sportpooltoday

พูดง่ายจัง ทำเองพังหมด : การเปลี่ยนบทบาทสุดนรกแตกที่ แกรี่ เนวิลล์ “ดับสนิท”


พูดง่ายจัง ทำเองพังหมด : การเปลี่ยนบทบาทสุดนรกแตกที่ แกรี่ เนวิลล์ "ดับสนิท"

อิสระเป็นสิ่งที่ดี แต่สำหรับบางคนที่อยู่ในที่แจ้งหรือเป็นคนที่มีชื่อเสียง บางครั้งมันคงจะดีกว่าหากพวกเขาได้ถูกตีกรอบเอาไว้ด้วยกฎเกณฑ์บางข้อ เพื่อให้พวกเขายังคงรักษาสถานะขวัญใจมหาชนไว้ได้อย่างดีที่สุด

เพราะหลายครั้งเหลือเกินเมื่อพวกเขาหลุดจากกรอบที่ตัวเองเคยอยู่ ก้าวข้ามสิ่งที่ตัวเองถนัด มันมักจะย้อนกลับมาทำลายตัวเขาเอง

เช่นเรื่องราวของ แกรี่ เนวิลล์ ที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะ และโด่งดังไปอีกขั้นในวันที่ได้ทำหน้าที่เป็นพิธีกรฝีปากกล้า.. แต่วันหนึ่ง เมื่อเขาเดินก้าวออกจากกรอบที่คุ้นเคยแล้วเลือกรับงานที่เสี่ยงที่สุดงานหนึ่งนั่นคือการเป็นเฮดโค้ช.. เมื่อนั้นเขาจึงได้ตระหนักถึงการตัดสินใจนั้นว่า “ไม่น่าเลย”

ติดตามการตัดสินใจที่ผิดพลาดของ แกรี่ เนวิลล์ ที่ทำให้เขายังคงโดนแซวโดนล้อจนถึงทุกวันนี้ที่ Main Stand

คนรักเป็นร้อย.. คนเกลียดก็ไม่น้อยเหมือนกัน

แกรี่ เนวิลล์ นั้นเป็นที่รู้จักกันในฐานะนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดภายใต้การทำทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แม้ตัวของเขาจะไม่ใช่นักเตะที่เก่งมากมายหรือเป็นแบ็กขวาระดับโลก แต่ก็ถือว่าเป็นคนที่รักษามาตรฐานการเล่นได้ดี และที่สำคัญคือมีแพชชั่นกับทีมอย่างเต็มเปี่ยม เล่นด้วยใจ ใส่ไม่ยั้ง จนกลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลปีศาจแดงตั้งแต่วันที่เริ่มเล่นจนวันที่เขาแขวนสตั๊ด 

1“แพชชั่น กลายเป็นคำที่ใช้บ่อยและถูกตีค่ามากเกินไปในโลกของฟุตบอล แต่สำหรับ แกรี่ เนวิลล์ มันคือความสามารถพิเศษของเขาอย่างแท้จริง”

“เขาไม่เคยหยุดแสดงความคิดเห็นในห้องแต่งตัวและพร้อมต่อสู้กับความไม่ถูกต้องเสมอ จะเป็นเพียงเรื่องจริงหรือแค่จินตนาการ แต่เขาคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตลอดไป” ริชาร์ด วิลเลียมส์ นักข่าวจาก The Guardian กล่าวยกย่องแกรี่

ทว่าในทางกลับกัน สมัยยังเป็นนักเตะ เนวิลล์ ก็เป็นคนที่ถูกแฟนบอลทีมอื่นเกลียดเป็นอันดับต้นๆเช่นกัน ด้วยความห้าวของสกิลปากที่ยั่วยวนและอวดดีตามประสากัปตันทีมของสโมสรที่ประสบความสำเร็จที่สุดทีมหนึ่งในยุคนั้น โดยเฉพาะกับแฟนของ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้นเรียกได้ว่าหากเขาได้ลงสนามในเกมเยือนที่ แอนฟิลด์ หรือ เมนโรด (สนามเหย้าเก่าของ แมนฯ ซิตี้) เมื่อไหร่ เขาก็จะโดนจองกฐินเมื่อนั้นเช่นกัน 

ดังนั้น ภาพของ เนวิลล์ ในสมัยเป็นนักเตะจึงออกแนวคนรักกับคนเกลียดมากพอๆกัน.. ทว่าเขากลับเปลี่ยนภาพลักษณ์และเปลี่ยนแฟนบอลที่เกลียดเขาให้กลายเป็นคนที่รักเขาหรืออย่างน้อยก็เกลียดน้อยลงได้ ในวันที่เขาแขวนสตั๊ดแล้วหันมาทำงานเป็นนักวิจารณ์ในรายการโทรทัศน์ Monday Night Football ตั้งแต่ปี 2011 ทางช่อง Sky Sports เมื่อนั้นฝีปากสุดแซบของเขาก็ถูกนำมาใช้อย่างถูกที่ถูกทาง

เรื่องพูดขอให้บอก

การเป็นนักวิจารณ์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านฟุตบอลที่สื่ออังกฤษเรียกกันว่า “Pundit” นั้น มีหลักในการทำงานคือคุณต้องเป็นคนที่รู้และแตกฉานในเรื่องฟุตบอลจริงๆ ถ้าไม่ได้เป็นโค้ชฟุตบอลก็ควรจะเคยมีประสบการณ์ในการแข่งขันระดับสูงหรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นนักข่าวที่ทำงานในสายงานนี้มายาวนานพอ ส่วนอีกข้อที่สำคัญมากคือ คุณจะต้องรู้วิธีที่จะสื่อสารสิ่งที่คุณเข้าใจออกมาให้คนฟังเข้าใจในแบบเดียวกับคุณ

2นักวิจารณ์ฟุตบอลที่ดีไม่ใช่คนที่จะออกมาด่านักเตะคนไหนลอยๆก็ได้ พวกเขาอาจจะพูดถึงนักเตะคนนั้นในแง่ลบ แต่พวกเขาก็ต้องเอาหลักฐานและเหตุผลมาอ้างอิงด้วยว่าทำไมพวกเขาจึงวิจารณ์นักเตะคนดังกล่าวอย่างนั้น

และสุดท้ายนอกจากจะแซว วิจารณ์ หรือวิเคราะห์ให้คนดูเข้าใจแล้ว พวกเขายังต้องมีความเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์อยู่ในตัวด้วย จะต้องมีลีลาวาทะศิลป์ที่แพรวพราว มีลูกล่อลูกชนในช่วงการถกเถียงกับกูรูคนอื่นๆที่นั่งร่วมโต๊ะออกรายการ.. ตัวผู้เขียนอาจจะไม่เคยเป็นนักวิจารณ์ออกโทรทัศน์ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นได้อ้างอิงถึงวิธีที่ แกรี่ เนวิลล์ ทำมาเสมอ นับตั้งแต่ที่เขาเริ่มเข้ามารับบทบาทนี้ และก็ต้องยอมรับว่าจนกระทั่งนาทีนี้เขาคือเบอร์ต้นๆของนักวิจารณ์ฟุตบอลของพรีเมียร์ลีก

เรื่องนี้สำนักข่าว The Guardian ที่ถือเป็นสื่อคู่แข่งของ Sky Sports ยังเคยเขียนบทความยกย่องวิธีการปรับตัวให้เข้ากับอาชีพใหม่ของ แกรี่ เนวิลล์ เลยด้วยซ้ำ 

“เหตุผลของความนิยมสำหรับบทบาทนักวิจารณ์ของ แกรี่ เนวิลล์ มีอยู่ 3 ประการ อย่างแรก เขามักจะโต้แย้งและคิดต่างในการแสดงความคิดเห็นเสมอ แต่การโต้แย้งของเขาก็ใส่หลักเหตุผลที่น่าสนใจเอาไว้จากประสบการณ์ 20 ปีในอาชีพค้าแข้งของเขา”

“ประการที่ 2 เขาเป็นคนที่หาข้อมูลมาพูดคุยได้ดี ละเอียดรอบคอบ ใช้เวลาแอร์ไทม์ของตัวเองราว 15 นาทีได้อย่างมีศิลปะ เขาหัวไวไหลลื่น สามารถพูดได้ไม่มีหยุด แต่ก็ไม่ได้ไร้สาระจนฟังไม่ได้ศัพท์เลย เพื่อนร่วมงานที่ Sky เล่าเรื่องเขาให้ผมฟังว่า เนวิลล์ ทุ่มเทกับงานที่ทำเหมือนกับสมัยที่เขาเป็นนักเตะไม่มีผิด เขาพยายามทำงานหนัก เตรียมการอย่างเข้มข้น นั่นคือสิ่งที่สำคัญมากกว่าพรสวรรค์ในมุมมองของเขา”

“และสุดท้ายคือ เขาเริ่มต้นอาชีพนี้อย่างติดลบ เพราะเขาเป็นนักเตะประเภทกรีดเลือดออกมาเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่เมื่อเขาเป็นนักวิจารณ์ เขาวางตัวเป็นกลางและมีความเป็นมืออาชีพสูงมาก ต่อให้คนที่เขาวิจารณ์จะเป็นถึงคนสนิทหรืออดีตเพื่อนร่วมทีมเก่าของเขาก็ตาม” ไมเคิล ค็อกซ์ ร่ายยาวถึงการทำงานของ เนวิลล์ ในช่วงที่เขาเข้ามาทำงานสายโทรทัศน์ใหม่ๆ สมัยที่ค็อกซ์ยังอยู่กับ The Guardian (ปัจจุบันเจ้าตัวย้ายไปอยู่กับ The Athletic แล้ว)

3จริงอยู่ที่หลายคนอาจจะ เอ๊ะ เพราะในช่วงไม่กี่เดือนที่แล้วที่ เนวิลล์ โดนวิจารณ์ว่าไม่กล้าสับแหลกใส่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่กำลังทำผลงานได้ย่ำแย่ในการคุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด จนช่วงนั้น จนถูกมองว่า “เป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในอาชีพกูรูของเขา” ซึ่งเรื่องนี้ เนวิลล์ ก็ได้อธิบายถึงเหตุผลเรื่องดังกล่าวไว้ว่า 

“มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะต้องวิจารณ์อดีตเพื่อนร่วมทีม ผมคิดว่า โอเล่ ไม่สามารถจัดการความรัดกุมของทีมได้ เรื่องนี้มันเป็นกันมานานมากแล้ว และผมก็ยินดีจะพูดแบบนั้น พูดว่าแทคติกของเขาไม่ดีพอ นั่นคือสิ่งที่ผมบอกมาเสมอ”

“แต่สำหรับใครที่ว่าผมไม่สนับสนุนหรือพูดถึงการไล่เขาออกจากตำแหน่ง สิ่งเดียวที่ผมบอกได้คือมันเป็นสไตล์ของผม ผมไม่พูดแบบนั้นกับโค้ชคนไหนทั้งนั้น ผมไม่ได้ถูกว่าจ้างมาเพื่อกดดันให้ผู้จัดการทีมโดนไล่ออกผ่านโทรทัศน์.. ผมไม่มีวันทำแน่” 

“แม้จะมีนักวิจารณ์หลายคนทำแบบนั้น ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วก็ยินดีด้วย แต่นั่นไม่ใช่สไตล์ของผมหรอก ทุกครั้งที่ผมได้ยินกูรูออกมาไล่โค้ชออกจากทีมผมจะรู้สึกสะอิดสะเอียน มันไม่ใช่เรื่องใครเข้าข้างใคร แต่มันคือเรื่องของความเหมาะสม สำหรับคนอื่นอาจจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับผมมันแตกต่างออกไป ผมไม่ทำแบบนั้นกับกุนซือคนไหนทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา คนเดียว” 

4ไม่ว่าคำตอบของ เนวิลล์ จะมีน้ำหนักหรือไม่ในสายตาของคุณ แต่ที่แน่ๆ การที่เขาพูดแบบนั้นมันมีบางอย่างซ่อนอยู่ นั่นคือ “คำถาม” ที่ว่า ทำไม เนวิลล์ จึงดูอ่อนไหวกับการที่นักวิจารณ์เอาเป็นเอาตายกับการไล่โค้ชออกกัน? 

เหตุผลเดียวก็คือ เขาเคยรับรู้ถึงรสชาตินั้นมาแล้ว สมัยที่เขาคุมทัพ บาเลนเซีย สโมสรดังจาก ลา ลีกา สเปน.. ซึ่งเรื่องนี้ เนวิลล์ บอกว่า “ขอจำจนตาย”

กล้าในสิ่งที่ควรกล้า 

ทุกคนรู้ว่าช่วงปลายปี 2015 เนวิลล์ ได้เข้าไปคุมทีม บาเลนเซีย ในฐานะโค้ช ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเขาดูวิบัติไปหมด ไม่ว่าจะมองตรงจุดไหนก็เห็นแต่ความผิดพลาด และเรื่องนี้ก็เป็นบทเรียนให้กับเขาแบบสุดๆ และยังคงเป็นเรื่องที่เพื่อนนักวิจารณ์มักจะล้อเลียนเขาอยู่เสมอ

5จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เกิดขึ้นจากความสนิทสนมของ เนวิลล์ กับ ปีเตอร์ ลิม มหาเศรษฐีชาวสิงคโปร์ ที่มีความสนใจด้านฟุตบอลเป็นพิเศษ 

ตัวของ ลิม นั้นเคยพยายามจะซื้อสโมสรอย่าง ลิเวอร์พูล มาแล้วในปี 2010 แต่ก็พลาดไป จากนั้นเขาก็เริ่มหันมาลงทุนในด้านนี้มากขึ้น และได้เป็นหุ้นส่วนกับ เนวิลล์ ทั้งในธุรกิจ Cafe Football และ Hotel Football รวมถึงร่วมถือหุ้นสโมสร ซัลฟอร์ด ซิตี้ ทีมในแถบบ้านเกิด (กับกลุ่ม Class of ’92 อันประกอบด้วย แกรี่ และ ฟิล เนวิลล์, เดวิด เบ็คแฮม, ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์, นิกกี้ บัตต์) นอกจากนี้ ยังปล่อยสินเชื่อให้ เนวิลล์ ลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย

ความสนิทสนมนี้ทำให้ ลิม ที่เป็นเจ้าของสโมสร บาเลนเซีย ชอบใจและเชื่อใจในตัว เนวิลล์ จนกระทั่งจ้างเข้ามาทำงานในปี 2015 และนั่นคือจุดที่พวกเขาพลาดกันทั้งคู่แบบต้องแบ่งรับกันไปคนละครึ่ง 

ประการแรก ลิม เองก็มองตื้นเกินไป เพราะ เนวิลล์ ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานเป็นเฮดโค้ชให้กับทีมใหญ่เลยสักครั้ง มันคือการเดิมพันที่เสี่ยงมาก โดยเฉพาะการเป็นกุนซืออังกฤษในลีกสเปน ซึ่งในประวัติศาสตร์มีเพียง เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน เท่านั้นที่เคยประสบความสำเร็จกับ บาร์เซโลน่า 

ขณะที่ เนวิลล์ ก็ร้อนวิชาสุดๆ จนไม่ทันได้ประเมินศักยภาพของตัวเองให้ดีว่าเหมาะกับงานนี้หรือไม่ แม้เขาจะเรียนจบหลักสูตรโปรไลเซนส์มาแล้ว และเคยทำงานเป็นผู้ช่วยโค้ชทีมชาติอังกฤษให้กับ รอย ฮอดจ์สัน ในช่วงยูโร 2012 แต่ความจริงคืองานที่เขาทำทุกๆวันเป็นงานหลักคือนักวิจารณ์มากกว่า.. แต่ถึงอย่างนั้น หากอยากจะก้าวหน้า อย่างไรเสียก็ต้องลองเสี่ยงดู.. และจากการเสี่ยงครั้งนั้นก็บอกได้คำเดียวว่า “รู้เรื่อง” กันเลยทีเดียว 

เนวิลล์ คุม บาเลนเซีย ไปทั้งหมด 28 เกม ชนะ 10 เสมอ 7 และแพ้ถึง 11 เกม การหนักไปทางแพ้ ทำให้แฟนๆบาเลนเซียไม่ได้รักใคร่ชอบพอเขานัก หนำซ้ำจะหนักไปทางขับไสไล่ส่งเลยก็คงจะไม่ผิดนัก 

ขณะที่สื่อในสเปนหรือแม้กระทั่งสื่อในอังกฤษก็เล่นข่าวของเขากันอย่างสนุกปาก เอามาล้อกันเฮฮา ถึงขั้นมีการจับรีแอ็กชั่นสีหน้าของ เนวิลล์ ในเกมต่างๆแล้วเอามามองเป็นเรื่องตลก นั่นคือสิ่งที่ เนวิลล์ เจอมากับตัว.. มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผู้จัดการทีมฟุตบอลทุกคนก็โดนแบบนี้ แต่เมื่อโดนกับตัวเท่านั้นแหละจึงจะรู้ว่าคนที่โดนนั้นรู้สึกอย่างไร 

“ชายคนนั้นได้รับโอกาสเป็นโค้ชให้กับ บาเลนเซีย มันเป็นอะไรที่โคตรจะตลก เป็นเรื่องโจ๊กอันดับ 1 ของโลกเลยมั้ง ผมคิดว่า แกรี่ เนวิลล์ ไม่มีค่าอะไรเลยในความเห็นของผม แล้วก็ไม่มีอะไรที่ผมต้องเคารพด้วย” ซานติอาโก้ คาญิซาเรส ตำนานนายทวารของ บาเลนเซีย ชุดรองแชมป์ยุโรป กล่าวถึง เนวิลล์ อย่างหัวเสีย

6หลังจากผลงานเริ่มแย่ ทุกครั้งที่ เนวิลล์ พาลูกทีมลงแข่งขันในสนามเหย้า แฟนบอลของ บาเลนเซีย จะเริ่มตะโกนว่า “ออกไปซะทีโว้ยไอ้แกรี่ เนวิลล์” ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่คนเกลียดชัง.. จากคนที่กำลังมีความสุขกับการทำงานในฐานะนักวิจารณ์อยู่ดีๆ โดนแบบนี้ เนวิลล์ ก็ออกอาการเป๋ ยิ่งเล่นยิ่งเละ จนกระทั่งสุดท้ายก็รั้งไม่ไหว เขาโดนไล่ออกจากตำแหน่งไปตามระเบียบ 

เนวิลล์ โดนล้อมากเป็นพิเศษเพราะด้วยความที่เขาเป็นนักวิจารณ์ที่ชี้นิ้วโน่นนี่ บอกว่าคนนั้นเล่นผิดคนนี้เล่นถูก เคยบอกว่าโค้ชคนนี้แทคติกห่วยแตก สุดท้ายทั้งหมดก็ย้อนกลับมาใส่ตัวเขาทั้งหมด และนั่นคือความจริงที่เจ็บปวดที่ เนวิลล์ ไม่เคยลืม และเขาไม่อยากจะเป็นนักวิจารณ์ที่ทำให้ใครสักคนต้องเศร้าหมองในขณะใช้ชีวิตหลังจากเกมการแข่งขันได้จบลงไปแล้ว 

ที่สุดแล้วหากจะถามถึงความล้มเหลวนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะอธิบายยากอะไร สื่อยักษ์อย่าง บีบีซี ลงสนามเรื่องนี้และวิเคราะห์ออกมาเป็นข้อๆถึง 4 ข้อที่ แกรี่ เนวิลล์ สอบตก ได้แก่..

ข้อแรกคือ อุปสรรคทางภาษา เขาอาจจะพูดภาษาอังกฤษได้ดีมีวาทะศิลป์ แต่ภาษาสเปนเขาก็แค่คนหัดพูดงูๆปลาๆ เขาซื้อใจลูกทีมด้วยคำพูดได้ยังไม่เท่าไหร่ สิ่งที่หนักกว่าคือการสื่อสารและสั่งการเรื่องแทคติก เมื่อไม่เข้าใจ ลงสนามไปก็เละตามระเบียบ

ข้อสองคือ แผนการเล่นที่มั่วซั่วเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแทบทุกเกม บางเกมกดดันเพรสซิ่งสูง บางเกมถอยลงมาอุดในแดนทั้ง 11 ตัวและเน้นโยนยาวเข้าเขตโทษ เขาไม่เคยชัดเจนกับวิธีการเล่นของทีม และในการเล่นระดับนี้ หากคุณขาดซึ่งแนวทางและไม่มีจุดแข็ง คุณก็จะกลายเป็นหมูให้คู่แข่งที่พร้อมกว่าเชือดเอาได้ง่ายๆ 

7ข้อสามคือ แฟนบอลไม่ชอบเขาแต่แรกแล้ว ไม่ใช่เพราะเขาไม่เก่ง แต่เพราะแฟนบอลไม่ชอบ ปีเตอร์ ลิม ที่ทำให้สโมสรตกต่ำหลังเข้ามาเทคโอเวอร์ ลิมมีนโยบายที่ขัดใจแฟนๆมาตลอด เนวิลล์ จึงเหมือนถูกตีวัวกระทบคราด โดนต่อต้านตั้งแต่งานยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำ และเมื่อขาดแรงสนับสนุน มันก็ยากจะที่จะแสดงลูกฮึดหรือพลังที่แท้จริงออกมา 

ข้อสุดท้ายคือ มันผิดที่ ผิดเวลา ผิดตำแหน่งไปหมด เขากำลังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีผ่านหน้าจอโทรทัศน์ แต่เขากลับเอาตัวเองมาลงกับงานที่ไม่เคยทำ แถมยังต้องรับแรงกดดันมากกว่าคนปกติจากสิ่งที่ตัวเองเคยพูดและวิจารณ์คนอื่น นั่นแหละคือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับ เนวิลล์ ที่เมสตายา 

หลังโดนไล่ออกในปี 2016 Sky Sports อ้าแขนรับเนวิลล์สู่อ้อมอกอีกครั้งด้วยความเต็มใจ พวกเขาได้นักวิจารณ์ฝีมือดีกลับมาแล้ว และได้เวลาที่ เนวิลล์ จะกลับมาจับคู่กับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ เพื่อระเบิดเรตติ้งของรายการอีกครั้ง

ขณะที่ เนวิลล์ เมื่อกลับมาทำงานที่ตัวเองถนัดเขาก็โชว์ลีลาทันที เขาโดนแซวเรื่องทั้งหมดที่ บาเลนเซีย กลางรายการ หลายคนคิดว่าเขาอาจจะหน้าเสียและดึงเข้าสู่โหมดดราม่าหรือสาวไส้เอาเรื่องภายในมาเล่า แต่สิ่งที่ เนวิลล์ ตอบกลับในรายการคือสิ่งที่คนดูต้องขำก๊ากและต้องยอมรับ “ไอ้นี่มันกวนจริง” 

“หึ ไม่เอา ไม่มีสักเสี้ยวเลยที่ผมคิดถึงช่วงเวลาหรือตื่นขึ้นมาแล้วบอกกับตัวเองว่า แหม วันนี้ฉันอยากกลับไปคุมลูกทีมลงซ้อมอีกครั้งจัง” เนวิลล์ กล่าวอย่างอารมณ์ดี 

“เรื่องบางเรื่องก็ปล่อยให้มันเป็นประสบการณ์และการเรียนรู้ก็พอนะ ผมรักฟุตบอลเหมือนเดิม ชอบดูฟุตบอลเหมือนเดิม แต่ถ้าให้กลับไปคุมทีมอีกผมบอกได้คำเดียวว่า ขอเหอะ ผมผ่านจุดนั้นมาได้แล้ว ได้เวลาก้าวต่อไปแล้วพวก” 

8ทุกวันนี้ เนวิลล์ ยังคงเดินหน้าในสายงานถนัดของตัวเองได้อย่างน่าชื่นชม ตลกบ้าง สาระบ้าง ยียวนบ้าง ดุเด็ดเผ็ดมันบ้าง แม้จะไม่ยึดมั่นในสไตล์ แต่การไหลไปเรื่อยของเขาก็ไม่มีใครมากดดันไล่เขาออก หรืออย่างน้อยที่สุดในตอนเช้าเขาก็คงเต็มใจจะตื่นขึ้นมาด้วยเสียงนาฬิกาปลุก จิบกาแฟสักถ้วย และบอกกับตัวเองว่า “ไปทำงานที่เรารักกันดีว่า”.. แค่นี้ก็พอแล้ว