาจจะมาเป็นเบอร์ 1 ในตำแหน่งแบ็กซ้ายเบียด มาร์เซโล่ ได้
แม้กระทั่งตอนนั้น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ยังอยู่กับ มาดริด ก็ยังบอกว่าโคเอนเทราคือนักเตะระดับโลก … แต่จริง ๆ แล้วที่ เรอัล มาดริด คุณเก่งอย่างเดียวไม่ได้ มันมีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่ คุณจะขึ้นมาเป็นนักเตะแถวหน้าของทีมนี้ได้คุณต้องมีคาแร็กเตอร์ที่เด็ดเดี่ยวและมั่นคงที่พร้อมอยู่กับคำวิจารณ์ให้ได้ … ซึ่ง โคเอนเทรา กำลังจะได้เจอหลังจากนี้
เรอัล มาดริด ชีวิตเปลี่ยน
“ตัวต่อตัวในการฝึกซ้อมต้องยอมรับเลยว่า โคเอนเทรา คือหนึ่งในกองหลังที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก … นี่แหละน้องชายผมเอง” นี่คือสิ่งที่ โรนัลโด้ กล่าวในวันที่ โคเอนเทรา ลงซ้อมกับ มาดริด ฤดูกาลแรก
โรนัลโด้ อาจจะพูดถูก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในปีแรก โคเอนเทรา ได้ลงสนามให้ มาดริด ถึง 33 นัด … นี่คือการเริ่มต้นที่ดีมาก ๆ เท่าที่นักเตะวัย 23 ปีจะคาดฝันกับการย้ายทีมครั้งนี้ เขาควรจะพัฒนาไปข้างหน้า ทว่าที่สุดแล้วจำนวน 33 นัดในฤดูกาล 2011-12 คือการลงสนามให้ มาดริด ที่มากที่สุดของเขา เพราะหลังจากนั้น โคเอนเทรา ก็เจอกับปัญหามากมาย
ประการแรก โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือของทีมในเวลานั้นไม่ได้ให้เขาประจำการฝั่งซ้ายที่เป็นตำแหน่งถนัด บางครั้งเขาก็ถูกโยกไปเป็นกองกลางตัวรับ บางคราวก็กลายเป็นแบ็กขวาจำเป็น จากนั้นไม่นาน โคเอนเทรา ก็เริ่มเข้า ๆ ออก ๆ ในตำแหน่ง 11 ตัวจริง จนกระทั่งเขาได้รับบาดเจ็บและต้องพักยาวในปี 2012 ชีวิตที่กำลังจะดังเปรี้ยงของเขาก็ไม่เคยทะยานไปข้างหน้าได้อีกเลย
อีกเรื่องหนึ่งคือ โคเอนเทรา พบว่าตัวเขาไม่ได้เป็นที่รักของแฟน ๆ และสื่อเหมือนตอนที่เพิ่งย้ายมาใหม่อีกแล้ว แม้จะอยู่ในทีมชุดแชมป์ยุโรป 2 สมัย และแชมป์ลีกอีก 1 สมัย แต่ โคเอนเทรา ก็เล่าถึงเบื้องหลังในภายหลังว่าเขารู้สึกตัวเองว่าตัวลีบเล็ก เหมือนอากาศในทีม ๆ นี้ โดยเฉพาะกับสื่อที่เมื่อถึงเวลาที่ไม่รู้ว่าจะเล่นงานใคร นักเตะที่เป็น “ลูกเป็ดขี้เหร่” อย่างเขามักจะเป็นเป้าแรกเสมอ
“ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะว่าเพราะอะไร ผมมีเกมที่แย่บ้างผมยอมรับ แต่นักเตะทุกคนก็มีเกมแย่ ๆ เหมือนกัน แต่กับผมนั้นความผิดมันร้ายแรงในสายตาของสื่อเสมอ พวกเขาพร้อมจะเล่นงานผมทันที และต่อให้ผมกลับมาทำผลงานได้ดีในบางเกมผมก็กลายเป็นอากาศที่ไม่เคยมีใครพูดถึง”
“แม้กระทั่งทุกวันนี้ผมยังถามตัวเองอยู่เลย ผมไปทำผิดอะไรนักหนาถึงกลายเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ของสื่อที่มาดริดเสมอ” โคเอนเทรา กล่าว
ยิ่งนานวันเข้าความสุขที่มีก็ยิ่งถดถอย โคเอนเทรา ไม่ได้กลายเป็นแค่ลูกเป็ดขี้เหร่ แต่เขากลายเป็นนักเตะที่ถูกลืมไปแล้ว โคเอนเทรา เปิดเผยว่าเรื่องนี้เขาเองก็เข้าใจดีว่าเป็นเพราะ มาร์เซโล่ ยิ่งเล่นยิ่งพัฒนาขึ้น แต่อีกมุมหนึ่งการแบกรับเสียงด่ามากกว่าคนอื่น ๆ ทำให้เขาลืมไปแล้วว่าฟุตบอลที่เขารู้จักเป็นอย่างไร
“คุณลงเล่น 1 นัด จากนั้นคุณจะหายไปอีก 7 นัด … เมื่อเงยหน้ามองทีมชีตคุณก็จะเห็นชื่อของ มาร์เซโล่ ในตำแหน่งของคุณ ผมเข้าใจดีถึงพัฒนาการอันยอดเยี่ยมของเขา แต่ช่วงเวลานั้นมันยากมากสำหรับผม ผมลืมไปแล้วว่าผมยังเป็นนักฟุตบอลอาชีพอยู่” โคเอนเทรา ผู้มีอัตราการลงเล่นเฉลี่ยไม่ถึง 30 นาทีต่อ 1 เกมตลอด 7 ปีที่ เรอัล มาดริด กล่าว
ในยุคที่กุนซือเปลี่ยนเป็น คาร์โล อันเชล็อตติ และ ซีเนดีน ซีดาน ในภายหลัง โคเอนเทรา ก็กลายเป็นนักเตะที่ทีมพยายามจะเขี่ยทิ้งเนื่องจากมีค่าเหนื่อยราว 4 ล้านยูโรต่อปี ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับนักเตะที่มีค่าเฉลี่ยการลงสนามน้อยขนาดนั้น เขาโดนส่งไปให้ทีมอย่าง โมนาโก และ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ยืมตัว ด้วยเหตุผลเดียวคือการลดค่าใช้จ่ายภายในสโมสร
ไม่ว่าจะไปที่ไหนเขาก็ยังไม่รู้สึกว่าชีวิตของเขากลับมาเป็นของตัวเองอีกครั้ง ผลงานของ โคเอนเทรา เริ่มซบเซาลง ทีมไหนก็ไม่สู้ค่าเหนื่อย และสุดท้าย เรอัล มาดริด ก็เก็บเขาไว้จนหมดสัญญา เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็กลายเป็นนักเตะฟรีเอเยนต์อีกครั้ง … ซึ่งความตกต่ำที่สื่อพยายามตีตราเขานี้เอง กำลังจะเป็นเข็มทิศที่นำเขาไปสู่เส้นทางที่เขาพยายามดิ้นรนหาทางไปมาตลอด
ชีวิตง่าย ๆ ที่ ริโอ อาฟ
เราจะคิดถึงวันที่สวยงามเมื่อเวลาผ่านไป … ประโยคนี้คือสิ่งที่ทำให้ ฟาบิโอ โคเอนเทรา ไม่ต้องคิดอะไรมากอีกต่อไป มีหลายทีมทั้งในอังกฤษและอิตาลี รวมถึงสเปนที่ยังต้องการตัวเขาและเชื่อมั่นในดีกรีที่เขามี แต่ในตอนนี้ โคเอนเทรา ไม่ต้องการพิสูจน์อะไรอีกแล้ว เขามองว่าแม้จะไม่ได้เป็นคนสำคัญที่มาดริด แต่เขาก็พิชิตแชมป์มามากมาย … เขาจะไม่ขวนขวายอะไรอีกต่อไป เขาแค่อยากกลับบ้านเท่านั้น
บ้านของเขาไม่ใช่ที่ ลิสบอน แต่เป็นเมืองท่าที่มีชื่อว่า Vila do Conde เมืองนี้เป็นเมืองที่มีประชากรไม่ถึง 4 หมื่นคน ที่นี่เปรียบเสมือนเมืองกันชนสำหรับเมืองใหญ่อย่าง ปอร์โต้ เพราะท่าเรือที่เมืองนี้มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานย้อนกลับไปได้ถึงก่อนยุคที่โปรตุเกสสร้างชาติตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 900 เลยทีเดียว
ที่นี่เองคือที่ที่ให้กำเนิดลูกน้ำเค็มอย่าง โคเอนเทรา เขาอยู่กับท้องฟ้า ทะเล และเรือมาตั้งแต่เด็ก เขาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวชาวประมง และถูกผลักดันให้ไปล่าฝันการเป็นนักเตะอาชีพกับทีมประจำเมืองอย่าง ริโอ อาฟ และนี่คือสโมสรที่ โคเอนเทรา เลือกจะกลับมาเล่นและรับค่าเหนื่อยน้อยลงกว่าเดิมเกิน 20 เท่า เหลือเพียงปีละไม่ถึง 2 แสนยูโรเท่านั้น
“นี่คือจุดเริ่มต้นสำหรับผมกับโลกของฟุตบอล ผมกลับมาที่นี่เพื่อพบกับการผจญภัยที่วัยเด็กของผมเรียกร้อง ผมเติบโตในฐานะนักฟุตบอลอาชีพที่นี่ ได้ลงเล่นในสนามที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็เพราะ ริโอ อาฟ เช่นกัน … นี่คือถิ่นของผม ที่ที่ผมสามารถทอดอารมณ์ไปกับมันได้ทั้งวัน มันเหมือนกับผมได้แบ่งปันเวลาอยู่ในวิหารโอลิมปัสแห่งโลกฟุตบอลอีกครั้ง” โคเอนเทรา ในวัย 33 ปีกล่าว
“ผมกลับเมืองนี้มาด้วยความรักแบบเดียวกับตอนที่ผมจากไป ไฟในหัวใจผมจะถูกจุดให้ติดอีกครั้ง และนี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการกลับบ้าน”
จากคำสัมภาษณ์ โคเอนเทรา หากนึกภาพตามถ้าเป็นในภาพยนตร์ นี่คงเป็นการกลับมาของฮีโร่ที่กอบกู้ทีมเล็ก ๆ ทีมนี้ให้ประสบความสำเร็จครั้งแรกในประวัติศาสตร์ … แต่นี่เป็นโลกแห่งความจริง มันไม่โรแมนติกขนาดนั้น เขาตกชั้นกับ ริโอ อาฟ ในปีแรก เขาลงเล่นในลีกรองของประเทศอีกครั้งในวัย 34 ปี หลังจากนั้นไม่นาน โคเอนเทรา ก็ประกาศแขวนสตั๊ด … คำถามคือ นี่มันล้มเหลวชัด ๆ แล้วทำไมเขาถึงบอกว่าเขาจุดไฟในชีวิตของตัวเองติดกันล่ะ ?
Home
ความลับของ โคเอนเทรา มาถูกเปิดเผยเมื่อเขาให้สัมภาษณ์กับสื่อระดับประเทศอย่าง O Jogo ว่าการกลับมาที่ ริโอ อาฟ ไม่ได้มีเป้าหมายเรื่องฟุตบอลเป็นหลัก เขาแค่อยากกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ซึ่งเมื่อโจทย์มันเป็นเช่นนั้น เขาจึงย้อนกลับไปหาสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขที่สุดสมัยเป็นเด็ก และสิ่งนั้นมันเรียบง่ายมาก ๆ นั่นคือการนั่งเรือไปตกปลากับพ่อของเขา
“พ่อของผมเคยมีเรืออยู่ 1 ลำ เราออกไปตกปลาด้วยกันตอนที่ผมเด็ก ๆ ท้องทะเลคือส่วนที่สำคัญในชีวิตของผม” โคเอนเทรา กล่าว
การแขวนสตั๊ดแล้วเปลี่ยนไปทำงานอาชีพประมงถือว่าเป็นอะไรที่แปลกพอสมควรหากเทียบกับนักเตะคนอื่น ๆ แม้ โคเอนเทรา เองก็โกยเงินมาไม่น้อยสมัยเป็นนักเตะ แต่เขาก็ไม่ได้คิดแค่อยากจะตกปลาเล่น ๆ แบบใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ไปวัน ๆ สิ่งที่เขาต้องการทำคือการลงทุนซื้อเรือประมงสักลำ และออกทะเลไปหาปลา พร้อม ๆ กับคิดและวางแผนแบบนักธุรกิจ
มันเหมือนกับการกลับสู่โลกแห่งความฝันในวัยเด็ก แต่เขาพยายามเชื่อมมันเข้ากับโลกแห่งความเป็นความจริง นั่นคือเป็นความสุขที่อยู่ได้จริง สามารถสร้างรายได้ ต่อยอด ดูแลคนที่เขารัก และที่สุดคือการตื่นแต่เช้าทุกวันอย่างกะปรี้กะเปร่าเพื่อออกไปทำงานอย่างมีความสุข … สิ่งเหล่านี้เองที่เขาทำหายไปเป็นเวลาเกือบ 10 ปี
“ผมคิดมาพักใหญ่ ผมรู้ว่าวันหนึ่งอาชีพนักเตะของผมจะจบลงและผมก็ต้องหาหนทางไปต่อ แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้คิดอีกกี่ตลบผมก็ได้คำตอบว่าความสุขของผมคือเรือลำนี้ มันคือที่ที่ผมอยากจะใช้ชีวิตที่เหลือ” โคเอนเทรา กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสื่อ
Photo : www.youtube.com/c/EmpowerBrandsChannel
เขาโดนถามคำถามต่อว่า เขาไม่รู้สึกว่าเป็นคนขี้แพ้หรือ จากที่ควรจะได้เป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ทำเงินได้มากกว่านี้ และมีชื่อเสียงมากกว่านี้ แต่กลับเลือกมาเป็นชาวประมงและใช้ชีวิตบนเรือมากกว่าบนบก พร้อมทั้งถามต่อว่าคุณอายบ้างไหมเวลาใครมาทักว่า ฟาบิโอ โคเอนเทรา คนดังทำไมถึงมาอยู่ในชุดซอมซ่อหนวดเครารุงรังแบบนี้ ? เขาตอบกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยวว่า
“ชีวิตชาวประมงและการอยู่กับทะเลไม่ใช่เรื่องน่าอาย มันก็เป็นงานเหมือนกับอาชีพอื่น ๆ นั่นแหละ ผมได้ออกมาเห็นทะเลสวย ๆ ทุกวัน และรู้ว่าสิ่งนี้แหละที่ผมต้องการ … คนรักทะเลอย่างผมรู้ดีเมื่อคุณออกมาให้กลิ่นอายความเค็มปะทะหน้า ลุยไปกับคลื่น และออกไปล่าฝัน นี่แหละชีวิตลูกผู้ชายแบบเรา”
Photo : www.youtube.com/c/EmpowerBrandsChannel
โคเอนเทรา ในตอนนี้ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า ตลอดชีวิตนักเตะของเขาอาจจะไม่ได้ถูกจดจำในฐานะผู้นำและดารานักเตะมากมายนัก แต่ที่เรือลำนี้ที่เขาลงทุนซื้อและตั้งใจทำธุรกิจประมงให้เดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เป็นที่ ๆ เขาได้ทบทวนอะไรหลายอย่าง ซึ่งที่สุดแล้วเขาคิดว่า ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร นี่คือชีวิตที่เขาไม่รู้สึกเสียดายเลยสักนิดกับทุกสิ่งที่เขาได้ทำลงไป
เรียบง่ายแต่เน้นรายละเอียด กลับบ้านนอกแต่ทำอย่างจริงจัง ลงทุนอย่างชาญฉลาดไปพร้อม ๆ กับการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข … นี่คือ ฟาบิโอ โคเอนเทรา กับชีวิตใหม่ของเขาที่กำลังเริ่มต้นและเดินหน้าอย่างมั่นคงที่สุดในรอบหลายปี แล้วแบบนี้จะบอกว่าเขาตกต่ำได้อย่างไร ?