sportpooltoday

ปาโบล ออสวัลโด้ : จอมแสบของเพื่อนร่วมทีม และชีวิตสไตล์ Rock & Roll


ปาโบล ออสวัลโด้ : จอมแสบของเพื่อนร่วมทีม และชีวิตสไตล์ Rock & Roll

นักเตะอาชีพที่ได้ค้าแข้งกับทีมดัง ๆ ในยุโรป ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มบุคคลเพียงหยิบมือที่ประสบความสำเร็จ มีผู้คนมากมายที่อยากไปอยู่จุดนั้นที่ทำให้ได้มาซึ่งเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ … และสิ่งเหล่านี้หลายคนเชื่อว่ามันคือที่สุดของความหอมหวาน หากได้ลองลิ้มชิมรสก็ยากที่จะยอมปล่อยมือจากมันได้

แต่นั่นไม่ใช่กับ ปาโบล ออสวัลโด้ นักเตะทีมชาติอิตาลี ที่พยายามทุ่มสุดตัวเพื่อไปให้ถึงจุดสูงสุด แต่ในวันที่เขาคว้ามันมาได้ เขากลับเลือกจะทิ้งมันไปด้วยเหตุผลง่าย ๆ แค่ว่า 

“คนไม่เข้าใจก็หาว่าผมบ้า ผมก็แค่อยากเล่นกีตาร์และเมาไปวัน ๆ” … ติดตามเรื่องราวของชายผู้เคยงัดกับ ฟรานเชสโก้ ต็อตติ, ต่อย เอริค ลาเมล่า, ไล่ยิงแฟนบอล, เอาหัวโขกหน้ากัปตันทีม, ทำลายห้องแต่งตัวจนพังพินาศ ได้ที่นี่กับ Main Stand

ปล่อยชีวิตไปกับสายลม 

เรื่องราววัยเด็กของ ปาโบล “ดานี่” ออสวัลโด้ ไม่แตกต่างอะไรจากนักเตะระดับแถวหน้าของโลกคนอื่น ๆ นัก เขาเกิดที่เมืองลานุส ประเทศอาร์เจนตินา เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่ยังเด็กและตั้งเป้าว่าจะต้องทำให้มันเป็นอาชีพให้ได้ ตัวเขาเองไม่ได้หวังไกลไปถึงระดับได้เป็นนักเตะระดับโลกหรือไปเล่นในทีมระดับท็อปของยุโรปตั้งแต่แรก ฝันของเขานั้นเรียบง่ายคือแค่อยากจะเล่นให้กับ โบคา จูเนียร์ส ทีมดังของประเทศ ซึ่งเรื่องนี้เขามาเผยความเอาเมื่อตอนใกล้จะเลิกเล่น … เพียงแต่ว่าฝีเท้าและโชคชะตาได้พาเขาไปไกลยิ่งกว่าที่ตัวเองคาดหวังไว้ 

บังเอิญว่า ออสวัลโด้ ดันมีพรสวรรค์และพัฒนาอย่างรวดเร็ว เขาเล่นระดับอาชีพในบ้านเกิดกับ อูรากัน ได้เพียงปีเดียวก็ได้ย้ายมาค้าแข้งในอิตาลีกับ อตาลันตา โดยการย้ายทีมของเขาก็ง่ายดายเกินคาด เพราะเขาไม่ต้องกังวลเรื่องเวิร์กเพอร์มิต หรือใบอนุญาตทำงานในอิตาลีเลยแม้แต่น้อยต่อให้เขาไม่เคยติดทีมชาติอาร์เจนตินาชุดใหญ่ก็ตาม เนื่องจากปู่ทวดของเขามีเชื้อสายอิตาเลียนที่อพยพไปตั้งรกรากที่อาร์เจนตินา ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้สัญชาติอิตาลี และลงเล่นให้กับอตาลันตาในทันที 

อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ข้างต้น ออสวัลโด้ ไม่ใช่คนที่วางแผนชีวิตยาว ๆ มีเป้าหมายใหญ่ ๆ เหมือนกับนักเตะอีกหลายคน แต่เมื่อโชคชะตาได้นำพา เขาก็มีหน้าที่ต้องด้นสดรับบทบาทนั้นไป แม้เขาจะไม่ค่อยชอบเส้นทางนี้มากนัก

 

“ผมจำได้ดี ผมไปถึงแบร์กาโมตอนที่อายุ 20 ปี ตอนนั้นอยู่ในช่วงวันที่ 12 เดือนมกราคม อากาศกำลังหนาวสุด ๆ หิมะตกแทบไม่หยุด โรงแรมที่พักของผมอยู่ห่างไกลผู้คน ผมเปิดประตูห้องและร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว … ผมรู้แน่ว่าหลังจากนี้มันจะต้องเป็นเรื่องยากสำหรับผมแน่นอน” 

“ไม่มีคนอาร์เจนตินาสักคน และผมอยู่ไกลบ้านที่สุดในชีวิต พอต้องซ้อมกับทีมผมก็เข้ากับใครไม่ได้เลยสักคน เพื่อน ๆ เขาจับกลุ่มคุยกันหัวเราะข้ามหัวผมไปมาด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจ ผมรู้สึกหวาดระแวงและรู้สึกไปเองว่าพวกเขากำลังหัวเราะเยาะผม” 

“แต่ชีวิตคนเราก็แบบนี้ ตัดสินใจแล้วก็ต้องไปต่อ ผมก็ค่อย ๆ พยายามปรับตัวเข้าหาคนอื่น แล้วมันก็เริ่มดีขึ้น” ออสวัลโด้ ให้สัมภาษณ์ย้อนกลับไปในวันที่เขามายุโรปครั้งแรก 

ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ ออสวัลโด้ ทำหน้าที่ของเขาได้ดี อตาลันตาที่ไม่ได้ใช้งานเขามากนักส่งตัวเขาไปให้กับ เลชเช่ ทีมร่วม เซเรีย บี ณ เวลานั้นที่ซื้อสิทธิ์ในตัวเขาคนละครึ่ง ก่อนจะได้ลงเล่นมากขึ้นจนไปเข้าตาทีมใหญ่อย่าง ฟิออเรนติน่า และย้ายไปอยู่กับ โบโลญญ่า ตามลำดับ แต่ออสวัลโด้ก็เล่าว่าตอนนั้นเขาไม่ได้มีความสุขสักเท่าไร

“นับวันฟุตบอลก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความชอบสมัยเป็นเด็กมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนผมเล่นกับเพื่อน ๆ แถวบ้านเราสนุกกันอย่างกับว่าเราเล่นนัดชิงฟุตบอลโลก ผมพยายามทำให้มันสนุกกับเหมือนกับตอนเป็นเด็กอีกครั้ง แต่ที่อิตาลีมันไม่เป็นแบบนั้นเลย คุณถูกคาดหวังและวิจารณ์เยอะ ต้องเป็นแบบโน้นต้องเป็นแบบนี้ มันหนีไม่พ้นหรอกนอกจากคุณจะยิงได้ 15 ประตูใน 3 เกม” ออสวัลโด้ กล่าว  

ปัญหาคือตอนนั้นแม้จะได้โอกาสลงเล่นในเซเรีย อา แต่ ออสวัลโด้ ก็เล่นไม่ออกเลยทั้งกับ ฟิออเรนติน่า และ โบโลญญ่า 3 ซีซั่นกับ 2 ทีมดังกล่าว ออสวัลโด้ ยิงได้แค่ 8 ลูก และนั่นทำให้เขาถูกแฟนบอลวิจารณ์ ซึ่งเขายอมรับว่ามันเป็นเรื่องกวนใจเขาที่สุด ณ เวลานั้น 

ในตอนที่เล่นกับ ฟิออเรนติน่า แฟนบอลกลุ่มฮาร์ดคอร์ของทีมไม่ชอบในความไม่ทุ่มเทของเขา และนำเขาไปเปรียบกับดาวยิงอาร์เจนไตน์ตำนานสโมสรอย่าง กาเบรียล บาติสตูตา ซึ่ง ออสวัลโด้ ก็โดนตามด่าทั้งในสนามซ้อมทั้งในสนามแข่ง แต่บังเอิญว่าเขาเป็นคนที่ไม่ชอบโดนฝ่ายเดียว มีเกม ๆ หนึ่งที่เขายิงประตูได้ในเกมเหย้าต่อหน้าแฟนบอลตัวเอง ออสวัลโด้ฉลองประตูด้วยท่ายิงปืนกลแบบที่บาติสตูตาทำ เพียงแต่เขาหันปากกระบอกปืนใส่ฝั่งแฟนบอลของตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้แฟนบอลเกือบจะลงมามีเรื่องกับเขาในสนาม และมันก็ทำให้เขาโดนใบเหลืองในจังหวะนั้น ข้อหาสร้างความวุ่นวายในสนามอีกด้วย 

“แฟนบอลจ่ายค่าตั๋ว พวกเขามีสิทธิ์ไล่ด่าผมหรือไม่ ? แน่นอน พวกเขามีสิทธิ์ แต่พวกเขาก็ไม่ควรทำอะไรที่มันมากเกินไป ผมกลายเป็นเป้า แค่เสียบอลพวกเขาก็พร้อมจะแสดงความเกลียดชังใส่ผมแล้ว ผมว่ามันไม่ปกติ … ผมอยากจะบอกว่าเอาแบบนี้ไหมล่ะ ? ถ้าวันไหนแฟนบอลพวกนี้ทำอะไรที่ผิดกฎสนามหรือกฎหมายผมจะไล่บี้พวกเขา ปากล้วยใส่เขา ด่าแม่ของพวกเขาว่าทำไมถึงเลี้ยงลูกได้ห่วยแตกมาก ถ้าตามตรรกะผมคิดว่าแบบนี้มันก็ได้อยู่นะ” ออสวัลโด้ แย้มเป็นนัย ๆ ว่าเขาเริ่มเบื่อและอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้างเพื่อตามหาคำ ๆ เดียวนั่นคือ “ความสุข” ในแบบนี้เขาไม่ได้สัมผัสมาหลายปี

เกิดใหม่ – ดับใหม่ 

นักเตะอย่าง ออสวัลโด้ ไม่ค่อยถนัดที่จะเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนากับใคร นั่นจึงทำให้เขาไม่ค่อยมีเพื่อนนัก โชคดีที่การย้ายทีมครั้งต่อไปช่วยเขาได้มากจริง ๆ เขาถูกส่งยืมตัวไปที่ เอสปันญอล ที่มี เมาริซิโอ โปเชตติโน่ กุนซือหนุ่ม ณ เวลานั้นกุมบังเหียนอยู่ในช่วงปี 2009

โปเชตติโน่ เป็นคนที่ทำงานกับนักเตะอายุน้อยได้ดี เขามักจะถามไถ่และพูดคุยกับนักเตะเพื่อให้นักเตะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการ นอกจากนี้ชีวิตในสเปนของเขาก็ไม่ได้ถูกจับจ้องและจับผิดเหมือนกับตอนอยู่ที่อิตาลี นั่นทำให้เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม 2 ฤดูกาลกับ เอสปันญ่อล เขาเป็นดาวซัลโวของทีม 2 ซีซั่นติดต่อกัน ยิงได้ 26 ประตูจาก 42 เกม 

“ที่สเปนผมเป็นอิสระ บางครั้งผมก็แค่อยากเป็นคนธรรมดาที่สามารถเดินเที่ยวตามที่ต่าง ๆ ในเมืองได้ ซึ่งที่อิตาลีมันเป็นไปไม่ได้เลย ช่วงที่อยู่สเปนผมไปเดินเที่ยวแถบจัตุรัสกาตาลุนยา (Plaça de Catalunya) บ่อยมาก ผมมีเพื่อน ๆ ที่พูดคุยกันรู้เรื่อง เพื่อนผมเป็นจิตรกรที่คอยวาดภาพผู้คนอยู่ที่จัตุรัส ส่วนผมก็ไปเล่นกีตาร์เปิดหมวกบ้าง พวกเขาจำผมไม่ค่อยได้ และนั่นเยี่ยมมากเลย มันคือความเรียบง่ายที่มีเสน่ห์” ออสวัลโด้ กล่าว

ขณะที่ โปเชตติโน่ ก็บอกว่านั่นคือช่วงเวลาที่เขาจำได้ว่า ออสวัลโด้ สำคัญกับทีมขนาดไหน กองหน้าที่แม้จะไม่ได้เร็วมากแต่ทักษะดี จบสกอร์เก่งเซนส์บอลสูง ซึ่ง “พอช” ถึงขั้นบอกว่า “ผมจินตนาการถึงทีมเอสปันญอลที่ไม่มีออสวัลโด้ไม่ออกจริง ๆ” ซึ่งในซีซั่นนั้น (2010-11) ออสวัลโด้ ก็ยิงไป 14 ลูก และช่วยให้ทีมจบอันดับ 8 ของตารางคะแนน  

ณ เวลานั้นแม้แต่ทีมชาติอิตาลีก็ยังอดใจไม่ไหว พวกเขาส่งทีมมาทาบทามออสวัลโด้ให้เลือกติดทีมชาติอิตาลีตามสัญชาติของปู่ทวด ความโดดเด่นของเขาทำให้เขาถูก โรม่า ซื้อตัวไปร่วมทีมด้วยราคา 15 ล้านปอนด์ ซึ่ง ณ เวลานั้นตัวของออสวัลโด้ไม่ได้อยากจะย้ายทีมเท่าไรนัก แต่เอสปันญอลก็เป็นทีมที่ต้องการเงิน และการซื้อออสวัลโด้มาด้วยราคาเพียง 4 ล้านปอนด์แต่กลับทำกำไรได้ถึง 3 เท่าภายในเวลาไม่ถึงปี ดังนั้นต่อให้นักเตะไม่อยากย้ายแต่ดีลนี้ก็ถูกผลักดันจนได้  

ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ ออสวัลโด้ กำลังอยู่ในระยะเวลาของการขึ้นหม้อถึงขีดสุด เขาเล่นให้กับ โรม่า 2 ซีซั่น ยิงได้ถึง 30 ลูกจากการลงสนาม 58 นัด ความมั่นใจจากสเปนช่วยเขาได้จริง อย่างน้อย ๆ ก็เรื่องของฟอร์มการเล่น แต่สิ่งที่ติดตัวเขามาด้วยก็คือเมื่อเขาได้เป็นคนสำคัญของทีมเขาก็กลายเป็นตัวปัญหาในห้องแต่งตัวในเวลาเดียวกัน และโชคร้ายคือเขาไม่ได้เป็นแบบนั้นแค่ในช่วงเวลาที่เป็นนักเตะแต่ยังมีปัญหากับครอบครัวด้วย 

เขาสร้างวีรกรรมที่ทำให้หลายคนเอือม ทั้งการต่อยหน้า เอริค ลาเมล่า นักเตะรุ่นน้องในทีมระหว่างพักครึ่งในห้องแต่งตัว ปัญหาเกิดขึ้นจากเรื่องง่าย ๆ นั่นคือลาเมล่าไม่ยอมส่งบอลให้เขาที่อยู่ในพื้นที่ว่าง

 

“สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับลาเมล่าเป็นเรื่องของอารมณ์ร่วม … ผมรำคาญจริง ๆ ที่ต้องย้อนพูดถึงเรื่องนี้ แต่ผมเป็นกองหน้า แล้วกองหน้าจะยิงได้อย่างไรถ้าไม่มีบอล คนเป็นกองหน้ามันต้องมีเรื่องแบบนี้บ้าง ก็เขาไม่ส่งบอลให้ผม … แต่ถ้ามามองมันตอนนี้ เมื่ออารมณ์เย็นลงผมก็มาคิดแล้วก็เข้าใจเขา ถ้าผมมีเท้าซ้ายแบบเขาผมก็คงเป็นปีกที่หวงบอลเหมือนกัน” ออสวัลโด้ รับสารภาพ 

แม้จะมีประตูเยอะแต่ออสวัลโด้ก็เป็นที่เอือมระอาของทุกคน ออสวัลโด้ชอบเล่นตามใจตัวเอง คุมอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ เขาโดนใบแดงรวม 4 ใบ (แดงตรง 3 สองเหลือง 1) ตลอด 2 ปีที่อยู่กับทีม และก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ที่ทำให้แฟนบอลพร้อมใจกันหันหลังให้เขาจนเขาอยู่โรม่าต่อไม่ได้ นั่นคือการแย่งยิงจุดโทษจาก ฟรานเชสโก้ ต็อตติ ตำนานตลอดกาลของโรม่า ซ้ำร้ายที่การเขาแย่งยิงจุดโทษครั้งนั้นดันจบลงด้วยการที่เขายิงไม่เข้า และ โรม่า จบเกมด้วยการเป็นฝ่ายแพ้ให้กับ ซามพ์โดเรีย 1-3 

แฟนบอลโรม่าถึงขั้นเกลียดออสวัลโด้เลยจากเหตุการณ์นั้น ถึงขนาดที่ว่าคู่กรณีอย่างต็อตติยังออกมาปรามแฟน ๆ ของทีมว่าเรื่องดังกล่าวเป็นแค่จังหวะฟุตบอล และตัวของเขาก็ไม่ได้โกรธอะไร เพียงแต่ว่ามันไม่ทันแล้ว ออสวัลโด้ทำตัวเป็นปัญหาบ่อยเกินไป เขากลายเป็นเป้าของแฟน ๆ เหมือนกับตอนที่อยู่กับฟิออเรนติน่าไม่มีผิด 

หลังปิดซีซั่น บอร์ดบริหารปักป้ายขายออสวัลโด้ ชื่อเสียงในด้านลบของเขาทำให้ไม่มีใครกล้าลองของ นอกเสียแต่คน ๆ เดียวที่รู้จักกันเป็นอย่างดี … โปเชตติโน่ เลือกไว้วางใจลูกทีมเก่าของเขาด้วยการยื่นข้อเสนอ 15 ล้านปอนด์ ดึงตัวออสวัลโด้จาก โรม่า มาอยู่กับ เซาธ์แฮมป์ตัน ในพรีเมียร์ลีก 

คนคุ้นเคย ทรงบอลคุ้นขา ใคร ๆ ก็คิดว่าเกิดแน่ ทว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของจุดจบจริง ๆ สำหรับอาชีพนักฟุตบอลของออสวัลโด้

ชีวิตที่ต้องการ 

ออสวัลโด้ ไม่ทันได้โชว์ศักยภาพในสนามเลยด้วยซ้ำที่เซาธ์แฮมป์ตัน อย่างที่ได้กล่าวไว้เขาเป็นคนที่เล่นตามอารมณ์ พอเขาเริ่มหงุดหงิดและมีปัญหาเขาก็มักเลือกที่จะก่อเรื่องเพิ่มมากกว่าสะสาง 

ออสวัลโด้ พังห้องแต่งตัวของเซาธ์แฮมป์ตันอย่างเละเทะ นอกจากไม่สนใจ ไม่ทุ่มเทแล้ว เขายังมีเรื่องในสนามแข่งด้วยการตะลุมบอนข้างสนามในเกมพบกับ นิวคาสเซิล จนโดนแบน 3 เกม แถมยังมีเรื่องกับ โชเซ ฟอนเต้ กัปตันทีมนักบุญ เนื่องจากฟอนเต้มาต่อว่าเขาเรื่องการซ้อมที่เหยาะแหยะ ก่อนที่ ออสวัลโด้ จะสวนใส่ ฟอนเต้ ด้วยการเฮดบัตต์เข้าเต็มหน้า จนเดือดกันทั้งสนามฝึกซ้อม 

สโมสรสั่งพักงานเขาทันที่ 2 สัปดาห์เพื่อให้ตั้งสติ แต่ไม่ทันแล้วออสวัลโด้กระเจิดกระเจิงไปไกล นักเตะทั้งทีมคว่ำบาตรเขา และให้โปเชตติโน่ต้องตัดสินใจตัดก้อนเนื้อร้ายด้วยการพยายามขายออสวัลโด้ออกไปแต่กลับขายไม่ออก สุดท้ายจึงต้องจบด้วยการปล่อยยืมให้กับ ยูเวนตุส, อินเตอร์ มิลาน และ โบคา จูเนียร์ส จนกระทั่งมีการยกเลิกสัญญาในท้ายที่สุด 

โปเชตติโน่ คือคนที่รับผิดชอบกับเรื่องนี้ และได้บทเรียนอย่างมากกับการกระทำของออสวัลโด้ จนถึงขนาดที่ยืนยันด้วยตัวเองว่า “ต่อไปนี้เขาจะไม่ทำผิดพลาดในการซื้อนักเตะแบบที่เคยทำกับออสวัลโด้อีกแล้ว”

“ผมยอมรับเต็มประตูเลยว่าผมทำงานผิดพลาด ผมเห็นปัญหาที่เขาทำกับฟอนเต้ และผมคิดในใจว่า ไม่มีการเซ็นสัญญาไหนของผมเลวร้ายกว่านี้อีกแล้ว เมื่อคุณเป็นนักเตะอาชีพ ระเบียบวินัยและพฤติกรรมที่ดีสำคัญพอ ๆ กับผลงานในสนาม คุณต้องเป็นมิตรกับเพื่อนร่วมทีม สิ่งที่เขาทำถือว่าเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ เราต้องจัดการเขาเพื่อให้บรรยากาศในห้องแต่งตัวกลับมาดีอีกครั้ง” โปเชตติโน่ กล่าว 

ชื่อของ ออสวัลโด้ ค่อย ๆ หายไปจากสารบบของฟุตบอลในฐานะจอมแสบสำหรับเพื่อนร่วมทีมหลาย ๆ คนที่เคยมีอดีตร่วมกับเขา การไม่มีใครเอาสำหรับนักเตะอาชีพถือเป็นเรื่องเลวร้าย คุณไม่มีสโมสรอยู่ก็เท่ากับว่าคุณไม่มีค่าจ้าง และนั่นจะเป็นปัญหากับชีวิตของคุณแน่เมื่อชีวิตมีแต่รายจ่ายแต่ไม่มีรายรับ 

น่าแปลกที่ความตกต่ำนี้กลับเป็นเรื่องที่ออสวัลโด้เฝ้ารอ เขามีเงินเก็บจำนวนมากพอที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ นั่นคือการเที่ยวออกตามหาแรงบันดาลใจ ทำวงดนตรี แม้ในช่วงการว่างงาน 3 เดือนในช่วงปี 2016 จะมีทีมในเซเรีย อา อย่าง คิเอโว ติดต่อเขา แต่ออสวัลโด้ก็ยืนยันด้วยตัวเองว่าเขาจะเลิกเล่นฟุตบอลแล้ว เพราะเขาสนุกกับชีวิตที่ไม่ต้องโดนใครคาดหวังมากกว่า 

“ช่วงท้าย ๆ ของอาชีพนักฟุตบอล ผมเหมือนเป็นโรคกลัวสังคม ผมไม่อยากออกจากบ้าน ผมได้สัญญาสวย ๆ ไม่น้อยจากทีมระดับแชมเปี้ยนส์ลีกรวมถึงสโมสรจากจีน แต่ผมพอแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปผมหาตัวเองเจอ ผมตกผลึกและคิดว่าตอนนี้ฟุตบอลที่เคยเป็นสิ่งที่ผมเคยรักได้กลายเป็นสิ่งที่ผมเกลียด … ถ้าผมจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ผมก็คงต้องรับผิดชอบและเคารพหน้าที่ของตัวเอง แต่ขอเถอะ ผมชัดแจ้งแล้วผมแค่อยากกินเนื้อย่างและดื่มเบียร์มากกว่าหาเงินแล้ว” 

“ฟังดูบ้าใช่ไหม ? แต่ถ้าไม่เป็นผมก็คงไม่เข้าใจหรอก ผู้คนชอบบอกกับผมว่า ‘คุณบ้ามาก คุณมีทุกอย่างก็เพราะฟุตบอล ได้เล่นกับทีมที่ดีที่สุดในโลก แต่ดันแขวนสตั๊ดเพื่อมานั่งดื่มและเล่นดนตรีแบบนี้’ … ผมก็ตอบไม่ได้ แต่ผมรู้สึกว่าบางทีชีวิตมันก็ต้องตามหาความชอบให้เจอ การได้อยู่กับสิ่งที่ชอบยังไงก็ดีกว่าอยู่แล้ว” ออสวัลโด้ กล่าว

“ผมเหมือนวิญญาณที่เป็นอิสระ หลายคนถามผมว่าทำไมไม่ตั้งใจซ้อม ไม่อยากยอดเยี่ยมแบบเมสซี่เหรอ … ผมจะตอบตรง ๆ เลยนะว่าผมอยากจะเก่งฟุตบอลเหมือนเขา แต่ผมไม่อยากเป็นตัวเขาเลย เขาเหมือนกับคนไร้ชีวิตเหมือนกับติดอยู่ในคุกที่ทำมาจากทอง เขาไม่สามารถไปเที่ยวที่ไหนหรือหาที่ดื่มเงียบ ๆ ได้ … ผมรู้ว่าเขาไม่สนเรื่องพวกนี้หรอก แต่สำหรับผม ผมโคตรจะต้องการมันมาก ๆ เลย” 

ออสวัลโด้ ไปได้ดีพอสมควรกับอาชีพหลังเลิกเล่นฟุตบอล เขาได้รับงานถ่ายแบบหลายเจ้าด้วยหน้าตาทรวดทรงที่หล่อเหลา เขาได้ออกไปเล่นดนตรีและตั้งวงร็อคที่มีชื่อว่า Barrio Viejo มีงานเล่นประจำที่บาร์เซโลน่า ทุกคืนเขาได้พบกับผู้คนมากมาย ได้ดื่มกิน และได้ทำในสิ่งที่อยากทำ

การเป็นจอมแสบของเขาได้ปิดฉากลงไปพร้อม ๆ กับการโบกมือลาโลกฟุตบอล (แม้จะแวบกลับมาเล่นให้ แบนฟิลด์ ทีมในบ้านเกิดช่วงสั้น ๆ 6 เดือน เมื่อปี 2020 ก็ตาม) ออสวัลโด้ยังบอกอีกว่าถ้าเขารู้แบบนี้เขาคงไม่เล่นฟุตบอลให้ทรมานตัวเอง และทำร้ายความรู้สึกคนอื่น ๆ มานานขนาดนี้แน่นอน … ตอนนี้เขาได้เจอชีวิตที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว 

“ฟุตบอลไม่ใช่ความฝันของผม ผมยอมแพ้ให้กับมัน แต่ตอนนี้ผมพูดได้เต็มปากแล้วว่าผมอยากเป็นนักดนตรีร็อคหรือบลูส์ หรือเป็นนักเขียนก็ได้ ผมชอบบทกวีและบทเพลง”

“เมื่อนานมาแล้วผมอาจจะเคยบอกว่าผมอยากเป็นนักฟุตบอล และผมก็ได้ทำมัน พอผมไปถึงจุดนั้นและได้รู้จักมันจริง ๆ มันช่วยให้ผมได้คำตอบว่าจริง ๆ มันก็ไม่มีอะไรมากมาย ผมพูดได้เต็มปากเพราะผมไปถึงจุด ๆ นั้นมาแล้วด้วยตัวเอง” 

“ผมลาออกจากวงการฟุตบอลและไม่รู้สึกหนักใจอีกต่อไป ผมรู้สึกอิสระและผ่อนคลาย แน่นอนยิ่งกว่า 100% คือตอนนี้ผมโคตรจะมีความสุขกับชีวิตมากเลย” ออสวัลโด้ กล่าวทิ้งท้าย