ไม่ว่า แฮร์รี่ แมคไกวร์ จะทำอะไรในตอนนี้ ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตไปเสียหมด ปราการหลังของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สร้างความผิดพลาดให้สื่อได้จับตามองในทุกสุดสัปดาห์ และทำให้แม้แต่แฟน ๆ ของปีศาจแดงก็ยังเหลืออดกับผลงานของเขา
และล่าสุดกับทีมชาติอังกฤษ จากนักเตะที่ถูกมองว่าเล่นได้ดีที่สุดในชุดรองแชมป์ยูโร 2020 ตอนนี้แม้แต่แฟนบอลของ “ทรีไลออนส์” ก็ยังรุมโห่ใส่ แมคไกวร์ ทุกจังหวะที่เขาได้จับบอลในเกมที่ อังกฤษ พบกับ ไอวอรี่โคสต์ ในช่วงฟีฟ่า เดย์ ที่ผ่านมา
เรื่องราวเหล่านี้อาจจะตลกสำหรับบางคน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกฝ่ายเริ่มมองว่า “การล้อเลียน” ชักเลยเถิดขึ้นไปทุกที นักเตะทีมชาติอังกฤษและสโมสรต่าง ๆ เริ่มโพสต์ข้อความแสดงจุดยืนเคียงข้างแมคไกวร์ราวกับเป็นวาระแห่งชาติ…
เกิดอะไรขึ้นกับเขา ติดตามไปพร้อมกับ Main Stand
คนอื่นก็มี ทำไมต้องเป็นแมคไกวร์ ?
โลกนี้มีนักเตะที่ถูกมองว่าเป็นจอมเฟอะฟะหละหลวม และถูกจับตามองในฐานะตัวตลกมามากมาย ก่อนจะถึง แฮร์รี่ แมคไกวร์ หลายคนคงจะเคยได้ยินชื่อของ ไตตัส บรัมเบิล, ฌอง อแล็ง บูมซง, ปาสกาล ซีก็อง, ริชาร์ด ดันน์, เจมี่ คาร์ราเกอร์ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่นักเตะขวัญใจแฟนบอลฝั่งตรงข้าม
สิ่งที่เราสังเกตเห็นได้คือ นักเตะทุกคนที่กล่าวมาล้วนเป็นกองหลังหรือเซ็นเตอร์ฮาล์ฟทั้งสิ้น เหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่านี่คือตำแหน่งสุดท้ายของทีมที่จะต้องวัดกับตัวรุกของคู่แข่ง ถ้ากองหน้าของอีกฝั่งผ่านพวกเขาไปได้ นั่นหมายความว่าโอกาสเสียประตูของทีมก็จะสูงลิบในทันที
เมื่อเรามองจากตำแหน่งของพวกเขาเหล่านี้และต้องดวลกับกองหน้าในวงการฟุตบอลอังกฤษที่มีความเร็วและความแข็งแรงเป็นจุดเด่น มันก็คงไม่แปลกนักที่พวกเขาจะมีโอกาสพลาดและถูกจดจำจากจังหวะแบบนั้น เพียงแต่ว่าจังหวะของ แมคไกวร์ ถ้าใช้คำให้ทันสมัยเราคงสามารถใช้คำว่า “จังหวะนรก” ได้อย่างเต็มปาก
ง่ายที่สุดคือผลงานของเขากับต้นสังกัดอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ต้องยอมรับว่ามีข้อผิดพลาดให้เห็นในทุกสัปดาห์จริง ๆ และบางครั้งความผิดพลาดก็ชัดจนต่อให้ไม่ต้องโฟกัสก็ทำให้ถูกพูดถึงในหน้าสื่อได้โดยง่าย
จากการยืนยันของเว็บไซต์หลักของพรีเมียร์ลีกนักเตะที่ “มีการผิดพลาดและนำไปสู่การเสียประตู” (Errors Leading To Goal) ปรากฏว่ายังมีคนผิดพลาดที่มากกว่า แมคไกวร์ อีก 3 คน โดย 2 ใน 3 คือแคนดิเดตกองหลังทีมชาติอังกฤษชุดปัจจุบันอย่าง ไมเคิล คีน (เอฟเวอร์ตัน) และ เจมส์ ทาร์คอฟสกี้ (เบิร์นลี่ย์) ที่ผิดพลาดไปคนละ 2 ครั้ง (อีกคนคือ เชมุส โคลแมน) แม้กระทั่ง ดาบิด เด เคอา นายทวารของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังติดอยู่ในลำดับ 4 ร่วม เท่ากับ แมคไกวร์ ด้วยซ้ำ … แต่จากกระแสที่เกิดขึ้นหลังความผิดพลาด แมคไกวร์ คือคนที่ถูกพูดถึงมากกว่าใคร
ทุกอย่างมีเหตุผลแน่นอน จังหวะนรกของ แมคไกวร์ เกิดขึ้นจากสถานะของเขา ณ ปัจจุบันด้วย เขาเป็นปราการหลังตัวหลักของทีมชาติอังกฤษมาตั้งแต่ช่วงก่อนฟุตบอลโลก 2018 เป็นกัปตันทีมของสโมสรใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมที่มีคนจ้องแช่งชักหักกระดูกมากที่สุดทีมหนึ่งในประเทศ ดังนั้นความผิดพลาดที่เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่เสมอเมื่อ แมคไกวร์ เป็นหนึ่งในผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับจังหวะนั้น ๆ
ยิ่งเขามาเป็นกัปตันของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคที่ผลงานทีมโดยรวมย่ำแย่มายาวนานเกือบ 1 ทศวรรษ ในช่วงเวลาที่โซเชียลมีเดียบูมถึงขีดสุด ทุกคนมีสื่ออยู่ในมือ ดังนั้นมันยิ่งเป็นเรื่องง่ายมากที่ใครสักคนจะเริ่มวิจารณ์เขาเป็นวงกว้างจนกลายเป็นกระแสได้ง่าย ๆ และแน่นอนด้วยความเป็นอิงลิชชน ประเทศที่เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของวงการสื่อ เรื่องต่าง ๆ ของ แมคไกวร์ ที่เป็นกระแส ก็ถูกสื่ออังกฤษหยิบมาขยี้อย่างแพร่หลาย เพราะพวกสื่อต่างรู้ดีว่า “เล่นไปก่อน ยังไงก็ขายได้”
เรื่องนี้ ลูก้า โมดริช อดีตนักเตะที่เคยค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก ยังเคยออกมาพูดถึงเรื่องสื่ออังกฤษว่าเป็นพวกที่ชื่นชอบความดราม่าและการสร้างกระแสเก่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ สื่ออังกฤษชอบใช้นักฟุตบอลเป็นเครื่องมือระดับที่สามารถสร้างนักเตะคนหนึ่งให้เป็นคนที่มีชื่อเสียงได้ และสามารถฆ่านักเตะที่พวกเขาสร้างขึ้นมาได้ด้วยการนำเสนอข่าวของพวกเขาเช่นกัน
“หลายคนบอกว่านักเตะอังกฤษหยิ่งยโสแต่ผมว่าไม่ใช่ มันไม่เกี่ยวกับผู้เล่นทีมชาติอังกฤษอะไรเลย แต่คนรอบข้างต่างหากที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น นักข่าวและนักวิจารณ์ชาวอังกฤษบางคนคือตัวแปรสำคัญ” นี่คือสิ่งที่ โมดริช กล่าวก่อนเกม ยูโร 2020 ซึ่ง โครเอเชีย โคจรมาพบกับ อังกฤษ อีกครั้ง หลังทีมตราหมากรุกพิชิตสิงโตคำรามในรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2018 ในตอนที่สื่ออังกฤษโหมกระพือความมั่นใจจนถึงขั้นโม้สะบั้นหั่นแหลกเป็นการข่มขวัญว่า “Football is coming home”
และตอนนี้ แมคไกวร์ เองก็กำลังโดนสื่ออังกฤษปฏิบัติเช่นนั้นติดต่อกันมาเป็นปีแล้ว
ผลงานแย่ก็ใช่ … แต่จมดินยิ่งกว่าเดิมได้ด้วยสื่อ
สื่ออังกฤษขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องการอวยยศทำให้นักเตะของพวกเขาดูเก่งกาจมากกว่าความเป็นจริง เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาช้านานโดยเฉพาะในเวลาที่มีโปรแกรมทีมชาติในทัวร์นาเมนต์สำคัญ ๆ
สำนักข่าวแห่งชาติอังกฤษอย่าง BBC คือสถานีวิทยุและโทรทัศน์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1922 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์อย่าง The Times และ The Telegraph ก็มีอายุยาวนานเกินกว่า 100 ปีทั้งสิ้น เรียกได้ว่าเป็นการนำเสนอแบบทางเดียวในสมัยก่อนที่ยังไม่มีการเชื่อมต่อกันไปทั่วทั้งโลกเหมือนทุกวันนี้ ไม่แปลกเลยที่ชาวอังกฤษจะมีทัศนคติเอนเอียงไปยังสิ่งที่สื่อของพวกเขานำเสนอออกมาโดยไม่ตั้งคำถาม
ความเก่าแก่และการนำเสนอข่าวของสื่อส่งอิทธิพลต่อคนอังกฤษเป็นอย่างมาก พวกเขาส่งต่อเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านตัวหนังสือหรือการนำเสนอผ่านวิทยุและโทรทัศน์ โดยเฉพาะเรื่องราวของฟุตบอลที่อยู่คู่กับคนอังกฤษมาช้านาน เมื่อมีการแข่งขันฟุตบอลกับประเทศต่าง ๆ สื่ออังกฤษจึงเลือกนำเสนอแต่ความแข็งแกร่งของประเทศตัวเองและดิสเครดิตทีมคู่แข่ง เพื่อชี้นำไปยังปลายทางว่า “อังกฤษจะเป็นผู้ชนะ” เรื่องแบบนี้แม้กระทั่งในปัจจุบันก็เป็นอยู่ ต่อให้คุณไม่ใช่คนอังกฤษก็ยังสัมผัสได้ถึงความมั่นใจเกินเหตุที่สื่ออังกฤษยัดเยียดให้ทีมของพวกเขา
กรณีของ แมคไกวร์ หากเราลองย้อนความไปตอนที่เขาเล่นให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ หรือช่วงที่เขาพาทีมชาติอังกฤษไปถึงรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลก 2018 ณ เวลานั้นสื่ออังกฤษก็ชื่นชม แมคไกวร์ ชนิดเป็นคนละคนกับในตอนนี้ เพราะในฟุตบอลโลกครั้งนั้น แมคไกวร์ เล่นเกมรับได้อย่างยอดเยี่ยมสามารถดักเก็บกินได้หมด ขณะที่เกมรุกก็ยิงได้ถึง 3 ลูก เรียกได้ว่าทำเกินหน้าที่จนคนทั้งประเทศแห่ชื่นชมไม่เว้นแต่ละวัน
ซึ่งตอนนั้น แมคไกวร์ ก็เก่งจริง หากยังจำความกันได้ก่อนที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้ตัวเขาไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เป็นอีกทีมที่สนใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก แต่สุดท้าย เรือใบสีฟ้า ก็ไม่สู้ค่าตัว เรื่องนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังเคยเปิดเผยหลังเหตุการณ์นั้นว่า “นี่คือนักเตะท็อปคลาส เราสนใจเขา แต่เราไม่สามารถสู้ราคาได้”
ตัดภาพกลับมาที่เวลานี้หลังจากที่ แมคไกวร์ ย้ายมา ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 85 ล้านปอนด์ อะไรหลาย ๆ อย่างก็เปลี่ยนไป ประการแรกที่ทุกคนเข้าใจได้ตรงกันคือ แมคไกวร์ มีความผิดพลาดที่เห็นชัดจริง ๆ เมื่อมีความผิดพลาดและเป็นนักเตะอาชีพ ไม่แปลกที่เขาจะเริ่มโดนวิจารณ์จากสื่อและแฟนบอล ทว่ากรณีของ แมคไกวร์ มันกลายเป็นการล้อกันแบบไม่จบไม่สิ้น อย่างที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าทุกวินาทีของเขา “คือคอนเทนต์” จะพลาดน้อยพลาดมากอะไรก็ช่าง ทุกอย่างเป็นข่าวที่ขายได้เสมอ และสื่ออังกฤษก็ชอบข่าวแบบนี้มากพอ ๆ กับแฟนบอลที่มีโซเชียลอยู่ในมือ
สิ่งที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดียร์ แมคไกวร์ รับรู้แน่นอน เขาเป็นนักเตะที่ใช้โซเชียลอยู่บ่อยครั้ง และเรื่องนี้มีงานวิจัยว่ามันส่งผลต่อความรู้สึกและสมาธิของนักกีฬาที่ใช้สื่อชนิดนี้แน่นอน
คิม เอนเซล, คริสโตเฟอร์ เมซาโน่ และ เฮเลน บราวน์ จากมหาวิทยาลัยเดกิน ประเทศออสเตรเลีย ได้ทำการศึกษานักกีฬาและพวกเขาพบว่า เมื่อปี 2016 การใช้โซเชียลมีเดียก่อนหรือระหว่างการแข่งขันอาจส่งผลให้การเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจทำได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีป็อปอัปข้อความหรือ Push Notifications เด้งขึ้นมาในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งมีส่วนเกี่ยวพันต่อความวิตกกังวล และอาจจะทำให้พวกเขาสลัดออกจากโซเชียลมีเดียไม่ได้ เพราะเรื่องราวเหล่านั้นเข้าไปรบกวนในสมองและวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา
ในเคสของ แมคไกวร์ เขาตอบโต้การโดนวิจารณ์จากสื่อและโลกโซเชียลมาแล้ว 1 ครั้ง ในเกมที่ อังกฤษ ชนะ แอลแบเนีย 5-0 ในเกมนั้นเขาโหม่งประตูได้และทำท่าอุดหู แม้ท่าดีใจดังกล่าวจะเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ที่สื่อถึงการไม่สนคำวิจารณ์ แต่ก็นั่นแหละถ้าเขาไม่สนคำวิจารณ์ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องแสดงท่าดีใจแบบนั้นเลย (แม้ แมคไกวร์ จะบอกว่าเขาแค่คิดจะทำท่านี้ขึ้นมาเฉย ๆ ไม่มีเหตุผลเบื้องหลังก็ตาม)
หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นสื่ออังกฤษเหมือนฉลามที่ได้กลิ่นคาวเลือด การนำเสนอแง่ลบเกี่ยวกับ แมคไกวร์ กลายเป็นเรื่องสนุกของพวกเขาไปแล้ว และเรื่องบางเรื่องก็เลยเถิดจากความจริงไปไกล เช่นล่าสุดมีคลิปการเล่นลิงชิงบอลในแคมป์เก็บตัวทีมชาติอังกฤษที่ แมคไกวร์ ดันไปครองบอลไว้กับตัวมากถึง 3 จังหวะ และมีการแคปภาพ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตัน ลิเวอร์พูล ที่ทำท่า “งง” และมีการอ้างว่า เฮนเดอร์สัน พูดกับแม็คไกวร์ว่า “ทำอะไรของคุณน่ะ ?”
ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็กลายเป็นความตลกโปกฮากันไป ยิ่งมีกระแสที่ว่าเขาฟอร์มตกและไม่ควรติดทีมชาติประกอบด้วยแล้ว ข่าวดังกล่าวจึงถูกแชร์และนำเสนอไปทั่วโลกภายในระยะเวลาอันสั้น
สิ่งที่ตามมาคือในเกมที่ อังกฤษ เอาชนะ ไอวอรี่โคสต์ ในเกมอุ่นเครื่องล่าสุด 3-0 ในเกมนั้น แมคไกวร์ ได้ลงสนาม และเป็นครั้งแรกที่เขาโดนแฟนบอลอังกฤษที่เล่นในเวมบลี่ย์บ้านของตัวเองโห่ทุกจังหวะ ซึ่งหลังจากเกมดังกล่าวจบลงหลายคนในแคมป์ทีมชาติอังกฤษก็ได้แสดงจุดยืนเคียงข้าง แมคไกวร์ ในทันที เพราะพวกเขาต่างคิดว่าเรื่องดังกล่าวมันชักจะเป็นการล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว
ไทโรน มิงส์ กองหลังทีมชาติอังกฤษอีกคนให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ที่ แมคไกวร์ เล่นลิงชิงบอล 3 จังหวะจนเป็นไวรัลว่า จริง ๆ แล้วเรื่องดังกล่าวไม่ได้มีอะไรเลย จังหวะดังกล่าวเป็นจังหวะที่วงลิงชิงบอลของพวกเขาส่งบอลกันครบ 45 ครั้งแล้ว จึงมีสัญญาณให้หยุดพักก่อนเพื่อให้คนเป็นลิงได้พัก และมันบังเอิญว่าบอลไปจบจังหวะสุดท้ายที่ แมคไกวร์ พอดิบพอดี นอกจากนี้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็ไม่ได้พูดอะไรที่เป็นการตั้งคำถามอย่างที่สื่อเอาไปเล่าเอาไปขยี้อีกด้วย
“เราผ่านบอลไป 45 ครั้ง และ แมคไกวร์ ก็หยุดบอล ผมเข้าใจสถานการณ์ตอนนั้นเพราะมันเป็นการหยุดเพื่อให้คนที่เป็นลิงได้พักหายใจ”
“จริง ๆ แล้ว แมคไกวร์ แค่หยุดในจังหวะที่พอดิบพอดีเท่านั้น อีกสักพักเขาก็พูดว่า ‘พอแล้ว เดี๋ยวเราค่อยเริ่มใหม่’ ดังนั้นผมจึงยืนยันว่าความเห็นแง่ลบที่เกิดขึ้นจากหลาย ๆ ฝ่ายนั้นเกิดจากความไม่เข้าใจในบริบททั้งหมดของวิดีโอที่พวกเขาได้เห็น” มิงส์ ที่อยู่ในวงลิงชิงบอลกล่าวภายหลัง
ขณะที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน คนที่เป็นประเด็นจากคลิปดังกล่าวก็ออกมายืนเคียงข้าง แมคไกวร์ และวิจารณ์สื่อและแฟนบอลอังกฤษกลับว่า “แมคไกวร์ เป็นผู้นำเกมรับของทีมชาติอังกฤษมา 2 ทัวร์นาเมนต์หลังสุด ถ้าไม่มีเขาเราก็ไม่มีทางไปได้ไกลขนาดนั้น การที่เขาโดนโห่ไล่ในสนามเหย้าของตัวเองเป็นอะไรที่ไม่มีเหตุผลเลย พวกเรากลายเป็นอะไรกันไปแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นอะไรที่แย่มาก ในฐานะของนักเตะที่อยากคว้าชัยชนะให้อังกฤษผมรู้สึกโชคดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมร่วมกับเขา เราทุกคนต่างรู้สึกเช่นนั้น”
การแสดงออกของ มิงส์ และ เฮนเดอร์สัน นำมาซึ่งเสียงสนับสนุนของ แฮร์รี่ เคน, แกเร็ธ เซาธ์เกต และอีกหลายคนในทีมชาติอังกฤษ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปมากนัก อาจจะมีใครบางคนที่เห็นด้วยกับสิ่งที่สมาชิกทีมชาติอังกฤษเหล่านี้บอก แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้สนใจ และการวิจารณ์ ล้อเลียน หรือใด ๆ ก็ตามยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งผู้ที่จะทำให้มันจบลงได้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวของ แมคไกวร์ เอง
ทางรอดทางเดียว
ไม่มีทางเลยที่ แมคไกวร์ จะผ่านเรื่องราวเหล่านี้ได้ด้วยการตอบโต้ผ่านโซเชียลมีเดียของตัวเอง ทางเดียวที่จะเขาจะรอดจากการตกเป็นเหยื่อคือการยกระดับการเล่น ตอบโต้คำวิจารณ์ด้วยผลงานในสนามตามแบบฉบับของนักเตะอาชีพ
ในอดีตนักเตะหลายคนเคยถูกวิจารณ์จากสื่อจนกลายเป็นการชี้เป้าให้แฟน ๆ รุมมาก่อนหน้านี้มากมาย จอห์น บาร์นส์ อดีตปีกของ ลิเวอร์พูล, แอชลี่ย์ โคล และก่อนหน้าแมคไกวร์ไม่นานนักอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง นักเตะทั้งหมดนี้ผ่านเหตุการณ์ดังกล่าวมาได้ด้วยผลงานในสนามทั้งนั้น
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดน่าจะคล้าย ๆ กับ กรณีของ เวส บราวน์ และ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ที่แรกเริ่มพวกเขาทั้งคู่ต่างไม่เป็นที่ชอบใจแม้กระทั่งกับแฟนบอลของตัวเอง จนวันหนึ่งที่พวกเขาสามารถยกระดับการเล่นจนก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลัก และแต่ละคนก็ไปถึงระดับนักเตะคนสำคัญที่พาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาครองได้ เมื่อมาถึงจุดนี้คำวิจารณ์ก็กลายเป็นการยกย่องได้ไม่ยาก แม้เสียงวิจารณ์จากภาพจำในอดีตยังคงมีอยู่บ้างก็ตาม
สิ่งที่ แมคไกวร์ ต้องทำคือการยืนหยัดรับความเป็นจริงของโลกฟุตบอลในยุคนี้ให้ได้ เขาจะต้องเผชิญหน้ากับมันจนกว่าเขาจะสามารถยกระดับการเล่นไปถึงจุดที่ไม่สามารถมีใครตั้งข้อสงสัยได้ หรืออย่างน้อยที่สุดคือต้องมีการแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นกับทั้งระดับสโมสรและทีมชาติ
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนักกีฬา โดยเฉพาะกับโลกทุกวันนี้ที่ทุกคนมีพื้นที่ระบายอาการหัวร้อนของตัวเองได้ทุกเมื่อต้องการ ถ้าเขารับมือกับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้นั่นอาจหมายถึงเขากำลังอยู่ผิดที่ เขาอาจจะต้องเปลี่ยนเอาคำวิจารณ์เหล่านี้มาใช้ให้ถูกทาง เช่นเอามากระตุ้นตัวเอง … แม้มันจะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่มันคือทางเดียวที่จะทำให้พวกเขาก้าวพ้นสถานะตัวตลกอันดับ 1 ของโลกฟุตบอล ณ เวลานี้ได้
เขาอาจจะต้องมองย้อนเส้นทางที่เคยผ่านมาแล้วจะพบว่าตัวเองก็มาไกลมากจากนักเตะที่ลงเล่นในระดับลีกวัน จนถึงวันที่กลายมาเป็นนักเตะตัวหลักของทีมชาติ คุณค่าของตัวเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ำลายหรือสิ่งที่คนแปลกหน้าพิมพ์ลงมาบนโลกโซเชียล
ไม่มีใครรู้ว่า แฮร์รี่ แมคไกวร์ จะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้หรือไม่ แต่ตอนนี้หลายคนเริ่มออกมาแสดงจุดยืนเคียงข้างเขามากขึ้นแล้ว และมันอาจจะเป็นการช่วยให้เขารับมือกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ได้ดียิ่งกว่าที่เคยเป็น แต่ที่สุดแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาแข็งแกร่งพอที่จะก้าวข้ามคำวิจาณณ์ได้หรือไม่เท่านั้น เพราะนี่คือสัจธรรมของโลกใบนี้ที่คนให้กำลังใจก็มีและคนที่รอซ้ำคุณอยู่ก็มากไม่แพ้กัน…
ชื่อเสียง ความสำเร็จ และเงินทอง ล้วนมีราคาที่ต้องจ่ายสำหรับนักกีฬาอาชีพเสมอ … ตอนนี้เป็นเวลาที่เขาต้องพิสูจน์แล้วว่าเขาจะยอมแพ้หรือไปต่อสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในอาชีพของเขา