ส่วนสูง กลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่คนเราใช้ตัดสินความแข็งแกร่งและภาพลักษณ์ของใครสักคนหนึ่งมาช้านาน
กองทัพโรมันอันเกรียงไกรเมื่อในอดีตมีวิธีการคัดเลือกทหารของพวกเขาด้วยการเลือกคนที่มีส่วนสูงเหมาะสม ไม่ตัวเล็กจนเกินไป เพราะการตั้งแนวรับด้วยการยืนชิดแถวแล้วตั้งโล่ขึ้นมาป้องกัน คนตัวเล็กอาจจะเป็นจุดอ่อนของขบวนรบได้ ไม่ว่าคนตัวเล็กจะใช้ดาบหรือโล่เก่งขนาดไหน พวกเขาจะโดนตัดสิทธิ์ทันที.. เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เกิดมานานแล้วและยังคงมีอยู่จนทุกวันนี้
เช่นเดียวกับกันนักเตะอาชีพ นานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ความรู้สึกแรกเมื่อเรานึกถึงนักเตะตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก เรามักจะนึกภาพก่อนเลยว่าต้อง “สูง, ใหญ่ และ แข็งแกร่ง” มาเป็นอันดับแรก ซึ่งเซ็นเตอร์ร่างยักษ์หลายคนก็ประสบความสำเร็จกับตำแหน่งของพวกเขาได้จริงๆ
ทว่าทุุกอย่างล้วนมีข้อยกเว้น บางครั้งคนตัวเล็กก็สามารถทำหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องใช้ความแข็งแกร่งได้ดีเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด
นี่คือเรื่องราวของ ฟาบิโอ คันนาวาโร ปราการหลังตัวกลางที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในโลกลูกหนัง กับความสูงแค่ 175 เซนติเมตร วิธีการแบบใดกันแน่ที่ทำให้เขาปีนไปจนถึงตำแหน่งยอดกองหลังเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ได้? ติดตามได้ที่ Main Stand
ระห่ำจากสายเลือด
“เนเปิลส์” คือชื่อเมืองทางตอนใต้ของอิตาลี ผู้ชายในเมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องหัวใจใหญ่กว่าตับมาตั้งแต่อดีต ในยุคสมัยหนึ่ง ราวๆศตวรรษที่ 19 ในแคว้นคัมปาเนียที่มี นาโปลี เป็นเมืองหลักนั้น ถือเป็นแคว้นที่ยากจน และความยากจนนั้นบีบบังคับให้พวกเขาต้องทำสิ่งผิดกฎหมายเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เมืองนี้จึงมีชื่อเสียงในแง่ของการเป็นแหล่งซ่องสุมของกลุ่มอาชญากร
จนกระทั่งวันหนึ่งที่พวกมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก เมื่อสหรัฐอเมริกาที่ก่อตั้งประเทศขึ้นมาใหม่ในปี 1776 และกลายเป็นดินแดนแห่งโอกาส และเหล่าชายชาวอิตาลีส่วนใหญ่ที่มาจากแคว้น คัมปาเนีย และ ซิซิเลีย จึงหนีการจับกุมรวมถึงทิ้งทุกอย่างเพื่อไปแสวงหาโอกาสใหม่ให้ชีวิตที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งภายหลังคนกลุ่มนี้ก็ก่อตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นมาเฟียอิตาลีแห่งมหานครนิวยอร์ก เหมือนที่เราเห็นในภาพยนตร์หลายๆเรื่อง
ฟาบิโอ คันนาวาโร เกิดที่เมืองนี้ เมืองที่เป็นหัวเมืองหลักทางภาคใต้ และเป็นชาวเนเปิลส์แท้ตามตำรา ดวงตาสีฟ้า มีผมสีเข้ม และแน่นอนว่าหัวใจนักสู้ไม่ยอมใครเป็นสิ่งที่ติดตัวเขามาโดยธรรมชาติ ต่อให้ไม่ต้องไปเป็นมาเฟียไล่ทำร้ายใคร เขาก็ยังสามารถแสดง DNA ชาวเนเปิลส์ออกมาได้ผ่านความระห่ำและแข็งแกร่งในอาชีพนักฟุตบอลของเขา
“ผมคือเนียโปลิตัน (ชาวนาโปลี) และ เนเปิลส์ เรื่องราวทั้งหมดของผมเกิดขึ้นที่นี่” นี่คือสิ่งที่ ฟาบิโอ คันนาวาโร เริ่มอธิบายถึงตัวตนของตัวเขาเอง
คันนาวาโร เริ่มเส้นทางลูกผู้ชายแห่งเนเปิลส์บนสนามฟุตบอลด้วยการเป็นเด็กฝึกหัดของทีมนาโปลี สโมสรใหญ่ประจำเมือง เขาเริ่มต้นตั้งแต่การเป็นเด็กเก็บบอล ได้เห็นช่วงเวลาที่สโมสรประสบความสำเร็จสูงสุดในยุคที่มี ดิเอโก้ มาราโดน่า เป็นจอมทัพ ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นชั้นดีสำหรับคนตัวเล็กอย่างเขา (มาราโดน่า สูง 169 เซนติเมตร) ทำให้เขาเชื่อว่าส่วนสูงสามารถแก้ไขด้วยด้วยการเอาจุดแข็งด้านอื่นๆมาทดแทน เพียงแต่ตอนที่ คันนาวาโร ยังเด็ก เขายังหาตัวเองไม่เจอว่า จุดแข็งของเขาคืออะไรกันแน่?
อย่างที่เรากล่าวไว้ในข้างต้น เซ็นเตอร์แบ็ก คือตำแหน่งของคนตัวใหญ่โดยธรรมชาติ ยิ่งในช่วงวัยเด็กที่ตัดสินกันเรื่องเทคนิคและการตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้านั้นทำได้ยากมาก มันจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กตัวเล็กอย่าง คันนาวาโร จะถูกเลือกในตำแหน่งนั้น
เขาถูกจัดให้เป็นมิดฟิลด์ตัวรับก่อนในตอนแรก สาเหตุมาจากหน่วยก้านที่ตัวเล็กคล่องแคล่ว เข้าปะทะบอลแม่น ถือเป็นพิมพ์นิยมของกลางรับทุกยุคทุกสมัย ซึ่ง คันนาวาโร ก็ได้เรียนรู้จาก มาร์โก ทาร์เดลลี่ อดีตกองกลางทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์โลกปี 1982 ไอดอลของเขา
และจุดเปลี่ยนก็มาถึง ตอนที่ คันนาวาโร เล่นในรุ่นยู-18 มีโค้ชทีมเยาวชนของนาโปลีที่คอยจดสถิติและสอดส่องการฝึกซ้อมของเขาพบว่า กลางรับไม่ได้เหมาะกับ คันนาวาโร ที่สุด จริงๆแล้วต้องเป็นเซ็นเตอร์แบ็กต่างหาก คันนาวาโร เองก็อธิบายไม่ได้ เพราะเขาก็เข้าใจเหมือนกันว่ากับคนรูปร่างอย่างเขา การไปเป็นกองหลังคงไม่เหมาะนัก แต่บางครั้งคุณก็ต้องลองเชื่อใจคนที่บอกว่าเขาเห็นบางอย่างในตัวคุณดูบ้าง.. เขายอมถอยลงมาเป็นเซ็นเตอร์แบ็ก และเมื่อเล่นในตำแหน่งนี้ได้ไม่ถึง 1 ปี คันนาวาโร ก็ต้องขอบคุณการตัดสินใจเปลี่ยนตำแหน่งครั้งนี้ เพราะว่ามันทำให้เขาได้ค้นพบตัวเอง
“โค้ชคนนั้นบอกว่า -ฟาบิโอ ฉันว่านายไปเป็นกองหลังดีกว่า- นั่นคือคำพูดของเขา ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีเหตุผล ทั้งๆที่ผมตัวเตี้ยกว่าใครๆในสนาม มันไม่น่าจะเหมาะกับผมเลย แต่ที่สุดแล้วนั่นคือโชคดีของผม ผมได้เล่น และผมชอบเล่นแนวรับมาก ผมคิดว่าผมทำหน้าที่ได้ดีพอตัวเลยล่ะ” คันนาวาโร เริ่มกล่าว
คันนาวาโร ถูกเรียกขึ้นมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่ ซึ่งตอนนั้นเขาได้พี่เลี้ยงเป็น ชิโร่ แฟร์ราร่า กองหลังที่ลงสนามใน เซเรีย อา มากกว่า 500 เกม กับสโมสรอย่าง ยูเวนตุส และ นาโปลี
“แฟร์ราร่า ก็เหมือนกับกองหลังอิตาลีขนานแท้ เขาพูดตรงๆ กระชับๆ กับผมเมื่ออยู่ในสนาม บอกผมว่าต้องยืนตรงไหน ต้องทำอะไร และเมื่อต้องประกบใครสักคนผมต้องทำยังไงจึงจะเอาชนะคนคนนั้นได้” คันนาวาโร ว่าต่อ
“ผมยังจำได้ดีเลย ตอนที่ผมขึ้นมาทีมชุดใหญ่ช่วงแรกๆ ผมเผลอพูดว่า -ว้าว ในที่สุดผมก็ได้ลงซ้อมกับ มาราโดน่า- ซึ่งจากนั้น แฟร์ราร่า ก็มาบอกผมว่า -อย่าไปคิดแบบนั้น แกไม่ได้แค่มาซ้อมกับ มาราโดน่า แต่แกต้องเล่นงานเขาให้ได้ เอาบอลออกจากเท้าของเขาแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้ แกทำให้ฉันดูหน่อย-“
“ในการซ้อมวันนั้น ผมได้ลงซ้อมทีม มาราโดน่า เลี้ยงบอลเข้ามาหาผมใกล้ขึ้นทีละนิดๆ ผมดูเท้าของเขาแล้วอ่านจังหวะการแตะบอลของเขาในแต่ละครั้ง ผมจับจังหวะได้และผมพุ่งเข้าแท็คเกิลเพื่อเอาบอลมา.. ผมบอกตัวเองว่า นี่ฉันกำลังปะทะใส่พระเจ้าของชาวเนเปิลส์อยู่นะเนี่ย!”
“ทุกสายตาของเพื่อนร่วมทีมหยุดนิ่งและจ้องมาที่ผม โค้ชของเราก็ด้วย มันคือวินาทีที่ผมไม่เคยลืม เสียงของ แฟร์ราร่า ลอยแวบเข้ามาในหัวสมอง -เวลาเจอกับมาราโดน่าอย่าคิดแค่จะเข้าปะทะ แต่ต้องหาวิธีเอาบอลออกจากเท้าของเขาให้ได้-”
“ขณะที่ทุกคนหยุดพร้อมกันทั้งสนาม มาราโดน่า เป็นคนเดียวที่ยิ้มออก หลังจบการซ้อมเขายกรองเท้าในการซ้อมวันนั้นให้ผม รองเท้าของเทพเจ้าอยู่ในมือของผมแล้ว”
ความมั่นใจ ความกล้า และชอบเผชิญหน้ากับความท้าทายแบบลูกผู้ชายเมืองเนเปิลส์ คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ แน่นอนว่าการแย่งบอลจากเท้า มาราโดน่า ไม่ได้แปลว่า คันนาวาโร จะเก่งที่สุดในโลก ณ เวลานั้น.. สิ่งสำคัญคือเขาจะไปต่ออย่างไร? ไต่จากเด็กน้อยของ แฟร์ราร่า สู่กองหลังเบอร์ 1 ของโลกด้วยความสูงแค่ 175 เซนติเมตร ด้วยวิธีไหน? นี่คือฉากต่อไปของเรื่องนี้..
ตัวเล็กกว่าต้องเอาชนะด้วยความมั่นใจ
คันนาวาโร เล่นให้ นาโปลี ได้ไม่นานก็ย้ายไปอยู่กับ ปาร์ม่า แล้วเริ่มสร้างชื่อเสียงจากจุดนั้น ก่อนจะไปอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน, ยูเวนตุส และ เรอัล มาดริด
ยิ่งนานวันก็ยิ่งเรียนรู้ถึงวิธีการเล่นกองหลังในแบบของตัวเอง และเข้าใจว่าการที่เป็นคนตัวเล็กก็สามารถเป็นกองหลังที่ดีได้ เพียงแต่ต้องเล่นในแบบที่แตกต่างออกไปจากกองหลังที่รูปร่างใหญ่พิมพ์นิยม เมื่อตัวเล็กก็ต้องมีสิ่งอื่นมาทดแทน สำหรับ คันนาวาโร สิ่งนั้นคือการเพิ่มสมรรถภาพทางร่างกายและการสร้างความมั่นใจในตัวเอง
“กองหลังที่ดีไม่จำเป็นต้องตัวใหญ่เสมอไป เช่นเดียวกัน กองหลังที่ตัวเล็กก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาอ่อนแอกว่า ผมเองก็มีปรัชญาในแบบของผม ผมพยายามดูแลร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงเสมอ” คันนาวาโร เริ่มกล่าว
หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวของการเป็นสิงห์อมควันของเหล่านักเตะอิตาเลียน ผู้เล่นอย่าง จานลุยจิ บุฟฟ่อน, เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ หรือแม้แต่นักเตะรุ่นเก่าๆที่ผันตัวเป็นกุนซืออย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ ต่างก็เป็นคนที่ติดบุหรี่เหมือนๆกัน แต่สำหรับ คันนาวาโร เขายอมให้ตัวเองทำลายร่างกายที่ใช้หากินไม่ได้ เพราะเขาขาดแต้มต่อในเรื่องนี้อยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือเขาต้องทำตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นในทุกๆวัน
“ผมไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร แต่เคล็ดลับของผมมันไม่น่าจะมีอะไรมากไปกว่าเรื่องนอกสนาม มันยากและสำคัญมากๆเลย ผมไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ผมกินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ กินให้อิ่ม นอนหลับให้เพียงพอ ทุกอย่างที่ทำซ้ำๆนี้ไม่ใช่แค่ช่วยให้ร่างกายดีเท่านั้น อารมณ์คุณก็จะยอดเยี่ยม และเซ็กซ์ของคุณก็จะดีขึ้นด้วย” คันนาวาโร กล่าวกับ The Guardian
อย่างที่เขาได้อธิบายไป เมื่อสุขภาพร่างกายแข็งแกร่งเพื่อให้กระโดดได้สูงขึ้น เข้าปะทะกับคนตัวใหญ่ได้ดีขึ้น และรวดเร็วว่องไวมากขึ้น สิ่งที่ คันนาวาโร แอบตบท้ายคือเรื่องของอารมณ์และสภาพจิตใจ สิ่งนี้สำคัญมากสำหรับทุกๆสาขาอาชีพ การที่เป็นคนที่มีฝีมืออยู่แล้ว แถมยังมีความมั่นใจในตัวเอง มีสมาธิกับงานที่ทำเป็นคุณสมบัติเพิ่มเติม โอกาสที่งานของคุณจะออกมาได้ผลลัพธ์ดีๆก็มีมากขึ้น
ในสถานการณ์การดวล 1-1 ถือเป็นจังหวะที่สำคัญมาก มันเหมือนเป็นเกมลองใจกัน ใครจะขยับก่อนระหว่างคนเลี้ยงบอลกับคนที่จะแย่งบอล การพลาดเพียงเสี้ยววินาทีในฟุตบอลระดับสูงถือเป็นความผิดมหันต์ คุณจะโดนเลี้ยงหนีเป็นทุ่งในระยะเวลาอันสั้น และจากนั้นไม่กี่วินาทีมันก็มีโอกาสที่จะจบลงด้วยการเสียประตูของทีมโดยง่าย เมื่อกองหลังอย่างคุณเสียพื้นที่ไป
คันนาวาโร อธิบายจุดเด่นของเขาที่เราหลายคนรู้จักกันในนามของคำว่า “ทางบอล” ว่าทุกการตัดสินใจมีความหมายและไม่ใช่จะเกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน เขามีพี่เลี้ยงที่ดี มีคู่ซ้อมที่แข็งแกร่ง และผ่านประสบการณ์การดวลกับกองหน้าระดับโลกมามากมาย นานวันเข้ามันก็กลายเป็นความมั่นใจไปโดยปริยาย “จังหวะนี้ต้องเข้าบอลแบบนี้” ความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
“การจะเป็นกองหลังที่ยอดเยี่ยมคุณก็ต้องมีคู่ซ้อมที่ดี ได้เล่นกับเพื่อนร่วมทีมที่ยอดเยี่ยม และมีประสบการณ์ที่มากพอในการดวลกับคู่แข่งเก่งๆ”
“ในฐานะกองหลัง คุณจะมีรูปร่างยังไงก็ได้ คุณจะตัวเล็กและรวดเร็ว หรือตัวใหญ่และกระโดดสูง แล้วแต่สไตล์ของแต่ละคน แต่สิ่งที่ทุกคนควรมีในการเป็นกองหลังที่ดีคือคุณต้องมั่นใจเมื่อได้ลงสนาม เพราะทุกๆสัปดาห์ เนื้องานของคุณจะเปลี่ยนไป ความท้าทายใหม่ๆจะแวะเวียนเข้ามาให้คุณได้ประสบพบเจอตลอด”
“สำหรับผมมันเริ่มตั้งแต่วันที่ผมแย่งบอลจากเท้า มาราโดน่า ได้นี่แหละ ความมั่นใจนั้นดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ทุกๆวัน แม้กระทั่งทุกวันนี้ที่ผมเป็นผู้จัดการทีม ผมก็ยังทำเหมือนตอนที่ผมยังเป็นนักเตะเสมอ”
คันนาวาโร ดูแลร่างกายตัวเองมาจนถึงปัจจุบัน หุ่นเขายังดีฟิตเปรี๊ยะ ไม่อ้วนเผละ แม้ในวัย 40 กว่าๆ มันก็พอจะบอกถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่และกิจวัตรในแต่ละวันของเขาได้เป็นอย่างดี
รู้เรา.. อย่าลืมรู้เขาด้วย
การดูแลตัวเองให้ดี ขยันฝึกซ้อม อาจยังไม่พอในเวทีระดับสูง สิ่งสำคัญสำหรับกองหลังไม่ว่าจะตัวใหญ่หรือตัวเล็กนั่นคือการศึกษาคู่แข่งของคุณในแต่ละเกมด้วย นี่คือสิ่งที่ คันนาวาโร ทำมาเสมอ
ตลอดชีวิตค้าแข้งเขาต้องดวลกับนักเตะอย่าง โรนัลโด้, ซีเนดีน ซีดาน, ฟรานเชสโก้ ต็อตติ และกองหน้าระดับโลกอีกมากมาย บางคนต้องดวลกันมากกว่า 1 ครั้งใน 1 ปี ซึ่งในแต่ละครั้ง คันนาวาโร ก็จดจำสไตล์ของนักเตะเหล่านั้นแล้วหาทางรับมือที่เหมาะสม เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด
“การเตรียมตัวคือเรื่องสำคัญ มันช่วยให้งานของคุณง่ายขึ้นเมื่อลงสนาม” คันนาวาโร กล่าว
“อย่าง โรนัลโด้ (บราซิล) เขาคือนักเตะที่ทำให้ผมกลัวตั้งแต่ตอนเดินลงสนามมากกว่าใครก็ตามที่ผมเคยดวลด้วย นักเตะอย่าง โรนัลโด้ เป็นนักเตะที่คุณไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องการมาร์กตัวแบบ 1-1 เลย คุณแค่ต้องพยายามทำให้เขามีพื้นที่เล่นน้อยที่สุด”
“มีสมาธิให้มากๆเข้า เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะเล่นเกมจิตวิทยากับเขา คุณเข้าไปอยู่ในหัวเข้าไม่ได้หรอก เพราะเขาเข้าไปอยู่หัวคุณตั้งแต่ก่อนนกหวีดของกรรมการจะดังแล้ว”
“กับ ซีดาน ก่อนจะเจอเขาแต่ละนัด ผมจะซ้อมพิเศษและจริงจังกับการซ้อมมากกว่าปกติ ผมต้องพยายามเข้าถึงตัวเขาให้ได้มากที่สุด”
“ท่าทางที่สง่างามและเยือกเย็นไม่ใช่เรื่องหลอกตา ซีดาน เป็นแบบนั้นเสมอ จนกว่าที่เขาจะสูญเสียความเยือกเย็นนั้น ซึ่งนักเตะอย่างซีดานก็ถึงจุดเดือดเป็นเหมือนกัน (ในนัดชิงฟุตบอลโลก 2006)”
“การจะหยุดนักเตะอย่าง ซีดาน ต้องทำเป็นทีม เพราะบอลออกจากเท้าของเขาไปได้ทุกทิศทางในสนาม ดังนั้น ผมรู้ว่าผมจะต้องสั่งแนวรับทั้งทีมให้มีสมาธิ การจัดการ ซีดาน คือประสบการณ์เรียนรู้ใหม่ของผมเลย นั่นคือการเป็นผู้นำในเกมรับที่รับผิดชอบวิธีการเล่นเกมรับของทั้งทีม”
ทั้งหมดที่กล่าวมาคือวิธีการเป็นคนเล็กแต่ตัวใหญ่เมื่อเผชิญหน้ากับฝั่งตรงข้าม คันนาวาโร ได้เผยวิธีการเป็นกองหลังร่างเล็กของเขาออกมาทั้งหมดแล้ว คุณจะต้องเร็วกว่า แข็งแรงกว่า มั่นใจกว่า และศึกษามากกว่า.. แม้จะเสียเปรียบด้านรูปร่างแต่คุุณจะได้ส่วนอื่นเข้ามาแทน ซึ่งเมื่อประกอบกับประสบการณ์, โอกาสในการเล่นเกมระดับสูง ทุกอย่างจึงกลั่นออกมาเป็นสไตล์เฉพาะตัวของเขาที่ใครก็ไม่สามารถผ่านไปได้ง่ายๆ