sportpooltoday

แอชลี่ย์ โคล : แบ็คซ้ายเบอร์ 1 ของโลกที่รับบท “คนทรยศ” อย่างเต็มใจ


แอชลี่ย์ โคล : แบ็คซ้ายเบอร์ 1 ของโลกที่รับบท "คนทรยศ" อย่างเต็มใจ

การย้ายทีมจาก อาร์เซน่อล ไป เชลซี คือเรื่องที่มักจะทำให้แฟนบอลปืนใหญ่รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาเสมอ … และไม่มีแผลไหนจะใหญ่และเจ็บลึกเท่ากับกรณีของ แอชลี่ย์ โคล อีกแล้ว 

อย่างไรก็ตาม “ไอ้ทรยศ” ในสายตาแฟนอาร์เซน่อลคนนี้ทำในสิ่งที่เขาเชื่อว่ามันถูกต้อง เขาพูดหลายสิ่งในวันที่เขาย้ายออกมา และหลังจากนั้นไม่นานทุกอย่างที่เขาพูดก็เป็นความจริง 

การเติบโตกับทีมใหม่ในขณะที่ทีมเก่าเริ่มจม สำหรับเขาแล้วมันดีหรือไม่ ? ทุกวันนี้เขาเป็นตำนานของทีมไหนกันแน่ ? ติดตามได้ที่นี่กับ Main Stand

ผลผลิตจากโรงงานเวนเกอร์ 

ก่อนหน้าที่ แอชลี่ย์ โคล จะแจ้งเกิดกับ อาร์เซน่อล ทีม ๆ นี้เคยมีแบ็คโฟล์ที่เป็นเสือเฒ่ากันยกชุด ไล่จากขวาไปซ้ายทั้ง ลี ดิ๊กซั่น, โทนี่ อดัมส์, สตีฟ โบลด์ และ ไนเจล วินเทอร์เบิร์น โดยมี มาร์ติน คีโอว์น เป็นตัวสอดแทรก 

ทีมชุดนี้เคยแกร่ง แต่เมื่อถึงเวลาก็ต้องผลัดใบ อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือของทีมก็มองเห็นปัญหามาโดยตลอดโดยเฉพาะแบ็คซ้ายในรายของ วินเทอร์เบิร์น นั้นถือว่าเป็นนักเตะประเภทกลาง ๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ก็ไม่ค่อยพลาดอะไรง่าย ๆ ทว่าในวันที่วินเทอร์เบิร์นอายุมากขึ้น ข้อดีที่เขามีตรงความเหนียวแน่นก็ขาดหายไป เขาช้าลง จนทำให้ เวนเกอร์ ต้องพยายามหาตัวมาเสียบในตำแหน่งนี้ แรก ๆ เขาใช้นักเตะต่างชาติอย่าง ซิลวินโญ่ และ โจวานนี่ ฟาน บรองก์ฮอร์สต์ แต่ก็ไม่มีคนไหนสมบูรณ์แบบมากพอ จนกระทั่งหมดยุค 90s เวนเกอร์ก็ได้เจอคนที่เขาต้องการจนได้ 

แอชลี่ย์ โคล คือนักเตะท้องถิ่นเป็น ลอนดอนเนอร์ โดยกำเนิด และเล่นให้กับทีมอดาเดมีของ อาร์เซน่อล มาอย่างยาวนาน 

 

ข้อดีของการเป็นเด็กในอคาเดมีของ อาร์เซน่อล คือ เมื่อคุณมีของ และ เวนเกอร์ เห็นพ้องต้องกัน เขาจะให้โอกาสคุณลงสนามเพื่อลองของทันที ในรายของโคล เกมแรกของเขาในฐานะนักเตะ อาร์เซน่อล เกิดขึ้นตอนเขาอายุเพียง 18 ปี ในเกม ลีกคัพ เมื่อปี 1999 แม้เกมนั้น อาร์เซน่อล จะแพ้ 1-3 แต่ โคล ทำให้เวนเกอร์ประทับใจ หลังจากนั้น 3 เดือน เขาก็ได้สัญญาอาชีพฉบับแรกทันที

 

เริ่มปี 2000 คือปีของ โคล อย่างแท้จริง เวนเกอร์ ให้โอกาสเขาเป็นตัวหลักในฤดูกาล 2000-01 มันเป็นปีที่เขาได้เรียนรู้จากรุ่นพี่อย่าง โทนี่ อดัมส์, คีโอว์น, เดวิด ซีแมน และ ปาทริค วิเอร่า 

ยิ่งได้เห็น โคล เล่นเท่าไหร่ก็ยิ่งตรงกับปรัชญาการสร้างดาวรุ่งของ เวนเกอร์ มากขึ้นเรื่อย ๆ จากการออกสตาร์ทในครั้งนั้น โคล ไม่เคยหลุดเป็นตัวสำรองของทีมอีกเลย 

“สร้างผู้เล่นดาวรุ่งก็เหมือนคุณสร้างบ้าน ประการแรกที่คุณต้องดูคือตอนอายุ 14 ปี ตอนนั้นพวกเขาจะต้องมีเทคนิคพอตัวและมีทักษะเบื้องต้นในระดับที่ดี ไม่งั้นก็จบกัน เขาจะเป็นนักฟุตบอลที่ดีไม่ได้”

 

“ประการที่ 2 ดูตอนที่พวกเขาอายุ 17 ปี ถึงตอนนี้ร่างกายต้องตามมาแล้ว เร็วพอไหม แข็งแรงดีไหม ถ้าขาดไปก็ยากจะแจ้งเกิดเหมือนกัน”

 

“ประการที่ 3 ตอนอายุ 18-19 ปี ทีนี้เราต้องมาดูเรื่องความเข้าใจเกมกันแล้ว พวกเขาต้องรู้แล้วเมื่อบอลอยู่ที่เท้าจะทำยังไงต่อ จะเอาบอลไปที่ไหน”

“และสุดท้ายคือทัศนคติ ตอนนี้สำคัญมาก พวกเขาจะแสดงออกมาแล้วว่าอยากประสบความสำเร็จมากแค่ไหน พวกเขาจะออกเที่ยวดิสโก้เธคในคืนวันศุกร์ก่อนเกมวันเสาร์หรือไม่ มันเป็นเรื่องของการวัดใจกันแล้วในตอนนี้” เวนเกอร์ กล่าวถึงวิธีสร้างดาวรุ่งของเขา ซึ่งแต่ละช่วงอายุที่เวนเกอร์กล่าวมา ก็ตรงกับช่วงอายุที่ แอชลี่ย์ โคล ได้ลงเล่นให้กับ อาร์เซน่อล พอดี

สตาร์เขาเป็นกันแบบนี้ 

แอชลี่ย์ โคล โตและเก่งขึ้นในทุกปี หากจะบอกว่าในช่วงเวลาที่เขาอยู่กับอาร์เซน่อลนั้นเก่งประมาณไหน อาจจะอธิบายยากสักหน่อย เพราะ โคล ไม่ใช่แบ็คประเภทเติมสุดเส้นยืนเกินเส้นครึ่งสนามตลอดเหมือนกับแบ็คยุคใหม่อย่างที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ หรือ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เป็น แต่ โคล เป็นประเภทสมดุลสุดขีด เกมรุกทำได้ไม่ขี้เหร่ ไม่เติมเยอะแต่เติมขึ้นไปทีไรถูกจังหวะได้เรื่องเสมอ ขณะที่เกมรับนั้นบอกได้คำเดียวว่าคือจุดขายเลยก็ว่าได้ ในยุคที่ โคล พีคนั้น หาปีกที่เอาชนะเขาในการดวล 1-1 ได้ยากมาก ๆ 

 

โคล คือส่วนผสมที่ เวนเกอร์ จับมาปรุงรสใหม่ให้เข้ากับทีมในยุคนั้น ระบบการเล่น 4-4-2 ที่มีความหลากหลาย และมีระบบการเล่นแบบเคาะบอลจังหวะเดียวและเคลื่อนที่แบบทั้งทีม เรียกได้ว่าทีมนั้นชุดนั้นนอกจากจะยิ่งใหญ่ด้วยผลงานแล้ว แต่วิธีการเล่นก็เป็นเอกลักษณ์ ใครเจอกับอาร์เซน่อลถ้าไม่เก่งจริงรับรองหาบอลไม่เจอ 

ทุกอย่างรวมกันกลายเป็นทีมชุดที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ในฤดูกาล 2003-04 อาร์เซน่อล เป็นทีมแรกในพรีเมียร์ลีกที่สามารถคว้าแชมป์ได้โดยไม่แพ้ใครเลยแม้แต่เกมเดียว ที่สำคัญคือจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีทีมไหนทำซ้ำได้ 

 

ตอนนั้นแหละที่ โคล กลายเป็นสตาร์เต็มตัว เขาก้าวขึ้นมาติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ แต่งงานกับนักร้องดังระดับประเทศอย่าง เชอรีล และสื่อก็จับจ้องเขาตลอด ติดอย่างเดียวที่รายได้ของเขามันไม่ได้ถึงขั้นระดับสตาร์แบบที่ตัวของเขาเป็น 

ณ เวลานั้น โคล ได้ค่าเหนื่อยกับ อาร์เซน่อล แค่ 55,000 ปอนด์เท่านั้น และเมื่อสัญญาของเขาใกล้จะหมดลง โคล ได้ขอค่าเหนื่อยเพิ่มที่ 90,000 ปอนด์ และถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่เยอะเลย เพราะนี่คือเงินจำนวนเดียวกับที่ รอย คีน เคยได้จาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงปี 2002 หรือ 4 ปีก่อนที่ โคล จะขอค่าเหนื่อยเท่านี้ ขณะที่ในปี 2006 สตีเว่น เจอร์ราร์ด คือนักเตะที่ได้รับค่าเหนื่อยมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกอยู่ที่ 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ 

 

โคล นั้นมีมุมมองว่า มันถึงเวลาที่เขาควรจะได้สัญญาในระดับสตาร์ของทีม แต่อาร์เซน่อลก็คืออาร์เซน่อล พวกเขามีโปรเจ็กต์จะทำสนามใหม่และต้องใช้เงินมากโข การทุ่มเงินในระดับนี้จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย โคล และ อาร์เซน่อล มองกันคนละมุม พวกเขาเข้าเจรจากัน 3 รอบแล้ว แต่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ 

นั่นเองเป็นเหตุผลที่ทำให้ โคล และ เอเยนต์ของเขาติดต่อกับ เชลซี อริร่วมเมือง เพื่อหาความเป็นไปได้ในการย้ายทีม และการได้ค่าเหนื่อยตามที่เขาต้องการ 

 

เชลซี ตอนนั้นรวยเรียบร้อยแล้วและกำลังสร้างทีมยุคใหม่ โรมัน อบราโมวิช นำตัว โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาคุมทีมและสถาปนาทีมเป็นสโมสรแถวหน้าของพรีเมียร์ลีกที่รวมนักเตะเก่ง ๆ ดัง ๆ เอาไว้มากมาย และเมื่อพวกเขาได้รับการติดต่อในลักษณะนั้น พวกเขารู้ทันทีว่า โคล จะเป็นของดีราคาถูกที่พลาดไม่ได้ จากนั้นทุกอย่างก็เรียบร้อย 

ข่าวดังกล่าวหลุดออกมาหลังจากนั้นไม่นานนัก และได้สร้างความขุ่นเคืองให้กับแฟนบอลอาร์เซน่อลเป็นอย่างมาก พวกเขาประณาม โคล ว่า “ไอ้หน้าเงิน” จนโคลมีปีสุดท้ายกับทีมที่ไม่ดีนัก และ เวนเกอร์ ก็ต้องพักการใช้งานเขาและลองให้โอกาส กาแอล กลิชี่ แบ็คซ้ายดาวรุ่งอีกคนทำหน้าที่แทน 

อาร์เซน่อล พยายามทุกทางจนหยดสุดท้าย พวกเขาไม่อยากเสียโคลไปและอาจยอมจะจ่ายเหนื่อยตามที่โคลต้องการ แต่มันไม่ทันแล้ว … โคลยอมรับบทตัวร้ายเล่นงานสโมสรที่ให้โอกาสตัวเองแจ้งเกิด และยืนยันว่าเขาจะย้ายไปอยู่กับ เชลซี ให้จนได้ นี่แหละวิถีสตาร์ เขาจะเป็นคนที่ดังขึ้นแน่นอน มีรายได้มากกว่าเดิมเกิน 50% ดังนั้นเมื่อเขาเลือกแล้วเขาไม่เคยคิดเปลี่ยนใจ เมื่อร้ายแล้วก็ต้องไปให้สุด

 

ทุก ๆ นัดก่อนโคลจะย้ายแฟนบอลจะตะโกนเรียกเขาว่า จูดาส หรือ คนทรยศ และนั่นคือภาพจำที่ทำให้ทุกวันนี้เขาแทบไม่มีส่วนร่วมกับสโมสรอีกเลย แม้จะสร้างความทรงจำดี ๆ เอาไว้มากมายแค่ไหนก็ตาม

มองกันคนละแบบ 

เชลซี ปิดดีล แอชลีย์ โคล ด้วยราคาที่ถูกมากคือ 5 ล้านปอนด์ บวก วิลเลียม กัลลาส แถมให้อาร์เซน่อลไปอีกคน … หากเทียบในยุคใกล้ ๆ กัน นักเตะเกรด A อย่างโคลหากย้ายทีมต้องมีหลัก 30 ล้านปอนด์เป็นอย่างน้อย นั่นถือว่าเป็นการเพิ่มความแค้นให้แฟน อาร์เซน่อล ขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว 

โคล ใช้เวลา 8 ซีซั่น คว้าแชมป์ไปทั้งหมด 7 โทรฟี่ระดับเมเจอร์ ในแง่ของผลงาน ทุกคนยังคงมีความเห็นไม่เปลี่ยนไปว่าคุณภาพยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่อาจจะเด่นน้อยลงบ้าง เนื่องจากที่ เชลซี ทุกคนเป็นสตาร์กันหมด ไม่เหมือนกับตอนอยู่ที่ อาร์เซน่อล ที่เขาแทบจะเป็นซีเนียร์ตั้งแต่อายุ 20 ต้น ๆ เท่านั้น

การโดนมองว่าเป็นคนทรยศหรือคนหน้าเงิน คือสิ่งที่โคลพยายามเถียงมาตลอด เขาบอกว่าหากมองในมุมของนักเตะอาชีพนี่คือช่วงชีวิตที่เขาต้องขยับขยาย และเขาเห็นบางสิ่งที่ไม่ดีนักในอนาคตของ อาร์เซน่อล ขณะที่ เชลซี นั้นกราฟวิ่งขึ้นสวนทาง ถ้าเขาต้องเลือกเพื่ออาชีพ การย้ายไป เชลซี ดีกับเขากว่าแทบทุกมุม 

 

โคล มองว่าต่อให้เขาอยู่กับ อาร์เซน่อล ต่อไปก็ไม่สามารถช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จอะไรได้มากกว่านี้ เพราะทีมชุดที่เขารู้จักเริ่มลาทีมไปปีละคนสองคน วิเอร่า, ปิแรส, ลุงเบิร์ก, อองรี, เบิร์กแคมป์, แคมป์เบลล์ ทุกคนต่างก็ออกจากทีมในช่วงใกล้หมดสัญญาทั้งนั้น ขณะที่ เชลซี เสริมสตาร์ทุกปี ชนิดที่ว่าคนไม่ดูบอลยังเดาได้ว่าสโมสรไหนมีแววจะประสบความสำเร็จมากกว่ากัน 

“ตอนที่ผมเริ่มได้โอกาสลงเล่นผมมีรุ่นพี่อย่าง คีโอว์น, ซีแมน, อองรี, อดัมส์ และคนอื่น ๆ อีกเพียบ การลงเล่นกับนักเตะอย่างพวกเขาทำให้ทุกอย่างมันง่ายมากเลยนะ” โคล เริ่มกล่าว

“แต่เมื่อถึงวันหนึ่งพวกเขาก็ค่อย ๆ ทยอยออกจากทีมไป จากที่ผมเคยเป็นรุ่นน้อง ผมกลับพบว่าตัวเองเป็นรุ่นพี่และมีเพียงตัวผมอยู่คนเดียวที่แปลกกว่าคนอื่น ๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นช่องโหว่ในวัฒนธรรมของนักเตะรุ่นใหม่ในทีม”

 

“ทีมเราแตกไปแล้ว ช่องว่างที่นักเตะรุ่นพี่ได้ทิ้งไว้ ไม่มีทางที่จะถูกเติมเต็มได้แน่นอนในความคิดของผม” โคล กล่าว

โคล ก็เหมือนกับนักเตะอาชีพคนอื่น ๆ ที่ต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เหมือนกับที่ทุกวันนี้นักเตะหลายคนก็เป็นกัน ข้อเสนอดีกว่า มีโอกาสเป็นนักเตะที่ดีมากกว่า ยังไงก็ต้องย้าย เพราะอาชีพของนักเตะมันสั้น มีโอกาสก็ต้องกอบโกยเอาไว้ก่อน อย่าลืมว่าในโลกของฟุตบอล ต่อให้เล่นดีแค่ไหนหากไม่ได้แชมป์ก็ไม่ถูกจดจำอยู่ดี 

“ผมรู้สึกว่าผมควรต้องเปลี่ยนแปลง ทำอะไรสักอย่าง ออกไปเจออะไรใหม่ ๆ เช่น วัฒนธรรมทีม ความกระหายชัยชนะ ความมีประสิทธิภาพ และผมรู้ว่าผมสามารถเจอมันได้ที่ เชลซี” โคล ว่าต่อ 

 

“ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรกับการย้ายทีมที่โดนตราหน้าครั้งนี้ ผมก็ยังคงยืนยันคำเดิม เรื่องทั้งหมดนี้ผมไม่ได้เป็นคนผิดทั้งหมด และสโมสรก็ไม่ได้ผิดทั้งหมดเหมือนกัน ผมยังเด็ก มุทะลุ และทะเยอทะยาน ผมยอมหักไม่ยอมงอ มันคือช่วงวัยที่บ้าระห่ำมาก แต่ผมยืนยันอีกครั้งว่านี่คือสิ่งที่หัวใจของผมต้องการ”  

หลังจากที่ โคล ออกจาก อาร์เซน่อล ทีมปืนใหญ่ก็ไม่ได้อยู่ในมาตรฐานของทีมระดับแชมเปี้ยนมากมายนัก กลับกันที่ เชลซี พวกเขามีแชมป์ประดับตู้สโมสรทุกปี โคล ได้ต่อสัญญากับ เชลซี อีกครั้งและได้ค่าเหนื่อยเกือบ 170,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ นี่คือตัวเลขที่นักเตะ อาร์เซน่อล หลายคนในยุคนั้นได้แต่ฝัน และหลายคนก็เลือกแบบเดียวกับที่ โคล ทำทั้งนั้น 

ซามีร์ นาสรี่, โคโล ตูเร่, กาแอล กลิชี่ และ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ย้ายไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และอื่น ๆ อีกมากมายเกินจะนับ คุณจะเห็นได้ว่าสิ่งที่ โคล ทำไม่ได้แปลกไปกว่าใครเลย ทั้งหมดมีเหตุผลในการย้ายทีมเหมือนกันเป๊ะ มีสิทธิ์ประสบความสำเร็จมากกว่า ได้เงินมากกว่า … แล้วแบบนี้ใครจะไม่ย้าย

เราสามารถกล่าวได้ว่าที่ แอชลี่ย์ โคล โดนด่าว่าไอ้ทรยศหรือไอ้หน้าเงิน อาจจะเป็นเพราะเขาเป็นคนเปิดแผลของ อาร์เซน่อล เท่านั้น แฟนบอลจึงเจ็บมากเป็นพิเศษ เพราะหลังจากนั้นภาพเดิมก็เกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนแฟนบอล อาร์เซน่อล หลายคนไม่อินกับคำว่า จูดาส เสียแล้ว