ย้อนกลับไปสัก 10-20 ปีก่อน แทบไม่เคยมีใครได้ยินชื่อของตำแหน่ง “ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านลูกตั้งเตะ” ในสารบบของวงการฟุตบอลมากนัก ทว่าทุกวันนี้ หลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ณ ปัจจุบัน สโมสรระดับโลกล้วนมีผู้เชี่ยวชาญตำแหน่งนี้เป็นของตัวเองทั้งนั้น แม้กระทั่งทีมระดับดิวิชั่น 4 ของอังกฤษก็ต้องการ เพราะพวกเขาได้เห็นผลลัพธ์อันแสนจะคุ้มค่าในระดับที่หากคุณไม่ทำตามคุณจะคุยกับเขา “ไม่รู้เรื่อง”
และนี่เรื่องราวการกำเนิดและจุดพีกของอาชีพ “โค้ชลูกตั้งเตะ” ผู้ครองตำแหน่งสำคัญในจังหวะชี้เป็นชี้ตายของโมเดิร์นฟุตบอลอย่างแท้จริง
ติดตามได้ที่นี่กับ Main Stand
เพราะลูกนิ่งคือสิ่งชี้ตาย
การจะยิงประตูให้ได้สักลูกในการแข่งขันฟุตบอลถือเป็นเรื่องยากเย็น ว่ากันว่า 1 ประตูที่เกิดขึ้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปเกม สถานการณ์ และแม้แต่สภาพจิตใจของนักเตะที่อยู่ในสนาม
เรื่องนี้ถ้าคุณเป็นคนที่ดูฟุตบอลและเชียร์ทีมรักคุณจะเข้าใจในทันที ยกตัวอย่างเช่น เมื่อทีมรักของคุณนำคู่แข่งอยู่ 2-0 รูปเกมดีกว่าหมดทุกอย่าง ปูพรมบุกเพื่อหาประตูที่ 3 ต่อไป สภาพจิตใจของคุณที่เป็นคนดูก็จะรู้สึกสบายอกสบายใจ มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าชัยชนะไม่น่าพ้นเงื้อมมือทีมรักของคุณไปได้
แต่ทว่าหากอยู่ดีๆ ฝั่งตรงข้ามที่เป็นทีมรองบ่อนเล่นสู้ไม่ได้ เกิดยิงประตูผีจับยัดตีไข่แตกไปสักลูกและสกอร์เปลี่ยนเป็น 2-1 .. ไม่ต้องสืบเลยว่าความร้อนรนและความกังวลจะเกิดขึ้นกับคุณทันที แม้จะเป็นแค่คนดู แต่คุณก็สามารถสัมผัสได้ถึงความกดดันอย่างง่ายดาย
แล้วนักเตะในสนามล่ะจะขนาดไหน? ทีมที่เป็นต่อจากการที่เล่นเหนือกว่าอยู่ดีๆก็อาจจะเสียการควบคุมเกมไป เล่นผิดพลาดง่ายๆ และถ้ารับมือกับความกดดันไม่ได้ เผลอๆประตูที่ถูกตีเสมอก็อาจจะเกิดขึ้นได้ แม้เวลาจะเหลืออีกเพียงน้อยนิดก็ตาม
ขณะที่ฝั่งไล่ซึ่งรูปเกมสู้ไม่ได้ที่เหมือนแพ้ไปแล้วค่อนตัวตอนตามหลัง 2 ลูก พวกเขาจะห่อเหี่ยวและพร้อมถอดใจ แต่จะกลับกลายเป็นเหมือนคนละทีมหากได้ประตูตีไข่แตก พวกเขาจะบี้แล้วบี้อีก วิ่งสู้ฟัดราวกับมีถ่านสำรองเปลี่ยนมาใช้ระหว่างเกม .. และหากจะถามว่าในยามที่สกอร์ขยับมาตามแค่ลูกเดียวกับเวลาที่แสนจำกัด ทีมที่ตามหลังจำเป็นต้องใช้ท่าไม้ตายที่ว่ากันว่าซับซ้อนน้อยที่สุด นั่นคือการรอเล่นลูกตั้งเตะ หรือลูกเซตพีซต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟรีคิกหรือเตะมุมก็ตาม
ดังนั้นเอง ลูกเซ็ตพีซเหล่านี้จึงกลายเป็นอาวุธสำคัญมากๆในการแข่งขันฟุตบอลทุกระดับ ตั้งแต่ฟุตบอล อบต. ไปจนถึงฟุตบอลระดับโลก และเมื่อมันมีความสำคัญขนาดนั้น เหตุใดจึงไม่ทำมันให้ดีสุดๆไปเลย?
กล่าวคือ เวลาเป็นฝ่ายตั้งรับ ก็ต้องทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะมีวิธีรับมือ ทั้งเรื่องการประกบตัว การตั้งกำแพง และการป้องกันผู้รักษาประตูของตัวเองไม่ให้ถูกฝั่งตรงข้ามรบกวน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่หากทำได้ไม่ดีพอก็อาจนำไปสู่การเสียประตูได้ทั้งสิ้น
ขณะเดียวกันเมื่อเป็นฝ่ายรุก จะดีกว่าไหมที่คุณซักซ้อมวิธีการเล่นลูกนิ่งให้มีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องพึ่งโชคหรือดวง แต่สร้างวิธีการได้ประตูที่เกิดมาจากการฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี .. แม้แต่เราที่เป็นคนดูหรือคนทางบ้านก็ยังเข้าใจความสำคัญของลูกเซตพีซ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยเมื่อโลกฟุตบอลหมุนไปข้างหน้า ความละเอียดในส่วนต่างๆก็ถูกเพิ่มขึ้นมาอย่างมากมาย ที่สุดแล้วความสำคัญของลูกเซตพีซก็ได้สร้างอาชีพใหม่ขึ้นมา นั่นคือผู้เชี่ยวชาญด้านลูกตั้งเตะโดยเฉพาะ .. ตำแหน่งที่ทุกวันนี้ไม่มีสโมสรระดับโลกทีมไหนไม่ใช้ เพราะคนๆเดียวก็อาจเข้ามาเป็นปัจจัยในการชี้เป็นชี้ตายผลการแข่งขันได้เลย
กำเนิดผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
จะว่าไปตำแหน่งโค้ชเซตพีซก็ไม่ใช่อาชีพใหม่เสียทีเดียว เพราะตำแหน่งนี้ส่วนใหญ่จะมีพื้นฐานด้านการเป็นโค้ชอยู่แล้ว ซึ่งพวกเขาเหล่านี้จะได้รับมอบหมายให้ “แก้จุดอ่อน” เฉพาะจุดของทีมที่ทุกทีมล้วนมีกันหมด ต่อให้เก่งระดับคว้าแชมป์ทุกปี หรือจะเป็นสโมสรที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาใหม่ๆ ทุกทีมย่อมต้องเน้นไปที่ลูกเซตพีซ ซึ่งผลของมันก็ตามที่เราได้อธิบายไปในพารากราฟด้านบน
และหนึ่งในโค้ชเซตพีซที่ดังที่สุดคือ ปีเตอร์ คราเวียตซ์ ชายผู้เป็นมือขวาของ เยอร์เกน คล็อปป์ กุนซือของลิเวอร์พูล มาตั้งแต่สมัยที่คล็อปป์เริ่มต้นทำงานเป็นเฮดโค้ชที่ทีมไมนซ์ 05
แรกเริ่ม คราเวียตซ์จะเป็นคนที่คอยชี้สิ่งต่างๆในทีมที่น่าสนใจไม่ว่าจะด้านบวกหรือลบที่คล็อปป์มองข้ามหรือมองไม่เห็น ซึ่งการชี้จุดตายที่สำคัญที่สุดของคราเวียตซ์คือเรื่องของ ลูกตั้งเตะ ที่เดิมทีหงส์แดงในช่วงปี 2015 ที่คล็อปป์มาทำทีมใหม่ๆ เป็นทีมระดับท็อป 6 ที่เสียประตูมากที่สุด และส่วนใหญ่เกิดจากการเล่นลูกโด่ง ลูกเตะมุม หรือลูกฟรีคิกอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ลิเวอร์พูลก็กลายเป็นทีมแชมป์ยุโรป ฤดูกาล 2018-19 ตามด้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019-20 .. ซึ่งในเวลานั้น ลิเวอร์พูลคือทีมที่เล่นลูกนิ่งทั้งรับและรุกได้ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก
ไม่มีการแจ้งว่าใครคือโค้ชเซตพีซคนแรกในโลกฟุตบอล เพราะมันไม่มีหลักสูตรเฉพาะทางสำหรับงานสายโค้ชลูกตั้งเตะโดยเฉพาะ ทั้งหมดเป็นเรื่องของประสบการณ์ การช่างสังเกต และการคิดวิเคราะห์ตามสิ่งที่เห็นอย่างละเอียด ดังนั้น ไม่ใช่โค้ชทุกคนที่จะสามารถผันตัวเองมาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องลูกตั้งเตะได้ พวกเขาต้องหลงใหลและคลั่งไคล้ในสิ่งนี้โดยเฉพาะ
ถ้าให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับลูกโซโล่กีตาร์ของมือกีตาร์ระดับกีตาร์ฮีโร่ที่ดูแล้วช่างซับซ้อนยากเย็น หลายคนแค่ฟังก็รับรู้ถึงความยากของโซโล่ลูกนั้น ดังนั้นจึงได้แค่ฟังและปล่อยให้มันจบเพลงไป ขณะที่บางคนกรอซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนจะหยิบกีตาร์มาเล่นตามทีละโน้ตและใช้เวลาหลายวันเพื่อให้เขาสามารถเล่นลูกโซโล่ที่แสนยากเย็นนั้นได้สำเร็จ แต่ก็ยังไม่พอ .. เมื่อพวกเขาเล่นโซโล่เพลงนี้ได้ พวกเขาก็จะไปแกะเพลงใหม่และทำซ้ำอีกครั้งวนไปแบบนี้เรื่อยๆ
โค้ชลูกตั้งเตะเองก็เหมือนกัน งานนี้ไม่มีจบง่ายๆ พวกเขาต้องศึกษาวิธีการเล่นลูกตั้งเตะของคู่แข่งทุกสัปดาห์ จับตาทุกการเคลื่อนไหว และทำให้ทีมของตัวเองมีวิธีป้องกันได้ไม่ผิดพลาด เหมือนกับการแกะโซโล่แม่นเป๊ะทุกเม็ดโดยไม่ปล่อยให้มีตัวโน้ตไหนสักตัวหลุดรอดสายตาพวกเขาไปได้
อันเดรีย เกิร์กสัน ผู้รับตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญลูกตั้งเตะของ เบรนท์ฟอร์ด อธิบายเรื่องนี้ว่า “กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านลูกตั้งเตะนั้นไม่ง่ายเลย มันเป็นงานที่ไม่มีใครชอบนักหรอก มันไม่มีหลักสูตรโค้ชที่ไหนมาสอนคุณ มันต้องเริ่มจากความชอบของคุณเอง คุณทำหน้าที่หลักของคุณไป (การเป็นโค้ชฟุตบอลคุมซ้อมนักเตะ) ส่วนที่เหลือมันจะเกิดจากการที่คุณเป็นคนที่รักที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องแทคติกเฉพาะด้าน คุณต้องไปต่อยอดเอาเองเพราะไม่มีใครจ้างโค้ชที่พูดอย่างเต็มปากว่า ‘ผมโฟกัสเฉพาะลูกนิ่ง’ หรอกนะ”
แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นโค้ชและผู้เชี่ยวชาญเรื่องลูกตั้งเตะเป็นคนแรกในโลกฟุตบอล แต่เราพอจะคาดเดาผ่านการวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าสื่อได้ดี ในช่วงก่อนปี 2015 เราแทบไม่เคยได้ยินชื่อและตำแหน่งนี้มาก่อนเลย จนกระทั่งในระยะหลังๆ เราได้เห็นการว่าจ้างผู้ถนัดเฉพาะทางในตำแหน่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับฟุตบอลอังกฤษ ที่ถึงตอนนี้พวกเขาจ้างโค้ชเพื่อมาซ้อมลูกตั้งเตะอย่างเดียวจริงๆ ตามความละเอียดของเกมฟุตบอลที่เพิ่มขึ้นและกดดันขึ้นในทุกๆวัน
เรียกได้ว่า โค้ชลูกตั้งเตะ เป็นเหมือนตัวแทนของโมเดิร์นฟุตบอลเลยก็ว่าได้ ในเกมที่ร่างกายแข็งแรงเท่ากัน ทักษะของนักเตะในสนามเท่าๆกัน กึ๋นกุนซือที่นั่งอยู่ข้างสนามพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ลูกเซตพีซ จะกลายเป็นสิ่งที่แต่ละสโมสรต้องเพิ่มเข้ามาเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับตัวเองโดยเฉพาะ
เว็บไซต์หลักของพรีเมียร์ลีกเขียนบทความเกี่ยวกับโค้ชลูกตั้งเตะในช่วงหลังจบฤดูกาล 2021-22 ที่ผ่านมา พวกเขาให้ความเห็นและกางสถิติการได้ประตู-เสียประตู ของแต่ละทีมที่จ้างโค้ชเฉพาะทางด้านการตั้งเตะว่า “การมีโค้ชตำแหน่งนี้เปรียบเหมือนกำไรพิเศษที่ทุกทีมอยากจะมี โค้ชเซตพีซเฉพาะทางจะกลายเป็นอีกหนึ่งตำแหน่งที่มีความต้องการในตลาดสูงมากหลังจากนี้” พวกเขาสรุปความพร้อมทั้งยกข้อเท็จจริงจากสถิติของทีมต่างๆในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2021-22 มากมายหลายทีม
เช่น ลิเวอร์พูล ที่มี ปีเตอร์ คราเวียตซ์ คุมเรื่องนี้เป็นหลัก มีการจ้างทีมงานเรื่องลูกตั้งเตะของตัวเองโดยเฉพาะ พวกเขามีนักประสาทวิทยาที่ชื่อว่า ดร.นิคลาส เฮาส์เลอร์ และ แพทริก แฮนช์เก้ ที่คอยมาจัดการเรื่องสภาพจิตใจของนักเตะในยามต้องเป็นฝ่ายรับมือกับลูกเซตพีซ นอกจากนี้ยังมี โธมัส กรอนน์มาร์ก มาลับคมให้ทีมด้านการทุ่มบอล และ เซบาสเตียน ชไตด์เนอร์ มาฝึกเรื่องการหายใจ
ทั้งหมดนี้ทำให้ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ได้เล่นลูกตั้งเตะในระยะอันตรายถึง 122 ครั้ง ได้ประตูจากเซตพีซทุกชนิดทั้งหมด 12 ประตู มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่ผ่านมา
ขณะที่ อาร์เซนอล ก็มีโค้ชตำแหน่งนี้อย่าง นิโคลัส โจเวอร์ เข้ามาแก้ไขปัญหาในฤดูกาล 2021-22 เพราะพวกเขาเห็นว่าในซีซั่น 2020-21 ทีมมีสถิติลูกตั้งเตะที่แย่มากทั้งรับและรุก โดยเฉพาะในส่วนเซตพีซเกมรุกนั้น อาร์เซนอลมีประสิทธิภาพน้อยที่สุดเป็นลำดับที่ 17 จาก 20 ทีม แต่พอพวกเขาจ้างโค้ชเฉพาะทางเข้ามาในปีต่อมา อาร์เซนอลก็ขยับขึ้นมาเป็นทีมที่ได้ประตูจากเซตพีซมากที่สุดเป็นอันดับ 4 จาก 20 ทีม
ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของความสำคัญของโค้ชลูกตั้งเตะที่หากคุณจ้างคนเก่งๆที่เชี่ยวชาญและเห็นปัญหาจริงมาร่วมทีม สิ่งที่ตามมาคือคุณจะได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากับการลงทุนอย่างแน่นอน .. เทรนด์ของโลกฟุตบอลขยับเพิ่มอีก 1 ก้าวเพราะตำแหน่งดังกล่าว เพราะแม้แต่สโมสรจากลีกทู อย่าง น็อตต์ส เคาน์ตี้ ก็เพิ่งจ้างโค้ชลูกตั้งเตะอย่าง อเล็กซ์ แคลปแฮม ไปสดๆร้อนๆ .. เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครมองข้ามตำแหน่งนี้ได้อีกแล้ว
โค้ชเซตพีซเขาทำงานกันแบบไหน?
กว่าจะได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า เหล่าโค้ชลูกตั้งเตะต้องทำอะไรมากมายเพื่อให้งานของพวกเขาออกมาสมบูรณ์แบบ ซึ่งโค้ชหลายๆคนที่รับตำแหน่งนี้ก็ยืนยันว่า การจะได้ประตูมากขึ้นหรือเสียประตูน้อยลงนั้นต้องเกิดจากการทำงานหนักทุกขั้นตอน
ไล่ตั้งแต่การศึกษาวิดีโอเทปของทีมคู่แข่ง ไปจนถึงการมองเข้าไปที่นักเตะที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทีม และแก้ให้นักเตะคนดังกล่าวใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า พวกเขาจะต้องยืนตำแหน่งตรงไหน ต้องคอยจับตาดูใครของฝั่งตรงข้ามเป็นพิเศษ และเหนือสิ่งอื่นใด “สภาพร่างกายและจิตใจของพวกเขาจะต้องพร้อมสำหรับการรับมือกับลูกตั้งเตะ”
คราเวียตซ์ทำงานนี้อย่างครอบคลุมที่สุดและง่ายที่จะยกตัวอย่าง เพราะเขาเป็นคนมองภาพรวมกว้างๆ เขาเห็นจากการศึกษาวิดีโอเทปและดูสถิติด้านลูกตั้งเตะโดยเฉพาะ เขาคนนี้มีส่วนสำคัญมากที่ทำให้ลิเวอร์พูลตัดสินใจทำ “2 ดีลที่คุ้มค่าที่สุด” อย่าง อลีสซง เบ็คเกอร์ และ เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค เพราะเห็นสถิติและวิธีการเล่นของผู้เล่นทั้ง 2 คนนี้ที่มีความมั่นคงและเป็นธรรมชาติมากเวลาต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ ซึ่งเมื่อได้ทั้ง 2 คนนี้มาร่วมทีม ทีนี้การแก้ไขปัญหาเรื่องการยืนตำแหน่งก็ง่ายขึ้นในทันที เนื่องจากคุณภาพของนักเตะที่เพิ่มขึ้น
“เขาจะต้องแก้ไขให้ทุกคนยืนตำแหน่งได้ถูกต้อง ซึ่งการยืนตำแหน่งให้ถูกต้องก็ต้องเกิดจากการศึกษาวิธีการเล่นลูกตั้งเตะของคู่แข่งก่อนว่าชอบเล่นแบบไหน มีนักเตะคนไหนเป็นตัวหลอก คนไหนเป็นตัวชน เหล่านี้เป็นสิ่งที่คราเวียตซ์และทีมงานของเขาวิเคราะห์ผ่านวิดีโอทั้งสิ้น” บทความของ The Athletic พูดถึงการทำงานของคราเวียตซ์และทีมงานของเขา
นอกจากสถิติและตัวเลขจะนำมาซึ่งการซื้อตัวนักเตะที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาได้แล้ว งานต่อไปของโค้ชลูกตั้งเตะคือการ “สื่อสาร” สิ่งนี้สำคัญไม่แพ้กับการแก้ไขไปที่นักเตะโดยตรง แต่มันรวมไปถึงการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน (โค้ช) ในสายงานเฉพาะทางอื่นๆ เช่น การบอกให้ทีมนักโภชนาการจัดอาหารให้นักเตะมีความแข็งแรงมากขึ้น เช่น ในวันแข่งคุณต้องได้กินอาหารที่ให้พลังงานมากพอที่จะทำให้พวกเขาสามารถทนทานต่อการเบียดปะทะตลอดทั้งเกม หรือการคุยกับนักจิตวิทยาเพื่อให้นักเตะไม่กลัวการขึ้นปะทะที่อาจจะทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บ เพราะการกลัวและปล่อยให้อีกฝั่งข่มคุณจนได้กระโดดขึ้นแย่งโหม่งแบบโล่งๆคือหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้ ยังมีการสื่อสารกับโค้ชฟิตเนสให้จี้ไปที่นักเตะที่ยังมีกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนที่แข็งแรงไม่พอกับการเข้ามามีบทบาทในลูกตั้งเตะ การสื่อสารกับโค้ชผู้รักษาประตูเพื่อปรับวิธีการเล่นลูกตั้งเตะให้ผู้รักษาประตูมีบทบาทมากขึ้น เพื่อทำให้งานของนักเตะตำแหน่งอื่นๆสบายขึ้น
หรือแม้กระทั่งการสื่อสารกับผู้จัดการทีมและแนะนำวิธีต่างๆให้สอดคล้องกับการวางแผนลูกตั้งเตะ เช่น การวางตำแหน่งนักเตะตัวรุกในยามที่ทีมเสียเตะมุุม ว่าควรเอาใครไปยืนรอตรงไหน เพื่อให้ทีมสามารถเล่นสวนกลับได้ทันที .. คุณคงจะได้เห็นบ่อยๆจากวิธีการเล่นของ 2 ทีมที่ดีที่สุดในอังกฤษอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ที่พวกเขามักจะมีวิธีเตะตู้มเดียวจากการตัดลูกกลางอากาศของผู้รักษาประตูแล้วส่งต่อไปให้เหล่าตัวรุกได้บุกเข้าไปถึงกรอบเขตโทษคู่แข่งขันได้ในทันที .. ทุกอย่างนี้ล้วนเกิดขึ้นจากการสื่อสารและทำงานร่วมกันของทีมหลังบ้านทั้งสิ้น เรื่องนี้ยืนยันได้จาก อันเดรียส จอร์จสัน โค้ชเซตพีซของอาร์เซนอลที่ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
“หน้าที่ของเราส่วนใหญ่คือ งานวิจัย เราต้องทำงานใกล้ชิดกับตำแหน่งอื่นๆ โดยเฉพาะทีมวิเคราะห์จากวิดีโอและทีมรวบรวมสถิติของทีม บางครั้งการคุยกันต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง เพราะเราต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรยังเป็นจุดอ่อนของทีม เพราะต่อให้คุณมั่นใจขนาดไหน แต่ระบบป้องกันลูกตั้งเตะนั้นสามารถเกิดจุดอ่อนขึ้นได้เสมอ”
“คุณต้องศึกษาจุดอ่อนของตัวเอง เพราะแน่นอนว่าคู่ต่อสู้ก็ศึกษาคุณมาเหมือนกัน ของแบบนี้มันต้องแก้ไขตลอดเวลา จุดอ่อนสามารถเปลี่ยนไปได้เสมอ เหมือนกับการนอนห่มผ้าห่มผืนเล็กๆผืนหนึ่ง หากคุณขยับไปปิดส่วนบนของร่างกายให้อบอุ่น ส่วนเท้าก็จะโผล่ออกมาและกลายเป็นจุดที่หนาวแทน” จอร์จสัน อธิบายงานของเขา
ทั้งหมดที่กล่าวมาคือโลกใบใหม่ของวงการฟุตบอลที่ยืนยันวิถีของโลกใบนี้ให้เห็นว่า คนเรานั้นจำเป็นจะต้องมีสิ่งที่ถนัดโดยเฉพาะในแบบที่ตัวเรามั่นใจว่าเราบ้าและคลั่งไคล้ในสิ่งนั้นไม่แพ้ใคร เพราะที่สุดแล้ว แม้สิ่งเหล่านั้นที่คุณถนัดจะไม่เคยมีใครมองเห็นและโดนมองข้ามมาเสมอ แต่เมื่อถึงเวลาที่โลกหมุนไปข้างหน้าและเทรนด์ใหม่เกิดขึ้น สิ่งที่คุณถนัดและเชี่ยวชาญเหล่านั้นอาจเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกได้ เหมือนกับที่ โค้ชลูกเซตพีซ ได้เปลี่ยนเทรนด์ของโลกฟุตบอลดังที่เรากล่าวมานั่นเอง