“มันควรจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม” ลุค แชดวิค กล่าว
ฤดูกาล 1999-2000 เขาประเดิมสนามให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมลีกคัพ ด้วยวัยเพียง 18 ปี และลงเล่นไปถึง 22 นัดในซีซั่นถัดมา จนกลายเป็นดาวรุ่งความหวังใหม่ จากลีลาการลากเลื้อยที่น่าจับตา
อย่างไรก็ดี แทนที่จะได้รับการชื่นชมเรื่องฝีเท้า เขากลับเป็น “ตัวตลก” เพียงเพราะหน้าตา ที่ไม่ใช่แค่ในสนาม แต่ยังลามไปถึงรายการทีวีที่มีนักฟุตบอลชื่อดังเป็นพิธีกร
ติดตามเรื่องราวอันแสนเจ็บปวดจนกลายมาเป็นปมในใจของอดีตดาวรุ่งชาวอังกฤษได้ที่นี่กับ Main Stand
ผลผลิตจากอคาเดมีปีศาจแดง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า Class of ’92 คือหมุดหมายสำคัญที่ทำให้ทีมเยาวชนของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้รับการยอมรับในฐานะแหล่งปลุกปั้นนักเตะฝีเท้าดี เมื่อนักเตะอย่าง ไรอัน กิกส์, เดวิด เบ็คแฮม, พอล สโคลส์, นิกกี้ บัตต์, สองพี่น้อง แกรี-ฟิล เนวิลล์ ได้กลายมาเป็นกำลังสำคัญของปีศาจแดงในการไล่ล่าแชมป์ในทศวรรษต่อมา
หลังจากนั้น อคาเดมีของแมนฯ ยูไนเต็ด ก็ได้รับการจับตาเป็นพิเศษว่าจะมีใครก้าวขึ้นมาเป็นรุ่นต่อไป จนกระทั่งในช่วงปลายยุค 90s พวกเขาก็มีสายเลือดใหม่ที่ดูมีแวว และหนึ่งในนั้นคือ ลุค แชดวิค
เขาเติบโตขึ้นมาจากทีมเยาวชนของอาร์เซน่อล ก่อนจะย้ายมาอยู่ แมนฯ ยูไนเต็ด ตอนอายุ 14 ปี ในฐานะนักเรียนทุน หลัง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ประทับใจในผลงาน ตอนที่ถูกชวนมาซ้อมที่สโมสรและได้ลงเล่นในเกมพบกับทีมเยาวชนของ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์
“หลังเกม ผมขึ้นรถไฟกลับบ้านที่เคมบริดจ์ทันที และพอมาถึงบ้าน บอสก็โทรหาแม่ผม บอกว่าเขาอยากเซ็นสัญญากับผม” แชดวิค ย้อนความหลังกับ SPORTbible
หลังจากอยู่ในทีมเยาวชนเพียงแค่ 4 ปี แชดวิค ก็ได้โอกาสลงสนามในทีมชุดใหญ่ ด้วยการออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมลีกคัพ ฤดูกาล 1999-2000 พบกับ แอสตัน วิลลา ด้วยวัยเพียง 18 ปี แม้ว่าผลการแข่งขันอาจจะไม่เป็นใจ เมื่อปีศาจแดงเป็นฝ่ายบุกไปพ่ายถึง 0-3 ตกรอบไปอย่างรวดเร็ว แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับปีกดาวรุ่งผู้นี้
“ฤดูกาลนั้น ผมได้แค่เล่นไม่กี่เกม แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันมากมายเหลือเกิน” แชดวิค กล่าวต่อ
“ทุกการซ้อมนั้นสุดยอดมาก และมาตรฐานก็คือต้องระดับสูงสุดหรือเกินกว่านั้น คุณต้องทำงานหนัก และถ้าคุณไม่ได้อยู่ในระดับนั้น จะต้องมีคนบอกคุณอย่างแน่นอน”
จนกระทั่งในฤดูกาล 2000-01 ก็กลายเป็นซีซั่นของเขาอย่างแท้จริง เมื่อปีกวัย 19 ปีในตอนนั้น ถูกใช้บริการอย่างต่อเนื่องจากเซอร์เฟอร์กี้ ทั้งในเกมลีก, ลีกคัพ หรือแม้กระทั่งรายการใหญ่อย่าง ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก
แม้ว่าส่วนใหญ่ แชดวิค จะถูกส่งลงมาในฐานะตัวสำรอง แต่เขาก็ตอบแทนความไว้ใจด้วยลีลาการลากเลื้อยที่น่าตื่นตา รวมทั้งสามารถเล่นได้ทั้งสองฝั่งของสนาม และซัดไปได้ถึง 2 ลูกในฤดูกาลนั้น จากการลงเล่น 22 นัดในทุกรายการ
อย่างไรก็ดี แทนที่จะได้รับเสียงชื่นชมในฝีเท้า แต่เขากลับเป็นเป้าโจมตีจากแฟนบอลคู่แข่ง จากสิ่งที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด นั่นคือ “หน้าตา”
“มันควรจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม” แชดวิค กล่าวกับ The Athletic
เป้าการถูกบูลลี่
“พวกเขาดูถูกผมจากรูปลักษณ์ของผม มันหนักหนามาก มันทำให้ผมรู้สึกแย่กับตัวเองมาก” แชดวิค กล่าวกับ SPORTbible
หากมองย้อนกลับไป ฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสีเสื้อปีศาจแดงของ ลุค แชดวิค คงจะเป็นซีซั่น 2000-01 เมื่อเขาได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ และร่วมป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จ โดยมีแต้มห่างจากอันดับ 2 อย่าง อาร์เซน่อล ถึง 10 คะแนน
ทว่าในรายละเอียดอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อผลงานอันโดดเด่นกลับทำให้เขาตกเป้าเล่นงานจากแฟนบอล ที่ไม่ได้วิจารณ์เรื่องฝีเท้าแต่เป็นเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก
ในตอนนั้น แชดวิค เป็นเด็กหนุ่มวัยทีน หน้าเต็มไปด้วยสิว แถมฟันของเขายังยื่นออกมามากกว่าปกติ และมันก็เป็นจุดที่ทำให้เขาถูกแซว ไปจนถึงถูกล้อเลียนจากกองเชียร์คู่แข่งอยู่ซ้ำๆอย่างต่อเนื่อง
“ผมจำได้ตอนที่มีคนบอกว่าผมขี้เหร่ เพราะฟันผมเหยินออกมา” แชดวิค ย้อนความทรงจำ “มันคือความรู้สึกที่ทุกคนหัวเราะเยาะคุณ มันไม่ใช่แค่การหยอกล้อแล้วคุณก็หยอกกลับ”
หลังจากนั้น เขาจึงไปใส่เหล็กดัดฟัน แต่มันกลับทำให้เขาถูกจับจ้องมากขึ้น แชดวิค เล่าว่าครั้งหนึ่งเขาถึงขั้นโดนด่าและล้อเลียนตามหลังไปตลอดทางเดินจากรถบัสเข้าสนามในตอนที่ไปเยือน โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส แล้วก็ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันซ้ำสองในเกมที่พบกับฟูแล่ม
“ทุกครั้งที่คุณลงจากรถบัสของผู้เล่นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คุณจะต้องเจอกับการล้อเลียน มันไม่ใช่แค่ผม แต่มีสองครั้งที่ผมจำได้ดี ครั้งหนึ่งที่โบลตัน ตอนที่ผมกำลังเดินไปตามทางที่ค่อนข้างไกล มีเด็กสองคนเดินตามหลังและล้อเลียนผมตลอดทาง” อดีตปีกปีศาจแดงบอกกับ The Athletic
แน่นอนว่ามันสร้างความเจ็บปวดให้ แชดวิค มาก มันทำให้เขารู้สึกวิตกกังวลและสูญเสียความมั่นใจ เขาไม่กล้าแม้กระทั่งออกจากบ้านไปซื้อของในตอนที่ไม่มีแข่ง และมีชีวิตนอกสนามไปกับการเก็บตัวอยู่ในที่พัก
“ผมรู้สึกวิตกกังวลเสมอตอนออกไปข้างนอก แม้ว่าคนจะไม่ได้พูดอะไรกับผม แต่ผมรู้สึกกังวลในสิ่งที่เขาคิดเกี่ยวกับผม หรือบางคนก็อาจจะพูดอะไรบางอย่างออกมา” แชดวิค กล่าว
“ผมจึงแค่ออกไปซ้อม หลังจากนั้นก็กลับมาบ้านแล้วอยู่ในแฟลต ถ้าใครถามผม ผมก็จะบอกว่าผมโอเค มันคือ -อื้ม อื้ม ผมสบายดี ผมแค่อยากทำแบบนี้เฉยๆ-”
และนิสัยส่วนตัวของ แชดวิค ที่เป็นคนเงียบและขี้อาย อาจทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก เขาไม่ค่อยมีปากมีเสียง จึงไม่ได้บอกใครทั้งเซอร์อเล็กซ์, รุ่นพี่ หรือเพื่อนร่วมทีม รวมถึงครอบครัว และเลือกจะปิดตัวเองด้วยการเก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียว จนมันถูกทับถมจนกลายเป็นสิ่งบั่นทอนจิตใจ
“การเป็นเด็กที่เงียบและประหม่า อาจทำให้เรื่องทวีความรุนแรงขึ้น และบางทีมันอาจจะเป็นอุปสรรคในการเติบโตของผมในฐานะมนุษย์” แชดวิค กล่าวกับ BBC
แต่นั่นก็ไม่เท่ากับการถูกล้อเลียนบนหน้าจอทีวี
ฆ่าออกอากาศ
อังกฤษ ถือเป็นประเทศที่พยายามทำกีฬาให้เป็นความบันเทิงอย่างแท้จริง ทำให้นอกจากการแข่งขันในสนาม กีฬายังสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในเกมโชว์ และหนึ่งในรายการที่โด่งดังขณะนั้นคือ They Think It’s All Over
มันคือรายการที่ออกอากาศทางช่อง BBC มาตั้งแต่ปี 1992 โดยมี นิค แฮนค็อก นักแสดงตลกเป็นพิธีกรหลัก (ตั้งแต่ปี 1995-2004) ร่วมด้วย แกรี ลินีเกอร์ ยอดนักเตะระดับตำนานของทีมชาติอังกฤษ และมี เดวิด โกว์ อดีตกัปตันคริกเก็ตทีมชาติอังกฤษมาร่วมแจม
รูปแบบของรายการคือรายการตลกที่มีการตอบคำถามจากกีฬา ทว่าสิ่งที่เลวร้ายคือการนำรูปลักษณ์ของ ลุค แชดวิค มาเป็นเกม หรือถูกพูดถึงในแง่ความตลกที่ลดทอนความเป็นมนุษย์หลายต่อหลายครั้ง
“เพลงที่ฮิตที่สุดของ Iron Maiden คือ Number of the Beast แต่ถ้าคุณอยากรู้เบอร์ของสัตว์ร้าย ลุค แชดวิค สวมเบอร์ 36” แฮนค็อก กล่าวในรายการ
“รูปนี้ของ ลุด แชดวิค คือหายนะ.. ทันทีที่ ลุค แชดวิค หันหน้ามา”
แน่นอนว่ามันเรียกเสียงฮาครืนจากผู้ชมทั้งในห้องส่งและทางบ้าน แต่สำหรับ แชดวิค เขาไม่ขำด้วย มันไม่สนุกเลย แถมการถูกนำมาล้อเลียนในรายการที่มีผู้ชมนับล้านทั่วอังกฤษยังทำให้เขาสูญเสียความนับถือต่อตัวเอง (self esteem) ไปจนเกือบหมดสิ้น
“They Think It’s All Over เป็นรายการยอดนิยมในตอนนั้น ตอนที่พวกเขาเริ่มเอารูปลักษณ์ของผมมาพูด มันทำให้ผมได้รับความสนใจจากคนเป็นล้าน” แชดวิค กล่าวกับ The Athletic
“ผมจำครั้งแรกได้ มีคนส่งข้อความมาหาผมแล้วพูดว่า -นายดูดีใน They Think It’s All Over’- มันทำให้ผมช็อก เพราะผมเป็นคนที่ค่อนข้างซื่อๆในตอนนั้น แม้ว่าผมจะเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่บ้าง แต่ผมก็โตมาในหมู่บ้านเล็กๆทางตอนใต้ของเคมบริดจ์ที่ไม่มีอะไรเลย ผมไม่เคยคิดว่าผมดังและเป็นที่รู้จักของผู้คน”
“ผมดูข้อความแล้วคิดว่า -โอ้ ไม่ อะไรเนี่ย?- หลังจากนั้นผู้คนก็เริ่มพูดถึงมัน ผมได้ดูในสัปดาห์ต่อมา และเห็นคนหัวเราะกับมุกตลกเกี่ยวกับผม มันอาจจะสนุกสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผมมันไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย มันเกิดขึ้นทุกศุกร์และวันถัดมาที่มีเกมแข่ง จนผู้คนจดจำมันได้”
มันยังทำให้เขากลายเป็นคนกลัววันศุกร์นับตั้งแต่นั้น เขารู้สึกกังวลทุกสัปดาห์ว่าจะมีการหยิบยกเรื่องหน้าตาเขามาพูดอีกหรือไม่? แต่น่าเศร้าที่มันกลายเป็นหัวข้อหลักของรายการไปแล้ว
“หลังจากนั้นผมก็กลัววันศุกร์ไปเลย ผมไม่ได้เป็นคนมั่นใจอยู่แล้ว และสิ่งนี้ก็ทำให้มันแย่ลงไปอีก ผมเคยดูไปครึ่งรายการ ทั้งหวังและภาวนาว่าพวกเขาจะหยุด แต่พวกเขาไม่เคยทำ มันแค่ดำเนินต่อไป ต่อไปเรื่อยๆ จนดูงี่เง่าและไม่ประสา” แชดวิค กล่าวต่อ
“ถ้ามันเกิดขึ้นครั้งเดียวผมคงไม่คิดว่ามันเป็นปัญหามากขนาดนี้ แต่มันเกิดขึ้นเรื่อยๆทุกสัปดาห์ ทุกสัปดาห์ พวกเขาเอาผมมาพูดถึงทุกสัปดาห์”
แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือการถูกล้อเลียนจากคนที่เคยศรัทธา
ฮีโรตอกย้ำ
“มัน (They Think It’s All Over) มีส่วนสำคัญมากที่ทำให้ผมถูกรู้จักในฐานะผู้เล่น ผมเชื่อว่าถ้าผมดูเหมือนคนอื่นมากขึ้น ผมคงจะไม่เพียงแค่ถูกจดจำว่าแตกต่างจากคนอื่น” แชดวิค กล่าวกับ SPORTbible
“มันถูกมองว่าเป็นรายการตลกเบาสมอง แต่หลังจากนั้น ดูเหมือนว่าทุกคนจะคิดถึงแต่รูปลักษณ์ของผม”
แชดวิค พยายามเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติในฐานะบุคคลสาธารณะที่มักจะถูกจับจ้อง แถมเขายังเป็นนักเตะของทีมดังอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ถึงกระนั้น มันก็ควรจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและจบไปในสนาม ไม่ใช่ลามออกมาถึงชีวิตส่วนตัว
“ผมเคยถูกดูถูกในสนาม และผมก็ยอมรับเพราะว่ามันเกิดขึ้นกับทุกคน แต่พอมันเกิดขึ้นนอกสนาม มันส่งผลกระทบกับผมมากที่สุด” เขากล่าวกับ SPORTbible
แต่สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดมากที่สุดคือการที่ แกรี ลินีเกอร์ ซึ่งเคยเป็นไอดอลในวัยเด็กของเขาก็ล้อเลียนรูปลักษณ์ของเขาเช่นกัน เขาไม่ได้โกรธ แต่รู้สึกผิดหวังและหมดศรัทธากับที่ฮีโรที่ตนเคยนับถือที่ได้กลายมาเป็นผู้ย่ำยีหัวใจของเขาเอง
“หนึ่งในความผิดหวังคือ ตอนเด็ก ผมจำได้ว่าได้ดูอังกฤษในฟุตบอลโลก และ ลินีเกอร์ ก็เป็นหนึ่งในฮีโรของทีม ดังนั้น พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น พูดในแง่ลบมากมายเกี่ยวกับผม แม้ว่าภายนอกผมอาจจะดูโง่ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เศร้าสำหรับผม” แชดวิค กล่าว
แชดวิค บอกว่าเขารู้สึกแย่จนถึงขั้นคิดจะติดต่อไปที่ BBC ให้ยุติการพูดถึงเขาในลักษณะนั้นเสียที แต่ก็ทำได้แค่คิดและต้องยอมรับมัน เพราะเขามีคำว่าบุคคลสาธารณะล้อมกรอบเอาไว้
“ผมถามตัวเองเสมอว่าควรจะพูดเรื่องนี้กับพวกเขา (บีบีซี) ไหม? การเป็นเด็กอายุ 19-20 มันจะเป็นไปได้ไหมที่จะพูดกับใครสักคนที่บีบีซี เพื่อบอกให้พวกเขาเลิกพูดถึงผม หรือผมจะปล่อยให้พวกเขาทำต่อไปดี? ผมคิดว่ามันอาจจะหยุด แต่ผมก็ไม่รู้ และตอนนั้นผมทำได้แค่ต้องยอมรับมัน” อดีตแข้งจากเคมบริดจ์กล่าว
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ แชดวิค ที่เก็บตัวอยู่แล้วยิ่งเก็บตัวมากขึ้นไปอีก เขาปิดใจ แยกตัวออกจากผู้คน และสร้างกำแพงเพื่อไม่ให้ใครเข้ามา เขาพยายามบอกคนอื่นเสมอว่าเขาไม่เป็นไร แม้ว่าในใจของเขาอยากจะระเบิดออกมาก็ตาม
“แม้กระทั่งเพื่อนร่วมทีมก็ยังพูดถึงมัน ผมจึงไม่คิดว่าผมจะเปิดใจ” แชดวิค กล่าวกับ SPORTbible
“บางครั้งคนในครอบครัวก็หยิบมาพูด แต่ผมก็ซุกมันไว้ใต้พรม มันยากที่จะพูดอะไรสักอย่าง ในใจลึกๆแล้วผมรู้สึกแย่มาก แต่ผมก็อยากให้คนภายนอกเห็นว่าผมแข็งแกร่ง ด้วยการทำตัวให้เหมือนกับว่ามันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับผม”
ทว่าในอีก 20 ปีให้หลัง เขาก็ตัดสินใจที่จะพูดเรื่องนี้ออกมา
อย่าเก็บมันไว้
“ผมกลายเป็นตัวตลก ชัดเจนว่าผู้คนมองว่ามันตลก และมันก็กำลังกัดกินอยู่ในตัวผมตอนที่เกิดขึ้น” แชดวิค บอกกับ BBC
หลังจากใช้ชีวิตอยู่กับ แมน ฯ ยูไนเต็ด อยู่ 4 ปี เขาแจ้งเกิดไม่สำเร็จ และถูกปล่อยให้หลายทีมยืมตัว ก่อนจะย้ายไปร่วมทีม เวสต์แฮม ยูไนเต็ด แบบไม่มีค่าตัว และใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในลีกล่าง จนแขวนสตั๊ดไปในปี 2015
อย่างไรก็ดี แชดวิค ยืนยันว่าการถูกบูลลี่ไม่ได้ทำให้ฝีเท้าของเขาตกลง แต่เพราะเป็นปัญหาอาการบาดเจ็บซ้ำๆที่ทำให้ความเร็วที่เคยเป็นจุดเด่นไม่เหมือนเดิม จนไม่สามารถเฉิดฉายได้อย่างที่ควร
“ผมไม่ได้บอกว่ามัน (การถูกล้อเลียน) ส่งผลกระทบกับในสนามหรือเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่ได้มีผลงานที่ยอดเยี่ยมกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เรื่องนั้นมันส่งผลกระทบกับผมนอกสนามมากกว่า” แชดวิค กล่าวกับ The Athletic
การถูกล้อเลียนเรื่องรูปลักษณ์นั้นส่งผลต่อสภาพจิตใจได้มากกว่าที่คิด เนื่องจากคนที่ไม่ได้หน้าตาดีก็มีความมั่นใจในตัวเองน้อยอยู่แล้ว และยิ่งมีคนอื่นมาตอกย้ำมันก็ยิ่งทำให้ความภาคภูมิใจที่มีอยู่น้อยนิดถึงขั้นแตกสลายไป
“ผมรู้สึกกังวลเมื่อต้องออกไปข้างนอก แม้กระทั่งไปย่านแทรฟฟอร์ด เซ็นเตอร์ (ศูนย์การค้าในเมืองแมนเชสเตอร์ ตั้งไม่ไกลจากสนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด) ผมคิดในใจเสมอว่าอาจจะมีคนพูดในแง่ลบเกี่ยวกับผม หรือจะมีคนมองมาที่ผม”
ทำให้ในปี 2020 ช่วงที่คนกำลังเครียดจากสถานการณ์โควิด-19 แชดวิค ตัดสินใจออกมาพูดเรื่องในอดีตที่เขาเก็บงำมาตลอดผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว ด้วยความหวังว่าจะเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขากล้าที่จะพูดออกมา
“ตอนที่เป็นนักเตะดาวรุ่ง การล้อเลียนรูปลักษณ์ของผมส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของผมมาก ความรู้สึกอับอายทำให้ผมเลิกพูดในสิ่งที่ผมรู้สึก แม้ว่าผมจะรู้สึกอึดอัดในตอนนั้น แต่มันเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรพูดเกี่ยวกับความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาในช่วงเวลาที่ยากลำบาก” แชดวิค กล่าวผ่านทวิตเตอร์
ข้อความของเขาได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม โดยมีคนกดถูกใจมากถึง 17,000 ครั้ง และรีทวีตอีกนับ 1,000 ครั้ง และถูกพูดถึงในวงกว้างถึงปัญหานี้ โดยเฉพาะในวันที่โลกยอมรับความแตกต่าง และการล้อเลียนรูปลักษณ์กลายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
“ผมไม่ได้เป็นคนที่มีชื่อเสียงมากหรือมีคนรู้จัก แต่ตอนที่ผมส่งข้อความนี้ออกไป มีคนพูดกันว่า -ขอบคุณที่ทำแบบนี้- หลังจากนั้นก็แชร์เรื่องราวของพวกเขา ผมบอกไม่ได้ว่ามันทำให้ผมรู้สึกดีขนาดไหน ผมไม่ได้คาดหวังถึงสิ่งนี้จริงๆ” แชดวิค กล่าวกับ The Athletic
ข้อความของเขายังทำให้ นิค แฮนค็อก ออกมาขอโทษผ่านทวิตเตอร์และไปขอโทษเขาเป็นการส่วนตัว เขาบอกว่าเขารู้สึกตกใจและละอายใจในสิ่งที่เคยทำ เช่นเดียวกับ ลินีเกอร์ ที่รู้สึกผิดไม่แพ้กัน
“ผมเคยเป็นส่วนหนึ่งของรายการ ดังนั้น ผมจึงอยากขอโทษ ลุค แชดวิค สำหรับการทำให้เขาเจ็บปวด” ลินีเกอร์ กล่าว
แชดวิค ยกโทษให้พวกเขาทั้งสองคน เขาแฮปปี้กับชีวิตในตอนนี้และไม่ขมขื่นที่จะพูดเรื่องนี้อีกแล้ว ตอนนี้เขาเติบโตขึ้นมาก เขากลายเป็นคุณพ่อลูกสองและทำงานอยู่ในองค์กรที่ชื่อว่า Football Fun Factory ที่จะย้ำเตือนให้นักฟุตบอลเล่นฟุตบอลด้วยทัศนคติที่ดีและมีความสุข
“แน่นอน ผมยอมรับคำขอโทษของพวกเขา” เขากล่าวกับ Mail Online
“ผมไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ผมแค่อยากแบ่งปันประสบการณ์ของผม”
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็บอกว่า มันไม่ควรเกิดขึ้นทั้งกับตัวเขาเองและคนอื่น เพราะไม่ว่าใครก็ไม่ควรกลายเป็น “ตัวตลก” ในสายตาคนอื่นอยู่ดี
“ผมอยากส่งข้อความที่จริงจังออกไป ผมมั่นใจว่ามีคนเป็นล้านที่กำลังดิ้นรน ดังนั้น ข้อความนี้จะทำให้พวกเขาเปิดใจและพูดออกมา”
“ผมไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ แต่ผมสามารถส่งข้อความในเชิงบวก ใช้ประสบการณ์ และอาจช่วยเหลือคนอื่นได้” แชดวิค ทิ้งท้ายกับ The Athletic