sportpooltoday

ฌิมี่ ตราโอเร่ : นักเตะที่ยิงเข้าประตูตัวเองในแบบที่โลกไม่ลืมจนทุกวันนี้


ฌิมี่ ตราโอเร่ : นักเตะที่ยิงเข้าประตูตัวเองในแบบที่โลกไม่ลืมจนทุกวันนี้

“ยิงเข้าโกลตัวเองแบบนั้นถามว่าผมอายไหมน่ะเหรอ ? จะอายไปเพื่ออะไร แบบนี้เขาเรียกว่ามันมีสตอรี่”

ฌิมี่ ตราโอเร่ อดีตกองหลังดีกรีแชมป์ยุโรปของ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2005 พูดถึงหนึ่งในการยิงเข้าประตูตัวเองที่คลาสสิกที่สุดในโลกฟุตบอลโดยฝีมือของเขาเอง 

บ้างก็ว่าเขาเป็นนักเตะจอมเฟอะฟะที่ซัดเข้าโกลตัวเองแบบน่าอับอาย แต่ใครเลยจะรู้ว่าสตอรี่เรื่องราวของเขามันเท่กว่าที่ใครคาดคิด

 

แม้เขาจะเป็นตัวตลกในสายตาของใคร ๆ แต่ในมุมมองที่เขาย้อนมองตัวเองคือ “ผมคือนักเตะที่ประสบความสำเร็จ”

ติดตามเรื่องราวตำนานกองหลังที่ทำ “ซีดาน เทิร์น” เข้าประตูตัวเองแบบสุดช็อคได้ที่ Main Stand

ซื้ออนาคต…

ย้อนกลับไปในช่วงต้นยุค 2000s ลิเวอร์พูล กำลังสั่นคลอนอย่างหนักจากการร้างราความสำเร็จในรายการใหญ่ แม้ในปี 2001 พวกเขาจะได้ 5 แชมป์มาครอง แต่นักเตะชุดนั้นก็ได้ทยอยจากทีมไปที่ละคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหวังสูงสุดของทีมอย่าง ไมเคิล โอเว่น ในปี 2004

 

การไม่ได้แชมป์ทำให้หงส์แดงมีปัญหาเรื่องการดึงดูดนักเตะระดับแถวหน้า นักเตะระดับ A คลาสหลายคนมักจะมีข่าวลือร่วมกับลิเวอร์พูลมาเสมอ แต่เอาเข้าจริง หงส์แดง ก็ไม่ได้สร้างดีลอะไรที่ฮือฮาได้เลย พวกเขาต้องอาศัยเทคนิคการดึงเอานักเตะเกรดรอง ๆ หรือที่ยังไม่ดังมาปั้นอีกทีหนึ่ง และหนึ่งในนั้นก็คือ ฌิมี่ ตราโอเร่… 

นักเตะตำแหน่งกองหลังสัญชาติมาลีที่เกิดและโตในประเทศฝรั่งเศส อยู่ในทีมเล็ก ๆ อย่าง ลาวาล ไม่ได้อยู่แม้กระทั่งลีกสูงสุดของฝรั่งเศส ผ่านการลงเล่นเกมอาชีพเพียงแค่ 5 เกม … ดีกรีแบบนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ตราโอเร่ เป็นนักเตะที่ได้รับความคาดหวังน้อยมาก หากเทียบกับเพื่อน ๆ ในรุ่นเดียวกันที่ย้ายเข้ามาอย่าง อองโทนี่ เลอ ตัลเล็ค, บรูโน่ เชย์รู และ อิกอร์ บิสคาน ที่ต่างคนก็มีดีกรีติดตัวมาแบบสวย ๆ กันทั้งนั้น 

เมื่อมาถึงลิเวอร์พูลในปี 1999 มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะคนที่ซื้อตัวเขามาอย่าง เชราร์ อุลลิเยร์ กลับไม่ได้มองเห็นความสามารถและให้โอกาสเขาลงสนามมากมายนัก เกือบ 4 ปีในการเป็นลูกน้องของ อุลลิเยร์ ตราโอเร่ ยังบอกเองด้วยซ้ำว่าเขารู้สึกว่ากำลังเสียเวลาเปล่า และไม่เคยถูกมองเห็นค่าในความพยายามเลย 

“คนอังกฤษหลายคนชื่นชม อุลลิเย่ร์ นะที่ให้โอกาสนักเตะท้องถิ่นลงสนาม แต่ก็นะ สำหรับนักเตะฝรั่งเศสในทีมมันคนละเรื่องเลย ผมเองก็เป็นคนที่ได้โอกาสน้อยมาก แทบไม่มีเกมให้ผมได้ลงเล่นเลย เหมือนกับว่าผมต้องทำงานหนักเป็นสองเท่า … เขาไม่ใช่คนเลวร้ายหรอกนะ แต่ผมเองก็มอง อุลลิเยร์ ในมุมที่แตกต่างจากคนอื่นเท่านั้นเอง” ตราโอเร่ เล่าถึงวันที่ยังเป็นตัวสำรองอดทน ตั้งแต่ปี 1998 จนถึงปี 2002 โดยรวมแล้วเขาได้โอกาสลงสนามในเกมลีกแค่ 8 นัดเท่านั้น

 

สิ่งที่ ตราโอเร่ พูดจะจริงหรือไม่ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ ๆ ตัวของเขาเองก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องนี้เหมือนกัน หากเป็นแฟนบอลที่เกิดยุคนั้นก็คงจำกัดความได้ดีเกี่ยวกับการเล่นของ ตราโอเร่ ที่สรุปใจความสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้แค่ว่า “โฉ่งฉ่าง” อย่างไม่ต้องสงสัย … การเข้าบอลที่วืดวาดจั่วลมจนเตะคู่แข่งเสียฟาวล์ การประกบตัว และความเข้าใจเกม เรียกได้ว่าออร่าของการเป็นยอดกองหลังแทบไม่ปรากฏเลย  

ผ่านมาแล้ว 5 ปี ในฤดูกาล 2003-04 แม้จะได้ลงเยอะขึ้นแล้ว แต่ส่วนใหญ่ ตราโอเร่ ก็ยังมีช็อตพลาดให้ได้จดจำอยู่เสมอ แฟนบอล ลิเวอร์พูล ส่วนใหญ่แทบไม่คาดหวังอะไรจากเขามากไปกว่าการเป็นอะไหล่คอยสแตนด์บายเวลาทีมขาดแคลนนักเตะตัวหลัก … จนกระทั่งในปีต่อมา ตราโอเร่ ก็ได้ทำในสิ่งที่แฟนบอลทุกคนหมดหวังกับเขาอย่างแท้จริง

“ซีดาน เทิร์น” ในตำนาน

ฤดูกาล 2004-05 ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือของ บาเลนเซีย ที่พาทีมคว้าแชมป์ลา ลีกา ถูก ลิเวอร์พูล ติดต่อให้มาคุมทัพแทนที่ อุลลิเยร์ ที่โดนปลดออกจากตำแหน่งไป การเข้ามาของ “เอล บอส” ทำให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมากมายที่แอนฟิลด์ หนึ่งในสิ่งที่ทุกคนจำได้ดีที่สุดคือเรื่องของการ “โรเตชั่น” หรือการหมุนเวียนนักเตะในทีมสำหรับลงเล่น เพื่อรักษาความสดตลอดการแข่งขันทั้งปี

 

หากไม่นับนักเตะอย่าง ซามี่ ฮูเปีย, เจมี่ คาร์ราเกอร์, ชาบี อลอนโซ่ และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด แทบไม่มีนักเตะคนไหนการันตี 11 ตัวจริงได้เลย และนั่นเป็นข่าวดีสำหรับนักเตะสายอะไหล่อย่าง ตราโอเร่ ที่ได้รับโอกาสมากขึ้นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน เขาลงเล่นในลีกทั้งหมด 26 นัด เป็นตัวจริงถึง 18 เกม ช่วงเวลานั้น ตราโอเร่ ถึงกับให้สัมภาษณ์กับ สกาย สปอร์ต ด้วยความอัดอั้นว่า “ตอนนี้ผมพิสูจน์แล้วว่าผมดีพอที่จะเป็นนักเตะของ ลิเวอร์พูล”

อย่างไรก็ตามดูเหมือนผู้คนจะไม่ได้จดจำเขาในแง่มุมของการพิสูจน์ตัวเองมากนัก แม้จะได้เป็นตัวจริงอยู่บ่อย ๆ แต่ความผิดพลาด 1 ครั้งที่ถูกจดจำตลอดไปของเขา และกลายเป็น “ซิกเนเจอร์” ที่เรียกได้ว่าถ้าคุณเซิร์ชชื่อ Djimi Traore คำที่ต่อมาเป็นคำแรกคือ Own Goal หรือ “ยิงเข้าประตูตัวเอง” นั่นเอง 

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 18 มกราคม 2005 ในเกม เอฟเอ คัพ รอบ 3 ที่พบกับ เบิร์นลี่ย์ ซึ่ง ณ เวลานั้นอยู่ในลีกรองเท่านั้น … แบเบอร์แน่นอน ความห่างชั้นระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ เบิร์นลี่ย์ เยอะมากจนทุกบ่อนพนันเปิดราคาจ่ายในเรตที่ ลิเวอร์พูล ชนะแบบแทบไม่เห็นกำไร … ทว่านี่คือ เบนิเตซ สไตล์ เมื่อถึงเกมบอลถ้วย เขาก็โรเตชั่นไม่ยั้งเหมือนเช่นเคย 

จังหวะตำนานนี้เกิดขึ้นตอนที่ปีกซ้ายของ เบิร์นลี่ย์ ลากบอลลุยมาสุดเส้นหลังก่อนจะเปิดเรียดเข้ามาตรงกรอบ 6 หลา … ไม่มีผู้เล่นของ เบิร์นลี่ย์ สักคน มีเพียง ตราโอเร่ ที่เข้ามาถึงบอลเป็นคนแรก

 

ตามสัญชาตญาณกองหลัง จังหวะนั้นอย่างไรเสียก็ต้องเคลียร์ เพราะในระยะกรอบ 6 หลา หากพลาดคือการโดนอีกฝั่งลงโทษอย่างแน่นอน แต่ ตราโอเร่ ไม่ทำแบบนั้น เขาพยายามจะใช้ท่า “รูเล็ตต์” หรือที่หลายคนคุ้นเคยในชื่อ “ซีดาน เทิร์น” (การใช้เท้าเหยีบบที่บอลและใช้บอลเป็นจุดหมุน เพื่อพลิกไปไปอีกฝั่งและเล่นต่อได้ทันที) 

อย่างที่ทุกคนรู้กัน มันควรจะง่ายดายปานปลอกกล้วยถ้าเขาเตะออกไป หรืออย่างน้อย ๆ มันคงเท่มาก ๆ หาก ตราโอเร่ พลิกบอลกลับมาและทำให้ทีมเป็นฝ่ายรุกได้ ทว่าที่สุดแล้วบอลกระดอนหรือเขาจับบอลไม่ดี ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ตราโอเร่ ทำบอลลั่นเข้าประตูตัวเองไปอย่างสุดงง ชนิดที่ว่าตัวของเขายังทำหน้าเขิน ๆ ไม่รู้จะโทษใครดีเลยทีเดียว

“มึงไปอาบน้ำเลยไป” ราฟา เบนิเตซ ตะโกนใส่ ตราโอเร่ จากคำบอกเล่าของ เจมี่ คาร์ราเกอร์ นั่นคือสิ่งที่เขาจำได้ … และไม่ใช่แค่โค้ชที่เดือดดาล แฟนบอลหงส์แดงก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน 

“อย่าโทษ ฮามันน์ อย่าโทษ ฟินแนน อย่าโทษ บิสคาน … ไอ้หมอนี่คนเดียวล้วน ๆ ฌิมี่ ตราโอเร่ คือคนต้องรับผิดชอบลูกนี้แต่เพียงผู้เดียว” แฟนบอลลิเวอร์พูลรายหนึ่งคอมเมนต์ใต้คลิปยูทูบที่ชื่อว่า “Djimi Traore Wonder Own Goal”

 

บางคนโกรธที่เขาทำแบบนั้น แต่แฟนบอลลิเวอร์พูลบางคนก็โกรธ ตราโอเร่ ไม่ลง เพราะมันคือการยิงเข้าประตูตัวเองสุดคลาสสิกที่แทบไม่เคยมีใครทำให้เห็น ถ้าไม่พลาดจริงทำแบบนี้ไม่ได้แน่นอน 

“ผมอยู่ในสนามวันนั้น ผมนั่งอยู่หลังประตูของทีมเบิร์นลี่ย์ราว ๆ แถวที่ 6 ของที่นั่ง … ที่สำคัญผมเป็นแฟนลิเวอร์พูล ผมล่ะอยากจะฮาให้ตกเก้าอี้จริง” ฟิลิป รอย แฟนหงส์แดง คอมเมนต์แบบนั้น 

หลังเกมนั้นจบลง ผลแพ้ชนะไม่ได้สำคัญอะไรมากไปกว่าการพูดถึงลูกยิงเข้าโกลตัวเองของ ตราโอเร่ ตัวของเขาเองก็โดนด่ายับจาก ราฟา เบนิเตซ ที่ไม่พอใจกับการเล่นลูกที่ไม่ควรเล่นเช่นนี้ 

“ผมพยายามจะหมุนลูกบอลแต่มันกระดอนผิดสัดผิดส่วนไป มันไปโดนขาผมผิดเหลี่ยมเข้าไป ผมคิดในใจ ชิบหอยแล้วไงล่ะ แน่นอน ราฟา ก็คิดแบบนั้นแหละ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ 14 นาทีต่อมา เขาเปลี่ยนผมออกมานั่งพักทันที” 

“เขาเข้ามาคุยกับผมและย้ำเตือนว่าผมประมาทและเลินเล่อเป็นอย่างมาก สิ่งที่ผมทำมันคือความผิดพลาดที่ทำให้ทีมของเราโดนลงโทษ … ไม่ต้องบอกก็รู้ ผมเองก็เห็นด้วยกับเขาเต็มประตูเลยล่ะ ผมผิดเอง ผมต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้” 

นักเตะบางคนโดนแบบนี้เข้าไปจะไม่มีทางลืมและไม่อาจมูฟออนเพื่อเริ่มต้นใหม่ได้ง่าย ๆ อาทิ รอย คาร์โรลล์ อดีตผู้รักษาประตูของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เล่นผิดพลาดครั้งเดียวในเกมกับ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ (แม้กรรมการจะไม่ให้ประตูก็ตาม) กลับกลายเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเสียทรง ถึงขั้นไม่สามารถกลับมายึดตัวหลักของทีมได้อีกเลย … แต่ ตราโอเร่ นั้นต่างออกไป ในความผิดพลาดนั้นเขามองมันเป็นบทเรียน  เขาบอกตัวเองว่าฤดูกาลยังเหลืออีก 4 เดือนให้เล่น และเขาจะไม่พลาดแบบนั้นอีก

คัมแบ็กครั้งประวัติศาสตร์ 

หลังเกมกับ เบิร์นลี่ย์ ผ่านไป 1 วัน นักเตะของ ลิเวอร์พูล ต้องมาซ้อมตามกำหนดการณ์ นักเตะที่ลงเล่นในเกมนั้นจะได้วอร์มอัปยืดเส้นยืดสายเบา ๆ ตราโอเร่ เองก็มาทำงานแบบไร้ใจไร้อารมณ์ หลังซ้อมเสร็จเขานั่งอยู่ในล็อกเกอร์รูม และมีคน ๆ หนึ่งเข้ามาทักทายเขา คน ๆ นั้นคือ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ตำนานกองหลังของทีม คนที่เคยทำผิดพลาดเรื่องทำเข้าประตูตัวเองมาไม่น้อยกว่า 8 ครั้งตลอดอาชีพค้าแข้ง

“ผมนั่งอยู่หงอย ๆ ในล็อกเกอร์รูมที่สนามซ้อมเมลวูด จากนั้น เจมี่ คาร์ราเกอร์ ก็มานั่งข้าง ๆ ผม เขาบอกกับผมตรง ๆ ว่าสถานการณ์ของผมมันโคตรจะนรกแตกเลย เขาเปิดด้วยประโยคนั้น แต่ที่เหลือเป็นการปลอบประโลมและสอนให้ผมเห็นอีกด้านของความผิดพลาด” ตราโอเร่ เล่าย้อนความ

“เขาบอกว่า ‘เอาน่า อย่าไปคิดอะไรเยอะแยะ ดูฉันเป็นตัวอย่างก็ได้ ฉันเคยยิงเข้าโกลตัวเองเกมเดียวสองลูกมาแล้ว ให้ทายว่าเราเจอกับทีมไหน ? บังเอิญว่าเกมนั้นเราเจอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด อีกต่างหาก'”

“เขาปิดประโยคด้วยใจความสั้น ๆ ว่าอย่ากังวลจนมากเกินไปกับไอ้เรื่องแค่นี้ … คำพูดนั้นผมยังจำได้ดี มันมีความหมายอย่างมากและทำให้ผมก้าวต่อไปได้” ตราโอเร่ ว่าต่อ 

ตราโอเร่ ย้อนความกลับไปในวันที่เขาย้ายมาที่นี่ เขาไมได้เป็นนักเตะที่มีแต้มต่ออะไรเลย เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่นักเตะที่เก่งกาจอะไร สิ่งเดียวที่จะทำให้เขาได้โอกาสอีกครั้งคือความพยายามและทุ่มเทเพื่อผลลัพธ์ของทีมในแต่ละเกมเท่านั้น

“จุดแข็งของผมที่พอจะสู้กับคนอื่นได้คือทัศนคติ ผมรู้ว่าผมจะก้าวข้ามเรื่องร้าย ๆ และความล้มเหลวได้”

“ก่อนที่จะย้ายมาที่นี่ ผมเพิ่งเคยเล่นฟุตบอลอาชีพได้แค่ 5 เกม แถมยังเป็นเกมใน ลีก เดอซ์ อีกด้วย … ดังนั้นทุกวินาทีกับ ลิเวอร์พูล คือการเรียนรู้ที่ทำให้ผมไปยังระดับที่สูงกว่าเดิม ผมรู้ว่ามันไม่ง่ายเลย บางเกมผมได้ไปเล่นแบ็กซ้ายที่ไม่ใช่ตำแหน่งถนัด แล้วพอมาเล่นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ผมก็โดนจับมาเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟด้านขวาอีก (ตราโอเร่ ถนัดซ้าย) เพราะ ซามี่ ฮูเปีย บอกว่าไม่ชอบเล่นด้านขวา แล้วไอ้การให้ผมไปเล่นฝั่งนั้นสำหรับคนถนัดซ้ายอย่างผมเนี่ย ผมบอกเลยว่ามันโคตรยาก” 

“แต่โดยรวมแล้วผมสรุปได้อย่างเดียวเลยคือเขาให้ผมลงเล่นตรงไหนผมก็ไม่เคยเกี่ยงอยู่แล้ว ผมพร้อมจะต่อสู้เพื่อทีมเสมอนั่นแหละ สุดท้ายตลอดการเล่นให้ ลิเวอร์พูล ผมก็ได้ลงเล่นมากพอสมควร (141 เกม) มากกว่านักเตะแพง ๆ ที่ทีมซื้อมาร่วมทีมเสียอีก” ตราโอเร่ กล่าว

ตราโอเร่ พลาดเกมลีกช่วงท้ายฤดูกาลไปไม่น้อยในฤดูกาลนั้น แต่แล้วเซอร์ไพรส์ก็บังเกิดในเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่อยู่ดี ๆ ตัวสำรองอย่างเขาก็ได้ออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริง ท่ามกลางความงุนงงของใครหลาย ๆ คน 

ครึ่งแรก ลิเวอร์พูล เล่นผิดพลาดกันทั้งทีมจนทำให้โดนนำไปถึง 0-3 ครึ่งหลัง ราฟา เบนิเตซ พยายามจะแก้เกมเปลี่ยนมาเป็นระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็ก และตั้งใจจะเปลี่ยน ตราโอเร่ ออกอยู่แล้ว … แต่มันเหมือนชะตาฟ้ากำหนด เพราะอยู่ดี ๆ ราฟา ก็เปลี่ยนใจ เลือกเก็บ ตราโอเร่ ไว้ในช่วงหลังพักครึ่ง

“เราตั้งใจจะเปลี่ยนระบบการเล่นเป็นหลังสาม แต่นาทีสุดท้ายก่อนเดินออกจากห้องแต่งตัว อยู่ดี ๆ สตีฟ ฟินแนน ก็มีอาการบาดเจ็บ ทีมแพทย์ของเราบอกว่าไม่น่าจะไหว และนั่นทำให้ ราฟา ต้องส่งผมกลับเข้าไปเล่นต่อในครึ่งหลัง” 

“ตอนแรกผมถอดชุดเตรียมไปอาบน้ำแบบเซ็ง ๆ แล้ว แต่ ปาโก้ อาเยสเตราน (ผู้ช่วยโค้ช) ก็ตะโกนบอกว่า ‘ฌิมี่ โว้ย กลับมาก่อน ฟินแนน เล่นต่อไม่ไหว’ … ผมออกมาจากห้องน้ำ ตั้งสติใหม่อีกครั้ง ผมบอกตัวเองว่านี่คือโอกาสที่สองที่จะได้พิสูจน์ตัวเองและพิสูจน์ความแข็งแกร่งของทีมเรา และโชคดีที่วันนั้นผมเอาคืนได้แบบทบต้นทบดอก” ตราโอเร่ กล่าว 

เราคงไม่ต้องพูดอะไรให้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะนัดชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2005 คือตำนานที่น่าขนลุกที่สุดในประวัติศาสตร์ ลิเวอร์พูล พวกเขาสวมหัวใจสิงห์ไล่ยิงทีละลูก ทีละลูก และทีละลูก รู้ตัวอีกทีพวกเขาก็โกงความตายมาได้อย่างเหลือเชื่อ ตามตีเสมอ เอซี มิลาน ชุดไร้เทียมทานเป็น 3-3 ก่อนจะลากยาวมาถึงช่วงยิ่งจุดโทษ … ที่เหลือคือตำนาน ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ และแน่นอน ฌิมี่ ตราโอเร่ ลงเล่นเกมนี้เต็ม ๆ 120 นาทีรวมช่วงต่อเวลาพิเศษ

ตราโอเร่ เล่าย้อนความกับ FourFourTwo ว่า ตอนนั้นเขาไม่ได้กลัวหรือประหม่าอะไรหลังจากโดนนำไป 3-0 เขายังคงอยากอยู่ในสนามต่อและดีใจมากที่รู้ว่าเขาจะได้ลงเล่นหลังจาก ฟินแนน บาดเจ็บ หากจะถามว่าเพราะอะไร ตราโอเร่ จึงลงมาในครึ่งหลังและประกบนักเตะอย่าง อันเดร เชฟเชนโก้, เฮอร์นัน เครสโป, รุย คอสต้า และ ฟิลิปโป้ อินซากี้ ได้ คำตอบของเขามีเพียงอย่างเดียวคือ “ถ้าผมจับพวกนี้ไม่อยู่ เราแพ้แน่นอน”

“การพลิกเกมของเราที่ลิเวอร์พูลมันเหลือเชื่อ คุณรู้ไหมเราเจอประสบการณ์โดนยิงนำมาก่อนบ่อยมาก หากเราแพ้ในครึ่งแรกในห้องแต่งตัวจะมีการกระตุ้นกันว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว พยายามเข้า เรายิงได้แน่ เราเชื่อแบบนั้นมาเสมอ นั่นแหละคือวิธีคิดก่อนที่นักเตะทั้ง 11 คนจะเดินลงสนามไปเล่นแล้วเปลี่ยนเกมได้สำเร็จ” เขากล่าว 

ที่สุดแล้วทุกวันนี้แม้ทุกคนหรือแม้กระทั่ง AI ของ Google, Facebook และ YouTube จะจำ ตราโอเร่ ได้ในฐานะตัวตลกจากประตูซีดานเทิร์นเข้าโกลตัวเอง แต่อย่างน้อยสำหรับตัวของเขาเอง เขามองว่ามันเป็นแค่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

สิ่งเดียวที่เขามองตัวเองและตัดสินช่วงเวลาที่ ลิเวอร์พูล นั้นแตกต่างจากที่คนอื่นมองอย่างสิ้นเชิง … เพราะเขามองว่านี่คือช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา และเขาประสบความสำเร็จมากเกินกว่าที่ตัวเองเคยคาดฝันไว้

“ยิงเข้าโกลตัวเองแบบนั้นถามว่าผมอายไหมน่ะเหรอ ? จะอายไปเพื่ออะไร แบบนี้เขาเรียกว่ามันมีสตอรี่” ตำนานซีดานเทิร์นผู้พ่วงแชมป์ยุโรปกล่าวทิ้งท้าย