“ผมคิดว่าทุกอย่างมันพังเพราะความคาดหวัง ใคร ๆ ก็คิดว่า อินเตอร์ ไมอามี่ จะเป็นโคตรทีมที่สร้างมิติใหม่ให้กับวงการฟุตบอล เพราะนี่คือทีมของ เดวิด เบ็คแฮม”
ปเพียงแค่ 2 ฤดูกาล อินเตอร์ ไมอามี่ เป็นได้แค่ตัวตลกแห่ง Major League Soccer เช่นเดียวกับ เดวิด เบ็คแฮม ที่โดนล้อเลียนไม่หยุดหย่อน หลังพาทีมของเขาตกลงเหวพังไม่เป็นท่า
อะไรที่ทำให้ เดวิด เบ็คแฮม ล้มเหลว กับการทำฟุตบอลที่สหรัฐอเมริกา ติดตามไปพร้อมกับ Main Stand
เมื่อโอกาสทองมาเยือน
เดวิด เบ็คแฮม กับวงการฟุตบอลสหรัฐฯ ไม่ใช่คนอื่นคนไกลแต่อย่างใด เพราะยอดแข้งชาวอังกฤษถือเป็นนักฟุตบอลชื่อดังคนแรก ๆ ที่ย้ายไปเล่นในอเมริกา เมื่อปี 2007 ทั้งที่ยังอยู่ในช่วงพีคของชีวิตการค้าแข้ง
เหตุผลที่เบ็คแฮมย้ายไปเล่นฟุตบอลที่สหรัฐฯ ไม่ได้มีแค่เรื่องฟุตบอลเท่านั้น เรื่องธุรกิจก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัย เพราะชื่อเสียงของนักเตะรายนี้ที่มีมากมายเป็นทุนเดิม จากการมีภาพลักษณ์ในฐานะซูเปอร์สตาร์ ทำให้เบ็คแฮมสร้างรายได้จากการรับสปอนเซอร์ที่อยากจะมาลงทุนในธุรกิจฟุตบอลของสหรัฐอเมริกาได้มหาศาล
แต่นอกจากนั้นแล้ว เบ็คแฮม ยังได้รับดีลสุดล่อตาล่อใจจาก MLS หรือ Major League Soccer ลีกฟุตบอลเบอร์หนึ่งของอเมริกาว่า หากดาวเตะเท้าชั่งทองรายนี้ยอมตกลงมาเล่นฟุตบอลที่สหรัฐฯ เขาจะมีสิทธิ์สร้างแฟรนไชส์ทีมฟุตบอลในลีก MLS เป็นของตัวเอง ด้วยราคาเพียง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ซึ่งดีลนี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อ เบ็คแฮม แขวนสตั๊ดเลิกเล่นฟุตบอลแล้วเท่านั้น
อธิบายเพิ่มเติมว่า MLS หรือลีกฟุตบอลของสหรัฐฯ ใช้ระบบแฟรนไชส์เหมือนกับลีกกีฬาอื่นในประเทศ ไม่ได้ใช้ระบบเดียวกับวงการฟุตบอลทั่วไป นั่นคือการตั้งทีมมาเล่นในลีกไม่สามารถทำได้ตามอำเภอใจ แต่ต้องจ่ายเงินซื้อสิทธิ์ตั้งทีมหรือจ่ายค่าแฟรนไชส์ให้ทางลีก เพื่อให้ลีกอนุมัติยินยอมให้ตั้งทีมขึ้นมา
อันที่จริงราคาแฟรนไชส์ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่เบ็คแฮมได้รับข้อเสนอ ถือว่าล่อตาล่อใจอย่างมาก เพราะว่า ซีแอตเทิล ซาวเดอร์ส สโมสรที่ก่อตั้งขึ้นมาในปี 2007 ปีเดียวกับที่ปีกชาวอังกฤษย้ายไปเล่นในอเมริกา ซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์ในการตั้งทีมของตัวเองด้วยราคาถึง 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่สิทธิ์ซึ่งเบ็คแฮมมีอยู่ในมือกว่าจะใช้ได้ก็ต้องรอจนแขวนสตั๊ด และจากการคาดการณ์ทางการตลาด ทุกฝ่ายเชื่อว่ามูลค่าของลีก MLS จะเพิ่มขึ้นอีกมากในอนาคต ซึ่งผลกระทบแรกก็มาจากการที่ เดวิด เบ็คแฮม ย้ายมาเล่นฟุตบอลที่ดินแดนแห่งนี้
ดังนั้น เบ็คแฮม จึงมีโอกาสที่ดีในการสร้างสโมสรฟุตบอลของเขาขึ้นมาเองในอนาคต ซึ่งตัวเขาไม่จำเป็นต้องลงทุนมาก แต่มีโอกาสได้กำไรกลับมาเยอะ เพราะวงการฟุตบอลอเมริกามีแต่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
ดีลที่น่าสนใจนี้คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เบ็คแฮมยอมทิ้งการเป็นนักฟุตบอลที่เล่นอยู่ในยุโรปมาเล่นในสหรัฐฯ ซึ่งถ้ามองในแง่ธุรกิจระยะยาวเขาเลือกไม่ผิดเลย
เบ็คแฮม แขวนสตั๊ดในปี 2013 ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเอง นิวยอร์ก ซิตี้ เอฟซี ได้ซื้อแฟรนไชส์จาก MLS เพื่อตั้งทีม และต้องจ่ายเงินถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าข้อเสนอที่เบ็คแฮมมีสิทธิ์อยู่ในกำมือถึง 4 เท่า
กลับมาที่ตัวของยอดนักเตะรายนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขามีโอกาสที่ดีแค่ไหนอยู่ในมือ และเบ็คแฮมก็รู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2014 หลังจากเบ็คแฮมรีไทร์ในฐานะนักฟุตบอลได้ไม่ถึงปี เขาก็ได้ตัดสินใจใช้สิทธิ์ซื้อแฟรนไชส์จาก Major League Soccer
ก่อตั้ง อินเตอร์ ไมอามี่ (ด้วยความติดขัด)
แผนในการตั้งสโมสรฟุตบอลของตัวเอง แข้งชาวอังกฤษได้เตรียมแผนงานมาเป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลาที่หวดลูกหนังอยู่บนแผ่นดินสหรัฐฯ เบ็คแฮมไม่เคยปล่อยเวลาให้ผ่านไปแบบเปล่าประโยชน์ เขาพยายามหาเมืองต่าง ๆ ที่จะมาเป็นบ้านให้กับทีมของเขา โดยเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อพูดคุยกับนักธุรกิจท้องถิ่น เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดกับทีมฟุตบอลที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่
จนกระทั่ง เบ็คแฮม ได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากนักธุรกิจที่มีอิทธิพลในบริเวณเมืองไมอามี่ เมืองติดชายทะเลชื่อดังของรัฐฟลอริดา ซึ่งยังไม่มีทีมฟุตบอลในลีก MLS พอดี ผู้มีอำนาจในท้องถิ่น ทั้งสภาเมือง ผู้ว่าการรัฐฟลอริด้า ต่างพร้อมให้การผลักดัน หากเบ็คแฮมจะเลือกมาตั้งทีมบริเวณเมืองไมอามี่
ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่การตัดสินใจที่ยากลำบาก เดวิด เบ็คแฮม ประกาศอย่างชัดเจนทันทีที่ใช้สิทธิ์ซื้อแฟรนไชส์จาก MLS ว่าจะไปตั้งทีมฟุตบอลที่ไมอามี่ และพร้อมเดินหน้าทันทีกับการสร้างสโมสรของเขาให้เป็นจริง
อย่างไรก็ตามปัญหาส่อเค้าลางมาตั้งแต่เริ่มต้น เพราะเมื่อเบ็คแฮมตัดสินใจจะลงหลักปักฐานที่ไมอามี่ แผนการสร้างสนามฟุตบอลของเขากลับไม่ได้รับการอนุมัติจากสภาเมือง เพราะอดีตนักเตะชาวอังกฤษต้องการจะสร้างสนามไว้บริเวณใจกลางเมืองไมอามี่ โดยเล็งสร้างสนามให้ติดกับสนามบาสของ ไมอามี่ ฮีต ทีมบาสเกตบอลชื่อดังของเมือง แต่ด้วยความยากลำบากในการสร้าง ซึ่งอาจนำมาสู่ปัญหามากมายต่อเนื่อง ทำให้ความฝันของเบ็คแฮมไม่เป็นจริง
กระนั้น เบ็คแฮม ก็ต้องการที่จะสร้างทีมฟุตบอลที่มีสนามตั้งอยู่ในเมืองไมอามี่ให้ได้ ทำให้แผนการของทีมชะงักลงอย่างมาก เพราะ MLS ยืนยันว่า กิจการสโมสรฟุตบอลของเบ็คแฮมจะไม่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ หากเขาไม่สามารถหาพื้นที่สร้างสนามได้
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือจุดเริ่มต้นที่จะนำมาซึ่งปัญหาตามหลังไม่หยุดหย่อนหลังจากนี้ที่เกิดกับทีมฟุตบอลของเบ็คแฮม นั่นคือเรื่องเงินทองที่ไม่ได้มากพอของยอดนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ในการลงทุนกับการสร้างสโมสรฟุตบอล
แม้ว่า เบ็คแฮม จัดเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่มีรายได้สูงสุดสมัยที่เขายังค้าแข้งอยู่ แต่มันก็ไม่ได้มากพอที่จะทำให้เขาทำธุรกิจฟุตบอลในอเมริกาได้แบบตัวคนเดียว ด้วยเหตุนี้ทำให้เบ็คแฮมต้องการความช่วยเหลือจากนักธุรกิจรายอื่นที่จะเข้ามาเป็นแรงหนุน คอยทำงานหลังบ้านช่วยลงทุนและวางรากฐานให้กับสโมสรไปพร้อมกับเขา
หน้าที่ของเบ็คแฮมในการสร้างสโมสร หลัก ๆ คือการสร้างภาพลักษณ์และหาสปอนเซอร์ ขณะที่ผู้ร่วมหุ้นรายอื่นคือการหาเส้นสายให้กับทีม ซึ่งหนึ่งในงานสำคัญคือการดีลผลประโยชน์กับผู้มีอำนาจในเมืองไมอามี่ เพื่อให้ทีมฟุตบอลของ เดวิด เบ็คแฮม ตั้งอยู่ใจกลางเมืองไมอามี่ให้ได้
ซึ่งสุดท้ายมันไม่เคยประสบความสำเร็จเลย ผู้ร่วมทุนของเบ็คแฮมมีแต่ราคาคุย ไม่เคยทำงานของตัวเองให้สำเร็จ ความฝันของเบ็คแฮมที่จะมีสนามฟุตบอลอยู่ในใจกลางไมอามี่ ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
สื่อในสหรัฐฯ เคยรายงานข่าวว่า เป็นช่วงเวลาที่มืดหม่นสำหรับ เดวิด เบ็คแฮม เพราะความฝันของเขาเหมือนจะไม่มีวันเป็นจริง แล้วก็ยังไม่มีทางออก หากยังดันทุรังต่อไปที่จะสร้างสนามในเมืองไมอามี่
สุดท้าย เดวิด เบ็คแฮม ต้องยอมทิ้งความฝันของตัวเองและไปตั้งสนามฟุตบอลอยู่ที่เมืองฟอร์ตลอเดอร์เดล ซึ่งอยู่ห่างจากไมอามี่ออกไปถึง 40 กิโลเมตร ทำให้ในปี 2018 สโมสรฟุตบอลของ เดวิด เบ็คแฮม จึงได้รับการอนุมัติให้เกิดขึ้นจริงจาก MLS ในชื่อ อินเตอร์ ไมอามี่
อย่าสนใจแค่การตลาด
จากที่จะเป็นดีลสุดคุ้มลงทุนน้อยแต่ได้มากก็เหมือนจะไม่เป็นแบบนั้นเสียแล้ว เพราะการไม่ได้ตั้งสนามฟุตบอลอยู่ใจกลางเมืองไมอามี่ กระทบกับแผนอะไรหลายอย่างที่ เดวิด เบ็คแฮม เคยวาดไว้ในหัว ในการหวังจะสร้างให้ทีมของเขามีภาพลักษณ์สุดร้อนแรงด้วยการเป็นตัวแทนของเมืองไมอามี่จริง ๆ ไม่ใช่ไปตั้งทีมอยู่ที่เมืองอื่น
“ผมยอมรับว่ามันเป็นช่วงเวลาที่น่าหงุดหงิด ไม่มีช่วงเวลาแม้แต่นิดเดียวที่ผมคิดจะล้มเลิกแผน เพราะสำหรับผม ไมอามี่ คือเมืองที่ใช่” เดวิด เบ็คแฮม กล่าว
แน่นอนว่า ไมอามี่ คือเมืองที่ใช่ของเบ็คแฮม เพราะนี่คือเมืองกีฬาเมืองใหญ่เมืองเดียวที่ยังไม่มีทีมฟุตบอลอยู่ในบริเวณพื้นที่ของตัวเอง และไมอามี่คือเมืองเศรษฐกิจที่เป็นเมืองใหญ่ที่มีมูลค่ามหาศาลมากพอที่จะทำให้เบ็คแฮมยอมเดินหน้าต่อ แม้จะไม่ได้ตั้งทีมอยู่ใจกลางเมือง
แผนการทำทีม อินเตอร์ ไมอามี่ ของเดวิด เบ็คแฮม แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทีมต้องการจะทำอะไร ซึ่งนั่นคือการเอาใจคนท้องถิ่นให้มากที่สุด หรือพูดง่าย ๆ คือการดึงชาวฮิสแปนิกหรือคนที่มีเชื้อสายพูดภาษาสเปนให้เข้ามาเป็นแฟนบอลของทีมให้มากที่สุด
เนื่องจากพื้นที่รัฐฟลอริด้า มีชาวลาตินอเมริกันอาศัยอยู่ถึง 26.4 เปอร์เซ็นต์ เยอะยิ่งกว่าชาวแอฟริกันอเมริกันเสียอีก ดังนั้นทีมอินเตอร์ ไมอามี่ จึงไม่รีรอที่จะเดินไปในแนวทางทำทีมฟุตบอลเอาใจคนท้องถิ่น
เริ่มต้นจากการแต่งตั้ง ดีเอโก้ อลอนโซ่ ยอดโค้ชชาวอุรุกวัยที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในเม็กซิโกมาเป็นโค้ชคนแรกของสโมสร ตามด้วยการจ่ายเงิน 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซื้อตัว โรดอลโฟ ปิซาร์โร่ กองกลางตัวรุกชาวเม็กซิโก ศิษย์รักของอลอนโซ่ ให้ตามมาเล่นที่อเมริกา
แม้ว่าการแต่งตั้งโค้ชและเสริมทัพนักเตะชื่อดังจะเป็นที่สนใจเป็นอย่างมาก แต่ที่เหลือ อินเตอร์ ไมอามี่ ไม่ได้ลงทุนเท่าไหร่นัก พวกเขาเอาแต่เซ็นฟรีนักเตะที่หมดสัญญาเข้าสู่ทีม โดยไม่มีการทุ่มดีลเด็ด ๆ หรือกระชากแข้งฝีเท้าดีคนอื่นเข้ามาช่วยงาน
ชัดเจนว่าในช่วงเริ่มต้น อินเตอร์ ไมอามี่ มองถึงการสร้างภาพลักษณ์เอาใจแฟนคลับ มากกว่าทำผลงานในสนามให้ยอดเยี่ยม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผลงานของทีมจะออกมาแบบย่ำแย่สุด ๆ
อินเตอร์ ไมอามี่ จบฤดูกาลด้วยอันดับ 10 ของตาราง จากทั้งหมด 12 ทีม ในฤดูกาล 2020 ของโซนตะวันออก และหากรวมตารางคะแนนทั้งหมดของ MLS ทีมนี้ก็จบในอันดับ 19 จากทั้งหมด 24 ทีม
แม้ว่าในช่วงกลางฤดูกาล อินเตอร์ ไมอามี่ จะพยายามแก้เกมด้วยการดึงสองนักเตะชื่อดังมาจากฝั่งยุโรป ทั้ง กอนซาโล่ อิกวาอิน และ แบลส มาตุยดี้ มาร่วมทีม แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ผลงานดีขึ้นเลย โดยเฉพาะอิกวาอินที่เล่นฟุตบอลเหมือนคนหมดไฟ และทำไปได้แค่ประตูเดียวเท่านั้น ขณะที่ โรดอลโฟ ปิซาร์โร่ ที่ทีมทุ่มซื้อตัวมาก็ทำผลงานไม่ดีอย่างที่หวัง โดยยิงได้แค่ 3 ประตู
ไม่ต้องบอกก็คงเดาได้ว่า อินเตอร์ ไมอามี่ โดนทับถมจากแฟนบอลในสหรัฐอเมริกาไม่น้อย เพราะพวกเขาอยากเห็นทีมนี้เป็นทีมที่ร้อนแรงตั้งแต่เริ่มเหมือนกับ แอลเอ แกแล็คซี่, นิวยอร์ก ซิตี้ เอฟซี, นิวยอร์ก เรดบูลส์ แต่ที่ไหนได้กลายเป็นจมอยู่ท้ายตารางและเป็นทีมจอมแจกแต้มตั้งแต่เริ่มต้น
แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญที่ อินเตอร์ ไมอามี่ ผลงานล้มเหลวถึงเพียงนี้ ก็เพราะว่า เดวิด เบ็คแฮม และทีมผู้บริหารมองถึงแค่เรื่องการตลาดมากกว่าชัยชนะในสนาม แต่ด้วยความที่ MLS ไม่มีการปรับตกชั้น ตามสไตล์กีฬาแบบอเมริกัน ทำให้เจ้าของทีมชาวอังกฤษไม่เดือดร้อนอะไร และจะพาทีมเดินหน้าต่อไปในแนวทางแห่งความพ่ายแพ้
ความอับอายแห่งไมอามี่
ฤดูกาลถัดมาในปี 2021 อินเตอร์ ไมอามี่ ทำในสิ่งที่ช็อกแฟนบอลตาตั้ง เพราะได้ทำการแยกทางกับโค้ช ดีเอโก้ อลอนโซ่ และหลังจากนั้น เดวิด เบ็คแฮม ก็ไปหยิบเพื่อนซี้ อย่าง ฟิล เนวิลล์ มาเป็นโค้ชคนใหม่ของทีม
การตั้งเพื่อนมาเป็นโค้ชทำให้เบ็คแฮมโดนยำไปตามระเบียบ เพราะแฟนบอลในสหรัฐฯ อยากเห็น อินเตอร์ ไมอามี่ เลือกหยิบโค้ชฝีมือดีมาปั้นทีม ไม่ใช่ไปเอาคนสนิทมากุมบังเหียนในช่วงที่ทีมกำลังเพิ่งตั้งไข่และผลงานก็ยังไม่ได้ดีอะไรเลย
หาก ฟิล เนวิลล์ เป็นพระเอกของเรื่องนี้ เขาคงจะสยบคำวิจารณ์แล้วพา อินเตอร์ ไมอามี่ ประสบความสำเร็จได้ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ใช่ หลังจากออกสตาร์ทด้วยการเก็บ 8 แต้มจาก 6 เกมแรก เขาก็พาทีมแพ้ 6 นัดรวด กลายเป็นว่า 12 เกมแรก ฟิล เนวิลล์ พาทีมชนะแค่ 2 เกมเท่านั้น
ซึ่งสุดท้าย อินเตอร์ ไมอามี่ ก็จบผลงานด้วยอันดับ 11 ของโซนตะวันออก และอันดับ 20 ในตารางคะแนนรวมของ MLS ชวดไปเพลย์ออฟเหมือนเดิม อีกทั้งยังจมอยู่ท้ายตารางของลีกเหมือนเดิม
แม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงเริ่มต้นของ อินเตอร์ ไมอามี่ เพราะพวกเขาก็เพิ่งแข่งขันมาได้เพียง 2 ปี แต่น่าเหลือเชื่อที่ อินเตอร์ ไมอามี่ กลายเป็นทีมตัวตลกของ MLS ไปเสียแล้ว
เหตุผลสำคัญเป็นเพราะว่า อินเตอร์ ไมอามี่ ไม่เคยแสดงให้แฟนบอลได้เห็นเลยว่าพวกเขากระหายที่จะประสบความสำเร็จ ไม่มีการดึงนักเตะฝีเท้าดีเข้ามา ไม่มีการดึงโค้ชฝีมือดีเข้ามา มีแต่การทำทีมไปวัน ๆ เหมือนไม่ต้องการจะลงทุนในธุรกิจฟุตบอล
ดูได้จากการเสริมทัพนักเตะก็พอเห็นชัด ทั้งการเซ็น ไรอัน ชอว์ครอส และ คีแรน กิ๊บบ์ส สองนักเตะชาวอังกฤษเข้ามาสู่ทีม ทั้งที่อยู่ในช่วงขาลง แต่ก็ได้รับการเซ็นสัญญาเพราะเป็นคนบ้านเดียวกันกับเบ็คแฮม แถมได้ตัวมาแบบฟรี ๆ อีกด้วย
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ แอตแลนต้า ยูไนเต็ด ทีมที่ก่อตั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน ก็ยิ่งเห็นถึงความแตกต่าง เพราะนี่คือทีมที่มีการบริหารแบบมืออาชีพโดย อาเธอร์ แบลงค์ เจ้าของทีมที่มีประสบการณ์ในวงการนี้มาอย่างยาวนานกับการทำทีม แอตแลนต้า ฟอลคอนส์ ในอเมริกันฟุตบอล NFL ไม่เพียงเท่านั้นทีมยังพร้อมทุ่มเงินกับนักเตะและเฮดโค้ชอย่าง เกราร์โด มาร์ติโน่ อดีตกุนซือ บาร์เซโลน่า และทีมชาติอาร์เจนตินา ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ MLS คัพ ได้ตั้งแต่ฤดูกาลที่ 2 ที่ทำการแข่งขันเลยทีเดียว
ESPN สื่อกีฬาดังของสหรัฐอเมริกา เรียก อินเตอร์ ไมอามี่ ว่าทีมฟุตบอลของเซเลบริตี้ ล้อเลียน เดวิด เบ็คแฮม เจ้าของทีมชาวอังกฤษที่พยายามทำทีมที่มีแต่การเรียกกระแส ดึงคนมีชื่อมาร่วมทำงาน แต่ไม่มีใครผลงานดีเลย ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงตัวเบ็คแฮมที่มีชื่อเสียง แต่ผลงานการบริหารทีมไปในทิศทางตรงกันข้าม
“ผมคิดว่าทุกอย่างมันพังเพราะความคาดหวัง ใคร ๆ ก็คิดว่า อินเตอร์ ไมอามี่ จะเป็นโคตรทีมที่สร้างมิติใหม่ให้กับวงการฟุตบอล เพราะนี่คือทีมของ เดวิด เบ็คแฮม”
“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง พวกเขาดึงโค้ชที่ถนัดทำบอลเกมรับมา แต่ซื้อมาแต่ผู้เล่นเกมรุก ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่นักเตะฝีเท้าดี การได้ มาตุยดี้ และ อิกวาอิน ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก แล้วพอเอาโค้ชคนใหม่เข้ามาก็เป็นเพื่อนซี้ของ เบ็คแฮม อีก คุณคิดว่าทำแบบนี้แล้วมันจะดีเหรอ ผมไม่คิดแบบนั้น” เฮอร์คูเลซ โกเมซ ตำนานนักฟุตบอลชาวอเมริกัน จวก เดวิด เบ็คแฮม และอินเตอร์ ไมอามี่
สุดท้าย 2 ฤดูกาลที่ผ่านไป เราเห็นได้ชัดเจนว่า เดวิด เบ็คแฮม ไม่ได้มีแพชชั่นที่จะพาทีมฟุตบอลของเขาไปประสบความสำเร็จ จนถึงปัจจุบันผู้คนยังถามคำถามว่า ทีมฟุตบอลที่เบ็คแฮมอยากทำคืออะไรกันแน่ เพราะยังไม่มีใครมองเห็นแนวทางที่เบ็คแฮมจะพาทีมนี้เดินไปข้างหน้าเลย
อันที่จริงแค่มองจากผลงานของ ฟิล เนวิลล์ ที่สุดย่ำแย่ แต่ยังได้รับโอกาสทำทีมอินเตอร์ ไมอามี่ ต่อไปแบบสบาย ๆ ก็คงพอบอกได้แล้วว่า เบ็คแฮม จริงจังแค่ไหนกับการทำทีมฟุตบอลตอนนี้ และไม่ต้องสงสัยเลยว่า อินเตอร์ ไมอามี่ กำลังจะถูกจารึกชื่อในฐานะแฟรนไชส์ที่ล้มเหลวทีมใหม่ของ MLS
อย่างไรก็ตามหากย้อนไปตั้งแต่จุดเริ่มต้น การสร้างสโมสรฟุตบอลของ เดวิด เบ็คแฮม มันเป็นเรื่องของธุรกิจมาตลอด ไม่ใช่เรื่องของแพชชั่น และถึงแม้ว่าจะมีผลงานที่ล้มเหลว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า MLS มูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแค่การมีทีมฟุตบอลอยู่ในลีกที่กำลังเติบโตก็สร้างผลประโยชน์มหาศาลให้กับ เดวิด เบ็คแฮม แล้ว