sportpooltoday

ของบางอย่างต้องรู้จักใช้ : วิธีพลิกจากตัวสำรองสู่ไพ่ตาย ลิเวอร์พูล ของ “ติอาโก้”


ของบางอย่างต้องรู้จักใช้ : วิธีพลิกจากตัวสำรองสู่ไพ่ตาย ลิเวอร์พูล ของ "ติอาโก้"

นับตั้งแต่ที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา และ เยอร์เกน คล็อปป์ เข้ามาเป็นคู่แข่งคู่แค้นในพรีเมียร์ลีก หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป โดยเฉพาะฝั่งของ คล็อปป์ ที่เกิดความเชื่อบางอย่างสำหรับฟุตบอลสมัยใหม่ว่า “ร่างกายและวินัยสำคัญกว่าพรสวรรค์”

ความเชื่อนี้แม้แต่ตัว คล็อปป์ เองก็ยังเจอปัญหาไม่น้อย ในวันที่เขาไปเอานักเตะผู้ถูกขนานนามว่า “บอลสมอง” อย่าง ติอาโก้ อัลคันทาร่า มาจาก บาเยิร์น มิวนิค และผลงานของตัวนักเตะกลับไม่ดีเหมือนเก่าจนหลายคนเชื่อว่า “เล่นสไตล์คล็อปป์ไม่ได้” 

แต่ 1 ปีหลังจากนั้น ติอาโก้ แสดงให้เห็นในการลุ้น 4 แชมป์ของ ลิเวอร์พูล ที่ดำเนินมาจนถึงฉากสุดท้ายของฤดูกาลว่าเขาสำคัญ และเป็นบอลสมองที่เข้ามาผสมผสานกับฟุตบอลแบบ “เกเกนเพรสซิ่ง” ได้ดีขนาดไหน 

เบื้องหลังจากการบาดเจ็บสู่หนึ่งในไพ่ตายของ ลิเวอร์พูล ซีซั่นนี้เป็นเช่นไร? ติดตามได้ที่นี่กับ Main Stand

มาอังกฤษคงโดนเสียบขาหัก 

หนึ่งคำปรามาสที่เราพบเห็นได้เสมอเมื่อนักเตะที่ทักษะฟุตบอลดีๆจากประเทศแถบลาตินอเมริกา, สเปน, โปรตุเกส หรือชาติใดๆก็ตามที่เล่นฟุตบอลแบบสวยงามใช้จินตนาการย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ลีก ก็มักจะถูกพูดถึงด้วยวลีที่ว่า “มาอังกฤษคงโดนเสียบขาหัก” อยู่เสมอ

ประโยคดังกล่าวถือว่าคร่ำครึพอสมควรสำหรับทุกวันนี้ เพราะนักเตะพรสวรรค์สูงจากต่างแดนหลายคนเข้ามาพิสูจน์ได้แล้วว่าอันที่จริง “มันไม่ใช่ปัญหา” พวกเขาสามารถเอาตัวรอดได้สบาย และยังกลายเป็นนักเตะระดับแถวหน้าของลีกอีกด้วย อาทิ เชส ฟาเบรกาส, ดาบิด ซิลบา, ฆวน มาต้า หรือนักเตะบราซิลอย่าง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ก็ตาม

1อย่างไรเสีย ประโยคที่บอกว่า “มาอังกฤษโดนเสียบขาหัก” ก็ยังคงถูกอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่เราได้เห็นนักเตะจอมเทคนิคหลายคนที่ไปไม่รอด ซึ่งหลักๆแล้วมันมีเหตุผลมาจากการแข่งขันที่สูงมาก และแต่ละทีมมีงบประมาณในการทำทีมที่มากกว่าทีมระดับเดียวกันของลีกอื่นๆ โดยทีมจากอังกฤษจะมีอำนาจทางการเงินสูงจากรายได้เรื่องลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ซึ่งเมื่อมีเงินเยอะก็นำมาซึ่งการอัดแน่นไปด้วยนักเตะดีๆ และมันทำให้นักเตะแต่ละคนต้องพยายามให้มากขึ้นแบบที่ไม่มีเกมหมูให้เชือดบ่อยๆ 

นอกจากปัจจัยเรื่องการเงินแล้ว ยังมีเรื่องของสภาพอากาศที่ยากต่อการปรับตัวสำหรับนักเตะต่างชาติ เพราะที่อังกฤษ ในหน้าหนาวก็หนาวแบบสุดๆ หน้าฝนฝนก็ตกหนักสุดๆ ไม่มีอากาศร้อนๆ แดดดีๆ เหมือนกับประเทศบ้านเกิดของเหล่าแข้งบอลสมองทั้งหลาย 

และเหตุผลข้อสุดท้ายที่ส่งผลโดยตรง คือฟุตบอลพรีเมียร์ลีกคือลีกฟุตบอลที่เล่นหนักที่สุด เรื่องนี้ Bleacher Report ถึงกับทำบทความจัดอันดับให้พรีเมียร์ลีกเป็นอันดับ 1 ใน 5 ลีกดังของยุโรป เพราะลีกอังกฤษไม่มีการพักตอนฤดูหนาว ไม่มีวันหยุดคริสต์มาส แถมยังมีฟุตบอลถ้วยในประเทศอัดแน่นถึง 2 รายการ จนนักเตะแทบจะไม่มีเวลาคิดเรื่องอย่างอื่นนอกจากเรื่องของฟุตบอลตลอดฤดูกาลอันยาวนาน 

2“ความเครียดส่งผลแน่นอน ผู้จัดการทีมคือคนที่ได้รับความกดดันทั้งหมด ดังนั้น พวกเขาจึงต้องผลักดันทีมของเขาให้ไปให้เหนือกว่าขีดจำกัดเพื่อไล่ล่าความสำเร็จ ไม่ว่านักเตะของพวกเขาจะเป็นสตาร์ดังเงินเดือน 6 หลักก็ไม่มีข้อยกเว้น ร่างกายของพวกเขาเหล่านั้นจะต้องได้รับผลกระทบและตึงเครียดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

“ผู้ตัดสินที่นี่ค่อนข้างจะปล่อยเกมให้ไหลและดำเนินต่อไป ซึ่งมันจะยากกับร่างกายไปอีกเมื่อคุณเล่นให้กับทีมใหญ่ เพราะเวลาเจอกับทีมเล็กๆ ทีมเหล่านี้จะมีไมนด์เซ็ตที่ต้องเล่นถึงเนื้อถึงตัวตลอด พรีเมียร์ลีกอาจจะเป็นทั้งผู้สร้างสำหรับนักเตะที่สามารถผ่านบททดสอบนี้ได้ และอาจจะเป็นผู้ทำลายสำหรับนักเตะที่สอบตก ไม่ว่าอย่างไร ดาวดังระดับโลกมากมายหลายคนที่เคยมาเล่นที่นี่เป็นพยานได้ แม้จะไม่โหดเหมือนในอดีต แต่มันมีผลต่อร่างกายของคุณอย่างแน่นอน” แกร์รี่ เฮย์ส ผู้เขียนของ BR ร่ายยาว 

3กลับมาที่เรื่องราวของ ติอาโก้ อัลคันทาร่า ในวันที่เขาย้ายมาเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เมื่อฤดูกาล 2020-21 ในเวลานั้นประโยค “โดนเตะขาหัก” ก็กลับมาอีกครั้ง เนื่องจากเห็นได้ชัดว่า ติอาโก้ เป็นนักบอลเชิงสูง ชอบเอาชนะในการดวล 1-1 ไม่ว่าจะใช้การจ่ายที่เหนือชั้นหรือการครองบอลที่เหนียวแน่น 

แต่เขาเองก็มีปัญหาที่ทำให้หลายคนอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะ ติอาโก้ เป็นนักเตะที่ตัวเล็กสูงแค่ 172 เซนติเมตร มีอายุเข้าเลข 3 แล้ว แถมยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บออดๆแอดๆมาตลอดในฤดูกาลหลังๆของเขากับ บาเยิร์น และสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ถาโถมให้เขาเจอกับซีซั่นแรกที่ยากลำบากสมคำร่ำลือ

ว่าแล้ว

อย่างที่หลายคนรู้กันว่าฟอร์มของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 2020-21 นั้นกระท่อนกระแท่นผิดทรงไปเยอะ พวกเขาต้องพยายามจนหยดสุดท้ายเพื่อได้ตั๋วไปแข่ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมถึงประสบกับปัญหานักเตะบาดเจ็บไม่เว้นแต่ละสัปดาห์ เดี๋ยวคนนี้หาย เดี๋ยวคนนั้นเจ็บ วนไปวนมาตลอดทั้งซีซั่น 

4ซึ่งความ “ไม่นิ่ง” ของทีมที่เปลี่ยน 11 ตัวจริงแทบทุกเกมนั้นส่งผลต่อการเล่นของ ติอาโก้ ด้วยเช่นกัน ตัวของติอาโก้นั้นค่อนข้างลำบากในช่วงแรกๆ เพราะหลังจากเล่นกับทีมไปได้แค่ 3 เกม เขาก็โดนเข้าปะทะหนักโดย ริชาร์ลิซอน ในเกมที่ ลิเวอร์พูล ไปเยือน เอฟเวอร์ตัน ในช่วงต้นซีซั่น หลังจากเกมนั้น ติอาโก้ก็เป็นนักเตะประเภทที่มาๆหายๆ ไม่ได้ลงสนามต่อเนื่อง เมื่อประกอบกับทีมที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้ในเวลาที่เขาได้ลงสนาม ผลงานก็ไม่ดีแบบที่หลายคนคาดหวัง 

ดีทมาร์ ฮามันน์ อดีตกองกลางชุดแชมป์ยุโรปปี 2005 ยังเคยออกมาพูดถึง ติอาโก้ ว่าเป็นนักเตะที่เข้ามาพังวิธีการเล่นของ ลิเวอร์พูล เพราะเป็นคนเล่นบอลช้า เก็บบอลไว้กับตัวนาน และการย้ายมาของเขาจะทำให้ทีมเสียระบบอย่างแท้จริง 

“เขาทำให้เกมช้าลงและไม่ได้เล่นแนวทางเดียวกับลิเวอร์พูล ในอดีต ลิเวอร์พูลมีกองกลางที่ขยัน พวกเขามีทักษะไม่เท่า ติอาโก้ แต่พวกเขาก็ส่งบอลให้ มาเน่ และ ซาลาห์ ตั้งแต่เนิ่นๆ” ฮามันน์ กล่าว 

5“เขาเล่นฟุตบอลในสไตล์ที่แตกต่าง เขาชอบครองบอล ลิเวอร์พูลจะทำผลงานได้ดีเสมอเมื่อพวกเขาไม่ได้ครองบอลแต่เป็นฝ่ายแย่งบอลกลับมาแล้วส่งบอลเร็วไปให้กองหน้า เขาไม่ใช่นักเตะประเภทนั้น ดังนั้น มันจึงน่าสนใจมากเมื่อเขาลงเล่นมากขึ้นในช่วงนี้ว่ามันจะส่งผลต่อจังหวะการเล่นของทีมอย่างไร?”

สิ่งที่ ฮามันน์ บอกมาทั้งหมดเรียกได้ว่าเป็นการสรุปภาพรวมของ ติอาโก้ กับ ลิเวอร์พูล ในปีแรกเลยก็ว่าได้ เขาติดอันดับแข้งดังที่ผลงานแย่สำหรับการย้ายทีมจากสื่อแทบทุกเจ้า ทว่าสำหรับ เยอร์เกน คล็อปป์ แล้ว เขาไม่คิดแบบนั้น

ของดีต้องรู้จักใช้ 

คล็อปป์ เป็นกุนซือที่มักจะไม่ซื้อนักเตะที่ “ผ่านจุดพีกไปแล้ว” มาอยู่ในทีมของเขามากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นการหยิบจับนักเตะเกรดบีมาปั้นให้เป็นเกรดเอหรือเป็นสตาร์มากกว่า จนกระทั่งมาถึงรายของ ติอาโก้ นี่แหละที่เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนปรัชญาการซื้อนักเตะของคล็อปป์

แน่นอนว่า คล็อปป์ เป็นกุนซือที่ได้สิทธิ์ขาดในการซื้อขายนักเตะทุกคนในทีมลิเวอร์พูล ดังนั้น เมื่อ ติอาโก้ มาเป็นนักเตะของทีมนี้ นั่นหมายความเขาเชื่อมั่นในระดับหนึ่งว่า ติอาโก้ ต้องเล่นได้ เหมือนกับนักเตะอีกหลายคนที่เขาปั้นจนสำเร็จมาแล้ว และเหตุผลหลักๆที่คล็อปป์คว้าตัว ติอาโก้ มาร่วมทีม เพราะนั่นเกิดจากการที่เขาเป็นนักเตะประเภท “ทีมเพลย์เยอร์” และยังคงเป็นนักเตะที่มีความกระหายอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะผ่านการคว้าแชมป์มาแล้วมากมายก็ตาม 

6“ผมลงแข่งขันเพราะต้องการเป็นผู้ชนะ และผมจะสนุกมากถ้ามันเป็นเกมที่ดี นั่นแหละเป็นส่วนหนึ่งในสไตล์ของผม ฟุตบอลในแบบของผมต้องสนุก แต่ก็ต้องทำงานหนักเพื่อแลกกับความสำเร็จด้วย” นี่คือสิ่งที่ ติอาโก้ ให้สัญญาในวันที่เขาย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูลด้วยการยืนยันว่าเขาจะทำงานหนักเพื่อต้นสังกัด 

ด้าน คล็อปป์ เองก็เชื่อมั่นในตัวของ ติอาโก้ มาเสมอ แม้กระทั่งวันที่ ติอาโก้ โดนวิจารณ์ เขาก็เป็นคนออกหน้ารับแทนตลอด และยังคงเชื่อมั่นว่าติอาโก้ต้องเล่นได้ และท้าให้ทุกคนรอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ 

“หลายคนต่างตั้งคำถามว่าเขาเหมาะกับฟุตบอลของเราหรือไม่? ขอบคุณพระเจ้าที่คนเหล่านี้ไม่ตัดสินใจเรื่องนี้ ติอาโก้ต้องการเข้าร่วมกับเราและเขารู้ว่าเราเล่นอย่างไร เขาเป็นนักฟุตบอลตัวจริงและมีความคิดสุดบรรเจิดเกี่ยวกับฟุตบอล เขามีวิธีที่เขารู้ว่าจะเข้ากันได้และเราก็รู้เช่นกัน” คล็อปป์ ว่าไว้เช่นนั้น และแล้วฤดูกาล 2021-22 ที่ ลิเวอร์พูล ไล่ล่า 4 แชมป์มาจนถึงตอนนี้ก็เริ่มขึ้น  

เมื่อนักเตะคนสำคัญทุกคนกลับมา อะไรๆก็ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกับนักเตะที่เก่งกาจเรื่องการจ่ายบอลอย่าง ติอาโก้ เมื่อนักเตะคนอื่นขยับหาพื้นที่ว่าง บอลจากติอาโก้จะอันตรายและมีประโยชน์ขึ้นเป็นเงาตามตัว เราเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ชัดมากๆในช่วงท้ายฤดูกาล 2021-22 ที่บอลจากเท้าของ ติอาโก้ และวิธีการเล่นของเขามีส่วนสำคัญอย่างมากต่อลิเวอร์พูล 

นอกจากนี้ก็ต้องชมทีมงานของ ลิเวอร์พูล ด้วยที่เลือกใช้งาน ติอาโก้ ได้ถูกเวลา 23 เกมแรกในฟุตบอลลีกทีมใช้งานเขาเต็ม 90 นาทีเพียงแค่ 2 เกมเท่านั้น และมีเกมที่ใช้งานเขาน้อยกว่า 75 นาทีถึง 10 เกม เรียกได้ว่าเป็นการถนอมนักเตะแบบสุดๆ และเมื่อมาถึงช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลหรือช่วงที่ผ่านเกมที่ 29 ของลีกเป็นต้นมา ลิเวอร์พูล ที่ถนอม ติอาโก้ มาตลอดก็เริ่มใช้เขาในฐานะตัวหลักโดยให้ลงเป็นตัวจริงทุกถ้วยทุกรายการ เรียกได้ว่าหลังจากผ่านเกมที่ 29 เป็นต้นมา ติอาโก้ ได้ลงเล่นน้อยกว่า 75 นาทีเพียงแค่ 2 เกมเท่านั้น โดยมีถึง 6 เกมที่เล่นเต็ม 90 นาที มากกว่าช่วงครึ่งฤดูกาลแรกถึง 3 เท่า 

7นอกจากนี้ ในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ ลิเวอร์พูล เข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศนั้น ตั้งแต่รอบน็อกเอาต์เป็นต้นมา ติอาโก้ ก็ได้ออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริงทุกเกม โดยเฉพาะในเกมกับ บียาร์เรอัล รอบ 4 ทีมสุดท้ายที่ ติอาโก้ ลงเล่นเต็ม 90 นาทีในเลกแรก และอีก 80 นาทีในเลกหลัง หลังเกมเลกแรกที่พบกัน อูไน เอเมรี่ กุนซือของคู่แข่งถึงกับต้องออกปากชมติอาโก้ว่า “คือความพิเศษของลิเวอร์พูลชุดนี้อย่างแท้จริง” 

ในเกมกับบียาร์เรอัลเลกแรก เขาสัมผัสบอล 119 ครั้ง ผ่านบอล 103 ครั้ง ผ่านบอลสำเร็จ 99 ครั้ง สกัดได้ 100 เปอร์เซ็นต์จากการสกัดบอลได้ 5 ครั้ง และสามารถวางบอลยาวสำเร็จอีก 9 ครั้ง 

“พวกเขามี ติอาโก้ อยู่ในทีม เขาเป็นนักเตะที่อันตรายแถมเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมมาก เขาเป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ และถ้าเขายังเป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ อีกในนัดนี้ ผมก็มั่นใจเลยว่าเราจะต้องตกรอบแน่นอน” เอเมรี่ กล่าว  

8ขณะที่ คล็อปป์ ก็ยอมรับว่า ติอาโก้ เป็นนักเตะที่จินตนาการสูงและสามารถทำงานหนักได้ไม่แพ้จอมขยันคนอื่นๆ แต่นักเตะอย่างเขาต้องถนอมตัวเอาไว้ และเลือกใช้งานในเกมในช่วงเวลาที่สำคัญจริงๆ 

“เขาเป็นนักเตะที่ดี เราต้องทำให้เขาฟิตเอาไว้ เขามีจังหวะที่ดีซึ่งช่วยได้มาก เขาอยู่ในที่ที่เหมาะสม คอยพลิกตัวและจ่ายบอล” คล็อปป์ กล่าวหลังเกม ลิเวอร์พูล เปิดบ้านชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-0

“เราไม่ได้มีนักเตะ 5 ล้านคนบนโลกที่เล่นได้แบบนี้ มีแค่ไม่กี่คนที่เห็นอะไรๆก่อนคนอื่น แถมเขายังมีเทคนิคที่จะพาบอลไปตรงนั้นด้วย มันเป็นเกมที่สุดยอดของเขา ทุกคนโดดเด่นมาก และนั่นคือสิ่งที่คุณต้องมีเพื่อจะชนะทีมอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด”

9ความยอดเยี่ยมคือสิ่งที่ทุกคนรู้ว่า ติอาโก้ นั้นมีอย่างล้นเหลือ แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นกำลังสำคัญของ ลิเวอร์พูล และเล่นด้วยฟอร์มที่เป็นคนละคนกับฤดูกาลที่แล้วคือ เยอร์เกน คล็อปป์ รู้วิธีการใช้งานเขาอย่างแท้จริง เมื่อถึงเกมที่ต้องใช้ไพ่ตายที่ใช้คลาสเพื่อเอาชนะคู่แข่ง ติอาโก้ คือความแตกต่างที่ คล็อปป์ มองหา และนั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมพวกเขาจึงยังมีลุ้นทุกแชมป์ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของฤดูกาล 2021-22