sportpooltoday

ก็ไม่ย้าย.. ใครจะทำไม? : ย้อนรอย “กาก้า (ไม่)ไป แมนฯ ซิตี้” ดีลร้อยล้านที่ซื้อใจนักเตะแข้งทองไม่ได้


ก็ไม่ย้าย.. ใครจะทำไม? : ย้อนรอย "กาก้า (ไม่)ไป แมนฯ ซิตี้" ดีลร้อยล้านที่ซื้อใจนักเตะแข้งทองไม่ได้

หากคุณเป็นแฟนฟุตบอล คงเห็นข่าวการย้ายทีมของ แฟรงกี้ เดอ ยอง กองกลาง บาร์เซโลน่า ที่จ่อปิดดีลกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายก็ไม่มีการย้ายทีมแบบออฟฟิเชียลเกิดขึ้นสักที

เหตุผลก็เป็นเพราะ ในขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด พร้อมซื้อ และสโมสรก็พร้อมขาย แต่ตัวนักฟุตบอลอย่าง แฟรงกี้ เดอ ยอง กลับไม่ต้องการย้ายทีม และไม่ยอมจรดปากกาเป็นสมาชิกใหม่ของทัพปีศาจแดงเสียที ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่ดราม่าแบบนี้เกิดขึ้นในโลกฟุตบอล

ย้อนไปในปี 2009 เกิดตำนานระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่หวังจะคว้าหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของโลกตอนนั้นอย่าง กาก้า ด้วยการทุ่ม 100 ล้านยูโร หวังกระชากยอดแข้งชาวบราซิลจาก เอซี มิลาน แต่โชคร้ายที่กาก้าพร้อมทำทุกทางเพื่อไม่ย้ายไปอยู่กับแมนฯ ซิตี้

เรื่องราวครั้งนั้นเป็นอย่างไร? ติดตามไปพร้อมกับ Main Stand

กาก้า และ เอซี มิลาน 

ริคาร์โด้ กาก้า ไม่ใช่แค่ตำนานนักเตะของแฟนบอลเอซี มิลาน แต่ในยุคสมัยหนึ่ง เขาคือพระเจ้าตัวจริงเสียงจริงของชาวมิลานที่ศรัทธาในฝั่งสีแดง

หลังจากย้ายสู่เอซี มิลาน ในปี 2003 กาก้าก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะตัวหลักของทีมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดของทีมหลังจากนั้นไม่นานนัก 

ผลงาน 70 ประตูจากการลงสนาม 193 นัดจาก 6 ฤดูกาลในตำแหน่งกองกลางตัวรุก บวกกับพาเอซี มิลาน คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไปจนถึงแชมป์สโมสรโลก 

1ด้านรางวัลส่วนตัวก็การันตีด้วยการคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมจากหลายสถาบันในปี 2007 ทั้งรางวัลบัลลงดอร์, รางวัล FIFPro และรางวัลของ UEFA 

ภาพของกาก้าผูกติดกับเอซี มิลาน อย่างมาก เพราะนี่คือสโมสรเดียวของเขาในทวีปยุโรป ณ เวลานั้น แทบไม่มีใครจินตนาการภาพว่ากาก้าจะอำลามิลานในช่วงที่เขายังอยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพนักฟุตบอล และแฟนบอลจำนวนมากก็เชื่อว่ากาก้าจะแขวนสตั๊ดกับสโมสรที่เขารักทั้งหัวใจ

อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนมาเริ่มต้นในฤดูกาล 2007-08 หลังจากคว้าแชมป์ยุโรปอย่างยิ่งใหญ่ในปีก่อนหน้า เอซี มิลาน กลับจบฤดูกาลด้วยอันดับ 5 ของตาราง อดไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ฤดูกาล 2001–02 หรือเป็นครั้งแรกที่กาก้ากำลังจะไม่ได้เล่นฟุตบอลถ้วยใหญ่ของยุโรป

2ขณะที่ผลงานของทีมปีศาจแดงดำไม่สู้ดีนัก กาก้าก็ยังคงมีผลงานที่ยอดเยี่ยมในฤดูกาลนั้น ด้วยการยิง 19 ประตู ทำให้เริ่มมีคำถามเกิดขึ้นว่า กาก้าควรจะย้ายหนีเอซี มิลาน ไปอยู่กับทีมที่คู่ควรกับฝีเท้าของเขาหรือไม่?

อย่างไรก็ตาม กาก้าก็ยันหนักชัดเจนว่าเขารักต้นสังกัดของเขาสุดหัวใจ และอยากจะแขวนสตั๊ดกับเอซี มิลาน ให้ได้ แต่ใครๆก็รู้ว่ามันเริ่มเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้น

เพราะด้วยสภาพเศรษฐกิจยุโรปที่เริ่มแย่ลง เอซี มิลาน กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาทางการเงิน และทางเดียวที่จะทำให้สโมสรได้เดินหน้าไปต่อแบบสบายๆคือ การขายกาก้าออกจากทีม

3นอกจากนี้ ในเมื่อมิลานมีปัญหาด้านการเงิน แถมนักเตะส่วนใหญ่ในทีมก็อายุมากและเริ่มเข้าสู่ขาลงของอาชีพ ยิ่งแสดงภาพให้เห็นว่าโอกาสที่ทีมปีศาจแดงดำจะยิ่งใหญ่เหมือนช่วงหลายปีก่อนหน้านี้เป็นไปได้ยาก และหากกาก้ายืนหยัดอยู่กับทีมต่อไป เขาอาจไม่ได้คว้าแชมป์ถ้วยใหญ่ๆอีกเลยก็ได้

ไม่ว่าจะมองทางไหน เส้นทางฟุตบอลของกาก้าก็ต้องจบที่การย้ายทีมสักวัน แต่สโมสรไหนจะกล้ายื่นข้อเสนอมหาศาลเพื่อซื้อหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในโลก? ซึ่งคำตอบคือทีมเศรษฐีใหม่จากเกาะอังกฤษอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้

เงินซื้อความรักไม่ได้ 

ย้อนไปในช่วงฤดูร้อนปี 2008 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เกิดการเทคโอเวอร์ที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น เมื่อเจ้าของเก่าอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ขายทีมเรือใบสีฟ้าให้กับกลุ่มทุนอาบูดาบีจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทำให้แมนฯ ซิตี้ กลายเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีเจ้าของทีมรวยที่สุดในโลกทันที

ทัพเรือใบสีฟ้าเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งทันที ด้วยการคว้าตัว โรบินโญ่ กองหน้าชาวบราซิลชื่อดังจาก เรอัล มาดริด แต่นั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้นของแผนการสร้างความยิ่งใหญ่ของแมนฯ ซิตี้ ยุคใหม่ พวกเขาต้องการนักเตะที่จะเข้ามาเป็นหน้าตาของทีม เป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือทีมหัวแถวของโลก

4ในเวลานั้นไม่มีใครจะตอบโจทย์ไปกว่า กาก้า ด้วยฝีเท้าระดับแถวหน้า ภาพลักษณ์ยอดเยี่ยม มีแฟนบอลให้ความรักอยู่ทั่วโลก และด้วยความที่มีเงินทุนมหาศาลมากพอจะยื่นข้อเสนอที่เอซี มิลาน พอใจได้ ยอดเพลย์เมกเกอร์ชาวบราซิลจึงเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งที่แมนฯ ซิตี้ ต้องการซื้อตัวมาให้ได้ และต้องได้ตัวมาอย่างเร็วที่สุด

ดังนั้น ในช่วงตลาดหน้าหนาวเดือนมกราคม 2009 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จึงเดินหน้ายื่นข้อเสนอ 100 ล้านยูโรให้กับเอซี มิลาน นี่คือข้อเสนอที่บ้าคลั่งมากๆในเวลานั้น และจะทำลายสถิติโลกนักเตะค่าตัวที่แพงที่สุดแบบไม่ต้องสงสัย

สำหรับ เอซี มิลาน ไม่มีความลังเลที่จะตอบรับข้อเสนอของ แมนฯ ซิตี้ เพราะเงิน 100 ล้านยูโรก้อนนี้จะช่วยให้ทีมบริหารงานแบบสบายๆไปอีกหลายปี และคงไม่มีทีมไหนจะให้ข้อเสนอที่เยอะไปกว่านี้อีกแล้ว สื่อฟุตบอลทั่วโลกเชื่อว่ากาก้าจะมาเป็นสมาชิกใหม่ของแมนฯ ซิตี้ แน่ๆ 

แต่สำหรับแฟนบอลหลายคนก็คิดว่า นักเตะระดับโลกอย่างกาก้าจะยอมย้ายมาเป็นสมาชิกทีมที่มีแค่เงินแต่ไม่มีความสำเร็จอย่าง แมนฯ ซิตี้ (ในเวลานั้น) จริงหรือ? ซึ่งขนาดแฟนบอลยังสงสัย ไม่ต้องสืบเลยว่าสำหรับกาก้านี่คือการเดินถอยหลังไม่ใช่ความก้าวหน้า

กาก้ายืนยันหนักแน่นว่าเขาจะไม่ไปเล่นให้แมนฯ ซิตี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ยอมไป ขณะที่ฝั่งสโมสรเอซี มิลาน ก็เกลี้ยกล่อมแกมบังคับว่า กาก้าจะต้องไปเล่นที่อังกฤษกับทีมเศรษฐีใหม่ เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของสโมสร

5“ตอนนั้นผมไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะแมนฯ ซิตี้ ก็ไม่เคยติดต่อกับพ่อของผมที่เป็นเอเยนต์มาโดยตรง พวกเขาไปคุยกับสโมสร และให้สโมสรมาคุยกับผมอีกที”

“เอซี มิลาน ในเวลานั้น ไม่ใช่ทีมที่จะขายนักเตะที่ดีและอยากเล่นกับทีมออกไป ซึ่งผมก็ไม่ได้อยากย้ายทีมด้วย แต่พวกเขาก็บอกผมว่า -ผมต้องย้ายทีม นี่คือสิ่งที่สำคัญมากสำหรับสโมสร เพราะเงินก้อนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทีมจะปฏิเสธได้-“ กาก้า ย้อนความหลังถึงตอนที่ตัวเองรู้ว่าต้องย้ายไปอยู่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้

กาก้ารู้หัวใจตัวเองดีว่าเขาไม่อยากออกจากเอซี มิลาน แต่คำขออย่างหนักจากสโมสรเริ่มทำให้เขาลังเล ทว่าสุดท้าย หลังจากปรึกษากับคนรอบตัว กาก้าก็เลือกเดินตามหัวใจตัวเอง และเขายืนยันว่าจะไม่ย้ายไปแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 

6“ผมรู้สึกแย่กับตัวเองมาก ผมลงสนามและแฟนๆตะโกนว่า -อย่าขายวิญญาณของนายนะ กาก้า- ผมแทบจะร้องไห้ออกมา มันแย่มากๆในตอนนั้น ผมไม่ใช่คนที่อารมณ์อ่อนไหว แต่ผมเครียดมากและจิตตก ผมโฟกัสกับอะไรในชีวิตไม่ได้เลย” กาก้า กล่าว 

กาก้าเผยว่าเขาแทบจะคุยกับผู้บริหารของทีมเกือบทุกวันเพื่อย้ำว่าเขาไม่อยากย้ายทีม เพราะเขารู้ดีว่าทีมอยากขายเขาให้แมนฯ ซิตี้ พอๆกับที่เขาอยากอยู่เอซี มิลาน ต่อไป นี่คือการต่อสู้ครั้งใหญ่ในแคมป์ของทีมปีศาจแดงดำ และจะไม่จบจนกว่าจะมีฝ่ายหนึ่งยอมแพ้ 

กาก้าดิ้นรนอย่างหนักถึงขั้นไปขอให้ผู้จัดการทีมในเวลานั้นอย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ ที่มีอำนาจมากกว่าตัวเขาในสโมสรช่วยยืนอยู่ข้างเขา แต่ยอดโค้ชชาวอิตาลีกลับไม่ยอมช่วยเขา โดยเขาบอกกับนักเตะรายนี้อย่างตรงไปตรงมาว่า ถ้าเขาช่วยกาก้า เอซี มิลาน จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆแน่นอน เพราะเขาเลือกข้างแล้วในปัญหาครั้งนี้

เมื่อรู้ว่ามัดใจกาก้าไม่ได้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จึงเข้ามาพูดคุยกับกาก้าโดยตรง และมอบข้อเสนอค่าเหนื่อยก้อนโตที่เยอะกว่าปัจจุบันที่เขาได้รับจากเอซี มิลาน มากๆ จนกาก้ายอมรับว่า เขาเริ่มไขว้เขวเหมือนกัน หลังจากได้เห็นข้อเสนอของแมนฯ ซิตี้

กาก้าเผยว่าทุกอย่างเอื้อให้เขาย้ายไปอยู่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ว่ามองมุมไหน นี่คือทางเลือกที่ดีกว่า แต่มันก็ทำให้เขาตกลงจรดปากกาย้ายทีมไม่ได้ เพราะสิ่งเดียวที่ทีมเรือใบสีฟ้าทำไม่สำเร็จคือ ไม่สามารถซื้อใจของกาก้าไปจากเอซี มิลาน ได้


“ในช่วงท้ายของการซื้อขาย โทรศัพท์ของตัวแทนจากแมนฯ ซิตี้ โทรเข้ามา ผมให้พ่อไปเจรจา ในเวลาเดียวกัน ผมก็ออกไปดูนอกหน้าต่าง มีแฟนบอลนับร้อยอยู่หน้าบ้านผม แฟนมิลานรักผม พวกเขายังรักผม และผมก็รักพวกเขา” กาก้า เล่าโมเมนต์ที่ทำให้เขาตัดสินใจเลือกทางของตัวเองได้

นั่นจึงนำมาซึ่งเหตุการณ์อันโด่งดังที่กาก้าตัดสินใจชูเสื้อเอซี มิลาน ให้แฟนบอลได้รับรู้ เพื่อเป็นการแสดงออกอย่างเป็นทางการว่า เขาไม่ย้ายไปอยู่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และดีลนี้ก็ไม่เกิดขึ้นจริง

ถ้าวันนั้นเลือก แมนฯ ซิตี้? 

เอซี มิลาน ยอมรับการตัดสินใจของกาก้า พวกเขาปล่อยเงินก้อนโตทิ้งไป และเดินหน้าต่อด้วยความหวังว่าจะมีสักทีมที่ยื่นข้อเสนอที่ดีพอเข้ามา 

ซึ่งไม่ต้องรอนาน ในเดือนมิถุนายน ปี 2009 หรือประมาณ 5 เดือนหลังจากนั้น กาก้าได้ย้ายไปอยู่กับยอดทีมจากสเปนอย่าง เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวสถิติโลก (ในเวลานั้น) ที่ 68.5 ล้านยูโร หรือประมาณ 2,530 ล้านบาท

8ทุกอย่างเหมือนจะแฮปปี้เอนดิ้งสำหรับทุกฝ่าย แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น การย้ายทีมไปอยู่กับเรอัล มาดริด ของกาก้าไม่ประสบความสำเร็จแบบที่ควรจะเป็น เขาเสียความเก่งกาจหลังจากย้ายมาอยู่ที่สเปน โดยยิงไปแค่ 29 ประตู จากการลงสนาม 120 นัด ใน 4 ฤดูกาล 

อีกทั้งเนื่องจากย้ายมาอยู่กับเรอัล มาดริด ในยุคที่ทีมคู่ปรับอย่าง บาร์เซโลน่า เป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก แถมผลงานของเขายังห่างชั้นกับเพื่อนร่วมทีมซูเปอร์สตาร์อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ทำให้ชื่อเสียงของกาก้าลดลงไปมาก และเขาก็เสียสถานะยอดนักเตะชั้นนำของโลกไปอย่างรวดเร็ว

ถึงจะไม่ใช่การล้มเหลวที่เลวร้าย แต่การย้ายมาเล่นกับทีมราชันชุดขาว ในความเป็นจริงคือการเดินถอยหลังในอาชีพนักฟุตบอลของกาก้าที่ทำให้เขาไม่ได้กลับไปอยู่บนจุดสูงสุดอีกเลย

ยิ่งเวลาผ่านไป คำถามก็ยิ่งเริ่มดังขึ้นว่า จะเป็นอย่างไรหากกาก้าตอบรับข้อเสนอของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้? เพราะหลังจากอกหักจากยอดนักเตะชาวบราซิล ทีมเรือใบสีฟ้าก็สามารถซื้อใจผู้เล่นคนอื่นให้มารวมตัวกันแล้วสร้างความสำเร็จในเวลาไม่กี่ปีหลังจากนั้น

9“ถ้าแมนฯ ซิตี้ ในวันนั้นเป็นเหมือนวันนี้ ผมคงตอบรับข้อเสนอแบบไม่ต้องคิดอะไรมากมาย” กาก้า กล่าว ” โชคร้ายที่ตอนนั้นเรื่องมันต่างออกไป ผมถูกขอให้ย้ายจากทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในยุโรปไปอยู่กับทีมที่ไม่มีอะไรเลยที่เพิ่งเริ่มต้นโปรเจ็กต์เท่านั้น” 

“ในตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าแผนการของแมนฯ ซิตี้ เป็นอย่างไร? พวกเขามีความทะเยอทะยานมากแค่ไหน? พวกเขาไม่ได้บอกผมเลยว่ามีแผนจะซื้อใครมาเพิ่มนอกจากผม หรือกระทั่งแผนในระยะสั้นและระยะยาว”

จะดีแค่ไหนหากเราได้เห็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่มีพรสวรรค์มากที่สุดคนหนึ่งอย่าง กาก้า ลงเล่นในลีกยอดนิยมอย่าง พรีเมียร์ลีก? นี่คือสิ่งที่แฟนๆได้แต่คิด และกาก้าก็ยอมรับว่าเขาจินตนาการเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

อย่างไรก็ดี แม้กาก้าจะยอมรับว่า หากเรื่องนี้เกิดขึ้นในปัจจุบัน เขาคงย้ายไปเล่นให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แน่นอน แต่เขาก็ยืนยันอีกว่า เขาไม่มีอะไรให้เสียดายและเสียใจในทางที่เลือก เพราะในตอนนั้น เขาได้เลือกทางที่ดีที่สุดให้กับตัวเองไปแล้ว

“ผมได้เล่นให้กับเรอัล มาดริด นั่นคือหนึ่งในฝันของผมที่เป็นจริง เพราะผมคิดมาตลอดว่า ถ้าจะออกจากมิลาน ผมก็ขอไปเล่นที่มาดริด และการปฏิเสธแมนฯ ซิตี้ ก็ยืนยันได้ดีว่า เงินไม่เคยเป็นปัจจัยในการเล่นฟุตบอลของผม และผมก็ภูมิใจในอาชีพนักฟุตบอลของผม”

“ส่วนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผมไม่มีอะไรจะบอกมากไปกว่าคำว่า -ผมไม่อยากไปร่วมทีมจริงๆ แต่ขอบคุณมากที่สนใจในตัวผม-“ กาก้า เผย 

10สุดท้ายแล้ว กาก้าได้เลือกทางที่ดีที่สุดในเวลานั้น และแม้จะไม่สมหวังกับกาก้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เดินหน้าสร้างทีมของตัวเองต่อไป 

บทเรียนของกาก้าสามารถแสดงให้เห็นถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของ แฟรงกี้ เดอ ยอง ที่คงตัดสินใจแล้วว่า เขาเลือกทางที่ดีที่สุดให้ตัวเอง แม้จะมีสโมสรที่รักเขามากๆ อยากได้ตัวไปร่วมทีมก็ตาม

ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้ตัวกองกลางที่ต้องการ สโมสรแห่งนี้ก็ต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อสร้างเส้นทางความสำเร็จของตัวเองอีกครั้ง

ไม่แน่ว่าในอนาคต แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจกลับมาประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องมี เดอ ยอง เหมือนกับที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก้าวขึ้นมายิ่งใหญ่ได้โดยไม่ต้องมี กาก้า